Castle of Black Iron - Chapter 1929: เทพดุดัน
Chapter 1929: เทพดุดัน
'สวรรค์แห่งแสง ?'
ชื่อนี้มันแปลก จางเทีย ไม่เคยได้ยินมาก่อน ตอนที่เขาได้ยินมัน เขาก็รู้สึกว่ามันสูงส่ง
จางเทีย มองไปยังแผนที่สามมิติในหัวอยู่สักพักและพบว่ามันมีเส้นทางเดียวที่นำไปสู่ด้านบนของภูเขาซาก มันมีหอคอยขนาดใหญ่ที่เรียกว่าบาเบลบนพื้นใต้สวรรค์แห่งแสงนั้น มันเป็นอุโมงค์ที่เชื่อมต่อระหว่างสองชั้นเอาไว้เหมือนกับเสาต้นใหญ่
" เจ้าบอกว่ามันคือที่ที่อันตรายที่สุดในภูเขาบูซู เจ้ารู้มั้ย่วามีอะไรอยู่ด้านในนั้น ? " – จางเทีย ถาม ตังเหมย ด้วยความสงสัย
" เอาจริงๆแล้วข้าก็ไม่รู้เช่นกัน ! " – ตังเหมย ตอบกลับและส่ายหน้า
" เจ้าไม่รู้ ? " – จางเทีย พูดเสียงสูง
" ท่านพี่ เจ้าคิดว่าข้าเป็นพระเจ้ารึไง ? ข้าจะไปรู้ทุกอย่างได้ยังไง ? " – ตังเหมย กรอกตาใส่ หลังจากนั้นเธอก็ลูบผมของตัวเองซึ่งทำให้เธอดูสมกับเป็นหญิงสาวมากกว่าเดิม -" ตั้งแต่ที่ภูเขาบูซูได้รับความเสียหาย มันก็ไม่มีใครเข้าไปที่ชั้นสูงสุดได้ แม้ว่าจะเป็นหัวหน้าวังจักรพรรดิแรงแต่ข้าก็ไม่อาจจะรู้ทุกอย่างได้ มันก็แค่การคาดการณ์ของข้า ! "
" คาดการณ์ ? " – จางเทีย ถามด้วยสีหน้าอึ้ง – " เจ้ากล้าเชื่อการคาดการณ์ด้วยการเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเนี้ยนะ ? "
" แน่นอน แต่การคาดการณ์ของข้าน่ะมีเหตุผล ข้าจับตาดูและวิเคราะห์ ข้าไม่ได้เดาสุ่ม ! "
" ดี เจ้าคิดว่ามีอะไรอยู่ในนั้นล่ะ ? "
" นอกจากหุ่นเชิดแล้ว มันอาจจะมีพวกคนตายอยู่ที่แข็งแกร่งกว่าจักรพรรดิ พวกนั้นสามารถฉีกกระชากคนด้านในเป็นชิ้นๆได้ง่ายๆ!"
" ไม่ใช่ว่าพวกเขาตายแล้วรึไง ? มัน…" – จางเทีย หยุดไปทันทีเพราะเขานึกถึงศพที่พวกเขาเจอในอุโมงค์ก่อนหน้านี้ แม้ว่าศพนั้นจะดูเหมือนตายมาแล้วหลายปีแต่มันก็ยังดีดตัวขึ้นมาและโจมตีพวกเขาจนทำให้พวกเขาต้องตะลึงกันอย่างมาก
สิ่งที่ตายไปแล้วสามารถเป็นภัยได้ จางเทีย นึกถึงหนอนหุ่นเชิดทันที คนตายที่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของหนอนนั้นจะน่ากลัวกว่าคนเป็น
มันมีของแบบนั้นในภูเขาบูซูได้ยังไง ? บางทีด้านในนี้อาจจะมีหนอนหุ่นเชิดที่ระดับสูงกว่ารึอาจจะมีทักษะที่ไม่อาจจะคาดถึง เมื่อภูเขาบูซูถูกทำลายในสงคราม พวกนั้นอาจจะใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกอย่างที่มี ถ้าความโหดร้ายของสงครามไม่ได้เป็นแบบที่พวกเขาคาดเอาไว้ แล้วภูเขาบูซูจะโดนทำลายได้ยังไง
