Castle of Black Iron - Chapter 1938: ร่วงหล่น
Chapter 1938: ร่วงหล่น
ท่ามกลางฝนที่ตกหนักนั้น สโตอิค ใช้เวลาแค่ไม่กี่นาทีในการย้ายที่ไปยังตำแหน่งที่กำหนดเอาไว้ มันคือห้องใต้ดินที่ห่างจากจุดที่พวกเขาสู้ไปตะกี้ไม่ถึง 500 ม.ทางตอนใต้ของเมือง
ห้องใต้ดินนี้มีทางออกสองทาง แม้ว่าทางออกทางหนึ่งจะถูกกันเอาไว้โดยศัตรูจากด้านนอกแต่พวกเขาก็ยังออกไปอีกทางได้ มันเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้เลือกที่นี่เป็นฐานชั่วคราวของทีม
พวกเขาทิ้งยามไว้ด้านนอกคนหนึ่ง คนอื่นๆได้เข้าไปในห้องใต้ดินที่ดูรกแต่ปลอดภัยนี้ หลังจากที่เปิดไฟด้านในห้องแล้ว ในที่สุดบางคนก็อดไม่ได้ที่จะทรุดลงไป
การต่อสู้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ในการต่อสู้ 2 นาทีนั้นพวกเขาได้ฆ่าศัตรูไป 7 คนโดยเสียคนไป 3 คน ผลก็คือทีมของเขาลดจำนวนไปกว่า ⅓
พวกเขาจะไม่ได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของพวกนั้นอีกต่อไป
วิสเตอร์, แซนดอร์ และ นากิ…
ครึ่งชั่วโมงก่อนพวกเขายังอยู่ด้วยกันและสู้ด้วยกันอยู่เลย ตอนกลางวันพวกเขายังคุยกันเรื่องการต่อสู้ในเมืองน้ำเย็นอยู่เลย ไม่คาดคิดว่า…
ในห้องนั้นมีบรรยากาศที่สลด พวกเขาต่างก็เงียบแล้วกอดเข่าตัวเองนั่งพิงกำแพง หัวที่พวกเขานำกลับมานั้นดูน่ากลัวเพราะแสงสีเขียวสลัวในห้อง
แก้ม, คาง, จมูกรึแม้แต่หน้าผากของหัวพวกนี้เต็มไปด้วยรอยสักรูปงู, ใยแมงมุมและเขาวัวซึ่งเป็นเครื่องหมายว่าพวกนี้เป็นนักสู้ของจักรวรรดิพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์
ภายใต้การปกครองของปิศาจ คนเหล่านี้ได้ใช้เครื่องหมายพวกนี้เป็นตัวแทนปิศาจที่พวกเขายกย่อง ในจักรวรรดิพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์นั้นรอยสักพวกนี้ไม่ได้มาฟรีๆ พวกเขาต้องผ่านพิธีมา ยิ่งมีรอยสักมากเท่าไหร่บนร่างกาย พวกเขาก็มีตำแหน่งสูงมากเท่านั้น พวกคนที่มีรอยสักน่ารังเกียจแบบนี้บนใบหน้าล้วนแต่เป็นนักสู้ของจักรวรรดิพันธมิตรศักดิ์สิทธิ์
" กัปตัน ข้าขอโทษ ข้าไม่รู้ว่าคนนั้นเป็นนักสู้ระดับ 9 ดังนั้นข้าจึงยิงลูกดอกไฟใส่เขาตอนที่เขากระโดดออกมาจากหน้าต่าง ข้าน่าจะใช้ลูกดอกทะลุเกราะ ด้วยวิธีนั้นข้าจะเอาหัวเขากลับมาได้ " – โมล ขอโทษ สโตอิค ด้วยอารมณ์ที่สลด
ถ้าพวกเขาเอาหัวนักสู้ระดับ 9 กลับมาได้ พวกเขาก็จะได้รับรางวัลก้อนใหญ่ตอบแทนผลงานที่ยอดเยี่่ยม
" ช่างเถอะ ! " – สโตอิค พูดขึ้นแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆก่อนจะตบไหล่ โมล – " นั่นเป็นศัตรูที่แข็งแกร่ง เขาเร็ว แม้แต่ข้าก็ยากจะจัดการกับเขาได้ หากไม่มีลูกดอกของเจ้า เขาอาจจะหนีไปทันทีแล้ว ในอนาคตพี่น้องของเราจะโดนเขาฆ่า เจ้าได้แก้แค้นให้กับการตายของ วิสเตอร์ และ แซนดอร์ แล้ว.."
