Castle of Black Iron - Chapter 1935: ออกเดินทาง
Chapter 1935: ออกเดินทาง
ตังเหมย มองไปที่ จางเทีย ด้วยความสับสน เธอไม่เข้าใจว่าทำไม จางเทีย ถึงได้ตื่นเต้นแบบนั้น
จางเทีย น่ะไม่ได้ตื่นเต้นมานานแล้วแต่เขาควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ในตอนนั้นเพราะเขารู้ต้นกำเนิดของสงครามระหว่างเทพและความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับปิศาจ
จางเทีย ยังคงพึมพำออกมาด้วยความตื่นเต้นและเกือบจะเต้นด้วยความดีใจ – " ตามบันทึกนี้ กงกงได้ชนเข้ากับภูเขาบูซูและทำลายมันจนทำให้ท้องฟ้าเอียงไปทางตะวันตกเฉียงเหนือและแผ่นดินเอียงไปทางตะวันออกเฉียงใต้ ผลก็คือดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์และดวงดาวเคลื่อนไหวไปทางตะวันออกเฉียงเหนือและน้ำไหลไปทางตะวันออกเฉียงใต้ สงครามระหว่างกงกงและซูร่งจริงๆแล้วไม่ใช่สงครามระหว่างเทพน้ำและเทพไฟแต่เป็นสงครามระหว่างกลุ่มสองกลุ่มที่มาจากเผ่าเดียวกัน ตอนแรกภูเขบูซูถูกสร้างขึ้นที่ขั้นโลกเหนือซึ่งหมุนแผ่นดินเป็นแนวนอน หลังจากที่ภูเขาบูซูได้รับความเสียหาย ขั้วโลกทั้งสองแห่ก็ได้มารวมตัวกันด้วยการหมุนวน ดังนั้นคนจึงเห็นดวงอาทิตย์, ดวงจันทร์และดวงดาวเคลื่อนที่ไปทิศทางเดียวกัน…."
อีกอย่างแล้วตอนนั้นในที่สุด จางเทีย ก็เข้าใจว่าทำไมซาตานในตำนานตะวันตกจึงเป็นงู ทำไมมังกรที่เป็นสิ่งมีชีวิตเลื้อยคลานถึงได้เป็นเครื่องหมายปิศาจในตะวันตก ทำไมตำนานของปิศาจกับมนุษย์ถึงได้นำไปสู่ตำนานของอดัมกับอีฟที่ลดระดับลงมาหลังจากที่กินผลไม้ในโลกและทำไมคนจีนถึงได้ถือว่านูว่าและฟูซีเป็นบรรพบุรุษของคนจีน..
เทพและปิศาจมีต้นกำเนิดเดียวกัน !
พลังงานจากพื้นดินได้แยกเทพออกเป็นสองกลุ่มคือเทพกับปิศาจ จากนั้นมามนุษย์ก็อคติกับปิศาจ ความขัดแย้งระหว่างมนุษย์กับปิศาจนั้นคงอยู่มาหลายปีนับไม่ถ้วน
ไม่คาดคิดว่าประวัติศาสตร์และความจริงจะเป็นแบบนี้ บางทีแม้แต่เทพที่มายังโลกนี้ก็ไม่คิดว่าพวกเขาจะแบ่งแยกกันแบบนี้เพราะได้กินพลังงานในส่วนที่ต่างกันไป
จางเทีย อยากหัวเราะออกมาแต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำ
'ต้นกำเนิดของเรื่องทั้งหมดคือพลังงานจากพื้นดิน ? ไม่ มันเป็นใจคนที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้ มันเพราะใจคนที่กังวลเรื่องความงาม, น่าเกลียด, ความดีและชั่วร้าย มันคือความโลภ, ความอิจฉา, เกลียดชังและอคติในใจคนที่ทำให้เกิดเรื่องพวกนี้
แม้ว่าจะไม่มีพลังนั่นแต่ตราบใดที่เทพกังวลเรื่องเหล่านี้และมีความคิดพวกนี้ในหัวของปิศาจ พวกเขาก็ไม่มีทางที่จะหลีกเลี่ยงการสูญเสียได้ การสูญเสียแบบนี้เกิดขึ้นในหมู่พี่น้อง, ในตระกูลเดียวกันรึในเผ่าเดียวกันเพราะกำไรและความขัดแย้ง นี่ไม่ต้องพูดถึงการที่เผ่าพันธุ์ต่างกันเลย
ตามบันทึกนี้ตอนที่ปิศาจหายไปและกลุ่มสามตายังไม่แพร่หลายในหมู่มนุษย์ มนุษย์นั้นยังไม่ได้สงบสุขเพราะมนุษย์ยังสู้และฆ่ากันเองอยู่
ถึงจะเป็นแบบนั้นแต่เรื่องภายในระหว่างสงครามของมนุษย์กับปิศาจและความขัดแย้งในหมู่มนุษย์มาจากสงครามนั้นรึเปล่า ? ไม่ !
ความขัดแย้งในศาลจักรพรรดิของไทเซีย, ระหว่างนิกายและด้านในนิกายเป็นเพราะปิศาจรึเปล่า ? จางไท่สวน ปั่นหัว จางเทีย เพราะปิศาจรึเปล่า ? นิกายใหญ่ในไทเซียกำจัด จางเทีย เพราะปิศาจรึเปล่า ?
ตราบใดที่ใจคนมีความคิดชั่วร้าย พวกเขาก็ไม่มีทางหลีกเลี่ยงการฆ่าฟันไปได้
หลังจากที่ได้รู้ความลับนี้ จางเทีย ก็ตื่นเต้นขึ้นมาแต่เมื่อเขารวบรวมสติได้ เขาก็ตระหนักได้ว่าเขาไม่อาจจะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงสถานการ์ได้แม้ว่าจะรู้ทุกอย่างก็ตาม
เป็นไปได้มั้ยที่จะหยุดสงครามระหว่างมนุษย์กับปิศาจ ? ไม่ !
เป็นไปได้มั้ยที่จะทำให้คนเป็นหนึ่งเดียวกันและปฏิบัติต่อกันอย่างเท่าเทียม ? ไม่ ! เป็นไปได้มั้ยที่จะเปลี่ยนป่าเป็นสวนสวรรค์ ? ไม่ !
เวลาคือกฎที่ร้ายแรงที่สุด ไม่มีใครเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วได้ แม้แต่เทพก็ตาม ถ้าเทพทำได้ มันก็จะไม่มีสงครามระหว่างเทพและปิศาจ เมื่อไม่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เราจะทำยังไงหากมีดาบปิศาจมาจ่อคอแล้วเปลี่ยนครอบครัวของเราเป็นอาหารอีกทั้งยังต้องการทำลายบ้านเกิดของเรา ?
เราจะยอมแพ้ในการต้านทานและเอาคอยื่นเข้าไปให้ตัดรึหวังว่าจะเป็นทาสปิศาจเพื่อชีวิตที่ดีกว่าเดิม ?
รึเราควรเอาดาบออกมาตัดหัวปิศาจและเตะมันทิ้งก่อนที่ดาบนั้นจะได้เข้าหาตัวเรา ?
จริงๆแล้วมันมีแค่ทางเดียว ! จางเทีย มีตัวเลือกแค่ทางเดียว ไม่ว่าศัตรูของเขาจะเป็นหัวหน้าวังไฮหยวนรึปิศาจก็ตาม
ในหลายๆครั้งความจริงก็ต้องสยบกับความเป็นจริง พวกมันยังเป็นแบบเดิมแบบเก่า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงนิสัยของคนได้เพราะการเปิดเผยความจริง อย่างน้อย จางเทีย ก็ไม่พบว่าข้อมูลจากหินนี่จะช่วยสถานการณ์ในไทเซียกับดินแดนโม่เทียนได้ยังไง
ตังเหมย พบว่า จางเทีย ตื่นเต้นขึ้นมาก่อนที่เขาจะได้สติ เขาถึงกับถอนหายใจออกมาด้วย
" มีอะไร ? " – ตังเหมย ถาม จางเทีย
" ข้าใช้พลังวิญญาณเสียเปล่าไปมาก ความลับในหินนี้น่าจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย ! " – จางเทีย พูดด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่น เขาได้บอกข้อมูลสำคัญกับ ตังเหมย จากที่เขารู้มา
" ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้ได้ " – ตังเหมย อึ้งไปชั่วครู่ก่อนจะถอนหายใจออกมาและพูดขึ้น – " แม้ว่าเราจะรู้ความจริงแต่เราก็ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลงมันได้เลยแม้แต่น้อย…"