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น โมล ก็รู้สึกดีขึ้นกว่าเดิมแต่เขาก็ยังรู้สึกเจ็บใจกับเรื่องนี้อยู่ – " แต่.."
" มันก็แค่หัว มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร อีกอย่างแล้วเราเอาหัวคนอื่นกลับมาแล้ว ถ้าเราต้องการอีก เราก็ยังมีโอกาสตราบใดที่เรายังมีชีวิต ! " – สโตอิค บอกกับ โมล ให้นั่งลง หลังจากนั้นเขาก็หันกลับมาและมองไปยังลูกน้องของเขาแล้วพูดขึ้น – " แลงค์โท เจ้าติดระเบิดไว้รึเปล่าตอนที่ออกมา ? "
เด็กหนุ่มตาแดงเงยหน้าขึ้นภายใต้ผ้าคลุมก่อนจะมองมาที่ สโตอิค แล้วพยักหน้าและกัดปากตัวเอง
" มันเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่กันไม่ให้ศพของ วิสเตอร์ และ แซนดอร์ โดนดูหมิ่นและถูกหมากับหนูกิน " – สโตอิค พูดขึ้น – " สำหรับ นากิ แล้ว…เขาไม่ต้องการมัน…ถ้าข้านอนอยู่ในสนามรบสักวัน เจ้าเตรียมระเบิดเวลาให้ข้าก่อนจะจากไปได้เลย " – เสียงของเขาดูจริงจังขึ้น
" กัปตัน เจ้าคิดว่าจะมีคน…จำเราได้มั้ยหลังจากจบสงครามครั้งนี้ ? พวกเขาจะจำได้มั้ยว่าเราเคยสู้กับศัตรูในเมืองน้ำเย็นด้วยการเอาชีวิตตัวเองไปเสี่ยง ? " – ชายคนหนึ่งที่มีแผลบนหน้าทางซ้ายโดยดาบเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยตัวเอง – " หัวหน้าหน่วยบอกว่าจะมีคนจำเราได้แน่แต่ข้ารู้สึกว่าเขาโกหก มีคนมากมายต้องตายในสงครามครั้งที่แล้วแต่มีแค่ชื่อของคนใหญ่โตเท่านั้นที่ถูกจดจำ อย่างน้อยข้าก็จะชื่อของพวกคนตัวเล็กจ้อยที่ตายในสงครามครั้งทีแล้วไม่ได้…"
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นคนอื่นๆก็เงยหน้าขึ้นมองไปที่ สโตอิค
" ข้าไม่สนว่าชื่อของข้าจะเป็นที่จดจำหรือไม่ ! " – สโตอิค พูดขึ้นพร้อมส่ายหน้า ในเวลาเดียวกันเขาก็ชี้ไปที่หัวที่เต็มไปด้วยรอยสัก – " สำหรับข้าแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือข้าไม่ต้องการใช้ชีวิตแบบพวกนี้ ข้าไม่อยากให้ลูกข้าและหลานข้าต้องมาใช้ชีวิตแบบพวกนี้ด้วยการคุกเข่าและเรียกปิศาจว่าพ่อ ! "
" เข้าใจแล้ว ! "
" ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น ! " – สโตอิค มองไปที่คนอื่นๆแล้วพูดต่อ – " พักสักชั่วโมงเพื่อฟื้นฟูแรงกาย หลังจากนั้นเราจะออกจากที่นี่แล้วทำการค้นหาต่อ "
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้นทุกคนก็เอาอาหารออกมากิน
การต่อสู้ในเมืองน้ำเย็นนั้นยังไม่จบ การต่อสู้คืนนี้ก็ยังไม่จบเช่นกัน แม้ว่าพวกเขาจะสู้กับศัตรูมาแล้วครั้งหนึ่งและเสียเพื่อนในทีมไปแต่พวกเขาก็ควรออกจากที่นี่และไปหาโอกาสกำจัดศัตรูที่เหลือต่อ
ตอนที่พวกเขาพัก สโตอิค ได้เดินมาที่ทางออกแล้วบอกให้ยามมาพัก เขาจะเป็นคนเฝ้าให้แทน
มันมีคลังเหนือห้องนี้ซึ่งพังลงมาแล้ว ในซากนั้นมีโครงเหล็กรูปสามเหลี่ยมเป็นทางเข้าของห้องลับนี้ ดังนั้น สโตอิค จึงเลือกที่นี่เป็นฐานชั่วคราวหลังจากที่พบมัน
ด้านนอกนั้นฝนตกหนักกว่าเดิม ท่ามกลางเมฆทึบนั้นการมองเห็นทั่วเมืองก็น้อยลงกว่าแต่ก่อน มันมีหมอกหนา พวกเขายากจะเห็นคนจากระยะไกลได้ มีแค่สายฟ้าที่แล่บเท่านั้นที่ทำให้พวกเขาเห็นได้ไกลขึ้นบ้าง
นอกจากเสียงสายฟ้าแล้วพวกเขายังได้ยินเสียงนักสู้ของพันธมิตรคนเถื่อนห่างไปกว่า 1 กม. ตอนนั้นมีแสงสีแดงส่องประกายออกมา แสงนี้คือสัญลักษณ์พลังฉีของนักสู้คนเถื่อน พวกนั้นปกคลุมที่ลานเปิดแห่งหนึ่ง มันเป็นที่ที่เหมาะที่เหล่าคนเถื่อนจะแสดงความสามารถออกมารวมถึงการป้องกันด้วย
การต่อสู้ในเมืองไม่ได้หยุด เลือดไม่ได้ถูกล้างไปแม้ว่าฝนจะตก มีคนมากมายต้องสู้อยู่ในเมืองร้างแห่งนี้
ตอนที่ สโตอิค มองสถานการณ์ด้านนอก เขาก็นับเวลาพักของลูกน้องไปด้วย
ไม่รู้ว่าทำไม สโตอิค ถึงได้รู้สึกว่าสายฟ้าบนท้องฟ้าเหนือเมืองนั้นดูหนาแน่นกว่าเดิม มันมีฟ้าแลบ 1 ครั้งในทุกๆ 3-5 วินาที มันเป็นพายุสายฟ้าที่หายาก
แต่เขาไม่เคยมาที่เมืองนี้มาก่อนรึว่าเชี่ยวชาญด้านภูมิอากาศแต่อย่างใด สโตอิค ไม่รู้ว่าภูมิอากาศที่นี่ผิดปกติหรือไม่ กลับกันแล้วฟ้าที่แลบมานี้ทำให้เขามองเห็นสถานการณ์ด้านนอกได้ดีกว่าเดิม
แค่ 10 นาที สโตอิค ก็เห็นสายฟ้าแปลกๆฉีกเมฆดำและดูเหมือนมีแผ่นบางอย่างพุ่งลงมาที่ห้างสองชั้นห่างไป 200 ม. ในเวลาเดียวกัน สโตอิค ก็รู้สึกว่าพื้นดินสั่นไหวอย่างแรง จากนรั้นเขาก็เห็นสายฟ้าสีทองแผ่ไปทั่วกำแพงห้าง…
'ดาวตกรึเปล่า ? รึว่าข้าตาฝาดไป…' ความคิดนี้โผล่มาในหัว สโตอิค
ตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียง โมล ดังขึ้นมาพร้อมกับอีกฝ่ายโผล่หัวออกมา – " กัปตัน แผ่นดินไหวงั้นเหรอ ? มีนักสู้ที่แข็งแกร่งอยู่ใกล้ๆงั้นเหรอ ? "
" มีบางอย่างผิดปกติ เรียกคนอื่นออกมาให้หมด.."
" ได้ กัปตัน ! "
ในพริบตาทุกคนในทีมก็ได้ออกมาจากห้องใต้ดิน หลังจากนั้นพวกเขาก็มุ่งหน้าไปยังด้านนั้นตามหลัง สโตอิค ไป
มันมีรูใหญ่ที่พื้นระหว่างชั้นแรกกับชั้นสอง ใต้รูนั่นมีหลุมลึกกว่า 10 ม.ที่ใจกลางห้าง ทุกอย่างรอบๆหลุมนั้นเหมือนจะละลาย หินใกล้ๆกับหลุมนั้นก็ยังเปล่งแสงออกมาอย่างกับเทียน ตอนที่พวกเขาไปถึง พวกเขาก็พบฝนที่เทกระหน่ำลงมาอย่างหนักผ่านรู ตอนที่น้ำฝนแตะกับพื้น พวกมันก็ระเหย ผลก็คือที่นั่นเหมือนกับห้องอบไอน้ำแต่พื้นดินเองก็เย็นลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน
พวกนักสู้นี้ใส่รองเท้าเหล็กเดินเข้าไปที่หลุมนั้นอย่างระวัง ตอนที่ไปถึงที่ขอบหลุมมและมองลงไปด้านล่าง พวกเขาก็ต้องตะลึง
เพราะพวกเขาเห็นไข่ที่ก้นหลุม !
มันคือไข่สีทองที่สูงกว่า 1 ม. !