จางเทีย พูดขึ้น -" ใช่ แม้ว่าข้าจะแข็งแกร่งและสามารถทำให้พลังงานจากพื้นดินนั้นไหลออกมาอีกก่อนจะเปลี่ยนปิศาจเป็นมนุษย์แต่สงครามก็ไม่มีทางหยุด จากนั้นบางคนอาจจะสนุกกับการได้อยู่กับธรรมชาติ บางคนต้องอยู่ใต้ดิน พวกที่อยู่บนดินจะได้รับทรัพยากรนับไม่ถ้วน ในทางกลับกันแล้วพวกที่อยู่ใต้ดินจะอิจฉาพวกที่มีชีวิตอยู่บนดิน พวกที่โลภและทะเยอทะยานจะต้องการของทุกอย่างบนดินและใต้ดิน ผลก็คือมนุษย์ก็ยังจะแบ่งเป็นสองฝ่ายแล้วเป็นศัตรูกัน มันยังมีความต่างเรื่องจำนวน, เชื้อชาติและความเชื่อแต่จากนั้นสงครามระหว่างมนุษย์จะไม่ถูกเรียกว่าสงครามศักดิ์สิทธิ์แต่เป็นอย่างอื่นแทน ! "
" นั่นก็จริง ! " – ตังเหมย ตอบกลับ
จางเทีย ส่ายหน้า หลังจากที่สูดหายใจเข้าลึกๆ เขาก็กลับสู่ความเป็นจริง หลังจากที่มองไปยังสมบัติสองอย่างที่แท่น จางเทีย ก็ได้ตัดสินใจ – " ข้าจะเก็บหินนี่และบอลมิติเข้าไปในปราสาทเหล็กดำก่อนเผื่อว่าจะมีปัญหา! "
" ดี ! "
ตังเหมย ไม่ได้เรียกร้องอะไร จางเทีย ไม่มัวเสียเวลาอีกต่อไป เขาเก็บหินกับน้ำพุที่เหลือและบอลมิติของดินแดนโม่เทียนเข้าไปในปราสาทเหล็กดำทันที
ทันทีที่บอลมิติถูกส่งเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ จางเทีย ก็ได้ยินเสียงของ เฮลเลอร์ – " เจ้าของปราสาท บอลมิติได้เข้ามาในปราสาทเหล็กดำแล้ว เราจะให้ปราสาทเหล็กดำหลอมรวมกับมันเลยรึเปล่า ?"
จางเทีย มองไปที่ ตังเหมย เธอพยักหน้าตอบรับ
" ได้ เริ่มเลย ! "
" ตอนที่ปราสาทเหล็กดำหลอมรวมกับบอลมิติ มันอาจจะเกิดปรากฏการณ์ผิดปกติในดินแดนโม่เทียน เพราะภูเขาบูซูอยู่ในดินแดนโม่เทียน ด้านในภูเขาบูซูจะได้รับผลก่อน การเปลี่ยนแปลงพวกนี้จะเกี่ยวข้องกับเจ้าของปราสาท ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ ! "
" ได้ ! "
" มาเริ่มกันเลย.."
หลังจากที่พูดจบสวรรค์แห่งแสงก็ได้มืดลงราวกับถูกปิดไฟ มีแค่พื้นดินที่ส่องแสงสีขาวออกมาซึ่งทำให้ที่นี่ไม่มืดสนิท
ตังเหมย กระพริบตาให้กับ จางเทีย ราวกับว่าเธอเข้าใจมัน จากนั้นเธอก็ถามออกมา – " ปราสาทเหล็กดำของเจ้าเริ่มหลอมรวมกับบอลมิติแล้วรึ ?"
" ใช่ ! " – จางเทีย เงยหน้าขึ้นมองด้านบนโดมแล้วถอนหายใจออกมา – " ข้าเสร็จธุระในดินแดนโม่เทียนแล้ว ข้าต้องกลับไปที่ไทเซีย ! "
ไม่นานหลังจากที่พูดจบ จางเทีย ก็พบว่าความสามารถในการบินของเขากลับมาแล้ว เขาพยายามลองใช้ดูและพบว่าตัวเองค่อยๆลอยขึ้น
" พี่ชาย เจ้าไม่ต้องกังวลว่าจะถูกเหล่าหุุ่นเชิดกันอีกต่อไปตอนที่ออกจากที่นี่ " – ตังเหมย พูดด้วยรอยยิ้ม หลังจากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมา – " เพราะเจ้ากำลังจะออกไปจากดินแดนโม่เทียน ข้าจะกลับไปยังเมืองจักรพรรดิแรงด้วย.."
..
ตอนที่ปราสาทเหล็กดำเริ่มหลอมรวมกับบอลมิติ ทั้งดินแดนโม่เทียนก็มืดลง ในความมืดนั้นท้องฟ้าของดินแดนโม่เทียนได้เป็นประกายราวกับมีกำไลแสงหลากหลายอันลอยอยู่บนฟ้าซึ่งสร้างความตื่นตระหนกให้กับผู้คน
ความมืดนี้คงอยู่กว่าครึ่งเดือนจนดวงอาทิตย์โผล่มาอีกครั้ง
น้อยคนนักที่จะรู้เหตุผลว่าทำไม
..
ตอนที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นมา จางเทีย ก็ได้มองไปยังดินแดนโม่เทียนเป็นครั้งสุดท้ายจากบนยอดเขาบูซูก่อนจะเปลี่ยนเป็นภาพของราชาอินทรีย์ตัวยาวกว่า 10,000 ม.และพุ่งเข้าไปในรอยแยกมิติด้านบนเขตหลักของดินแดนโม่เทียน..
…
รอยแยกมิตินั้นเต็มไปด้วยหมอกดำ ตอนที่เขาบินเข้าไปยังทางเข้า จางเทีย รู้สึกราวกับเข้าไปในตาพายุ มันคืออุโมงค์ที่ไม่รู้จบซึ่งเต็มไปด้วยหมอกดำทั้งสองด้าน มันปล่อยสายฟ้าสีฟ้าอันน่ากลัวออกมาอยู่ตลอด
จางเทีย ได้ใช้ทักษะลับ 'ไปถึง' ของสูตรราชาอินทรีย์ เขาบินอยู่ในมิติในร่างของราชาอินทรีย์ ด้วยการกระพือปีกนี้เขาสามารถทำลายอุปสรรคทั้งหมดและผ่านหมอกดำและสายฟ้าพร้อมกับบินมุ่งหน้าไปยังที่หมายของเขาซึ่งคือไทเซีย
หลังจากที่เข้ามาในอุโมงค์นี้ไม่ถึงชั่วโมง จางเทีย ก็เห็นตาสีแดงคู่หนึ่งในหมอกดำตรงหน้า
แต่ละข้างนั้นกินพื้นที่หลายร้อยตารางไมล์ ตาคูนั้นมีนัยน์ตาสีทองม่วงพร้อมความกดดันและพลังฉีที่ไร้ขีดจำกัด พวกมันมองมาที่ จางเทีย ราวกับภาพจำลองในมิติมืดมิด
เมื่อเห็นตาคู่นั้นใจของเขาก็เต้นรัว ราชาอินทรีย์สำหรับตาคู่นี้เป็นเพียงนกตัวเล็กต่อหน้ายักษ์เท่านั้น
ตรงหน้า จางเทีย หมอกดำในมิติได้เปลี่ยนเป็นมือสีดำขนาดใหญ่ยาวหลายพันเมตร หลังจากนั้นมือก็พุ่งเข้ามาเพื่อจับราชาอินทรีย์เอาไว้…
ราชาอินทรีย์กรีดร้องออกมาแล้วเร่งความเร็วขึ้นเพื่อหลบมือนั้น หลังจากนั้นมันก็ตั้งใจจะจิกเข้าที่ตา
ตานั้นดูหงุดหงิดขึ้นมา สายฟ้าในมิติเพิ่มขึ้นจากเดิมกว่าสิบเท่า หลังจากนั้นมืออีกข้างก็โผล่มาในมิติ
มือที่สองไม่ได้ต่อยเข้าใส่ จางเทีย แต่มันต่อยเข้าใส่อุโมงค์นี้แทน…
ผลก็คือหมอกดำเริ่มปั่นป่วน อุโมงค์นี้พังทลาย คลื่นธาตุดิน, น้ำ, ลมและไฟได้กลืนกินราชาอินทรีย์ไปในทันที…