หลังจากที่ได้ยินแบบนั้น ตังเหมย ก็ตอบกลับ – " ก็จริง สิ่งที่เรียกว่าหนอนหุ่นเชิดเป็นเครื่องมือควบคุมระดับต่ำ อย่างมากก็ควบคุมได้แค่นายพลสูงสุด ตราบใดที่คนสร้างจักระอมตะขึ้นมาได้ พวกเขาก็จะไม่ถูกมันควบคุม ตามบันทึกของวังจักรพรรดิแรงแล้ว ข้าเรียนรู้มาว่ากลุ่มหนึ่งรึทั้งสองกลุ่มในสงครามระหว่างเทพอาจจะใช้พลังของกฎจักรวาลซึ่งถือว่ารุนแรงแม้แต่สำหรับเทพก็ตาม พลังเวทย์นี้สามารถเปลี่ยนคนของฝ่ายหนึ่งเป็นคนตายที่ยังสู้ต่อได้ นอกซะจากว่าร่างกายของพวกเขาจะพินาศไป พวกเขาก็ไม่มีทางถูกฆ่าได้ แรงนี้ยังคงอยู่หลังจากผ่านมหลายหมื่นปี มันครอบคลุมทั้งภูเขาบูซูเอาไว้ ด้วยผลจากพลังนี้แล้ว พวกนายพลที่ตายไปในภูเขาบูซูจะกลายเป็นเทพดุดันเหมือนกับที่เราเคยเห็นในตอนแรก ! "
" เทพดุดัน ? นั่นคือชื่อเรียกพวกนั้นรึ ? "
" ใช่ ตามบันทึกของวังจักรพรรดิแรงแล้ว พวกที่สร้างจักระอมตะขึ้นมาและสามารถฆ่าคนได้แม้ว่าจะตายไปด้วยผลจากพลังของกฎจักรวาลแล้วจะถูกเรียกว่าเทพดุดัน บางทีอาจจะมีเทพดุดันที่สร้างจักระอมตะ 2 รึ 3 อันอยู่ในสวรรค์แห่งแสง ! "
จางเทีย เผยรอยยิ้มขมขื่นออกมา แม้แต่จักรพรรดิในดินแดนโม่เทียนก็สร้างจักระอมตะได้แค่อันเดียว เขาไม่กล้าที่จะคิดถึงพวกที่สร้างจักระอมตะได้ 2-3 อัน จากนั้นเขาก็ถาม ตังเหมย – " ถ้าข้ากลัวขึ้นมาเพราะคำพูดเจ้าล่ะ ?"
"ท่านพี่ เจ้าจะมากลัวง่ายๆแบบนั้นได้ยังไง ?" – ตังเหมย พูดพร้อมกับขยิบตาให้
" สัญชาตญาณมนุษย์คือไล่ตามสมบัติและหลีกเลี่ยงอันตราย ข้าคิดว่าข้ายังมีสัญชาตญาณนั้นอยู่ ! " – จางเทีย พูดพร้อมกับพลิกมันฝรั่ง – " เจ้าคิดว่าข้าจะมีโอกาสรอดเมื่อสู้กับเทพดุดันที่สร้างจักระอมตะได้ 2-3 อันรึไง โอ้ ถ้าข้าเจอกับเทพดุดันที่สร้างจักระอมตะได้ 4 อันล่ะ ? ถ้าเรารีบเข้าไป มันก็ไม่ต่างอะไรจากการหาที่ตาย ! เจ้าบอกข่าวดีให้ข้าใจชื้นหน่อยเป็นไง ? "
" มันไม่มีเทพดุดันที่สร้างจักระอมตะได้ 4 อัน ! " – ตังเหมย พูดพร้อมกับยิ้ม สีหน้าหมดหนทางของ จางเทีย นั้นดูสมชายชาตรีในสายตาของ ตังเหมย เพราะความกล้าของเขาอยู่ภายใต้เบื้องหลังสีหน้านี้
" ทำไม ?"
" เพราะพลังของกฎจักรวาลนี้สามาารถเปลี่ยนได้มากสุดก็คือเทพที่สร้างจักระอมตะได้ 3 อัน นี่ใช่ข่าวดีที่ทำให้เจ้าใจชื้นบ้างมั้ย ท่านพี่ ! "
จางเทีย กรอกตาใส่และพูดขึ้น – "ก็ได้ เจ้าไม่ควรเรียกข้าว่าท่านพี่อีกแล้ว หากเจ้าเรียกข้าแบบนั้น ข้าก็จะรู้สึกว่าข้าโดนเจ้าปั่นหัว สมบัติที่เจ้าพูดถึงอยู่ด้านในนั้นรึเปล่า ? "
" ท่านพี่ เจ้าต้องการสร้างความกล้าให้ตัวเองด้วยการถามเรื่องนี้รึไง ? "
" แน่นอน ! " – จางเทีย ตอบกลับตามตรง – " ถ้าข้าไม่กระตุ้นตอนนี้ ข้ากลัวว่าข้าจะไม่มีความมั่นใจและความกล้าพอที่จะเข้าไปยังชั้นสูงสุดและรวมบอลมิติเข้ากับปราสาทเหล็กดำ ! "
" ท่านพี่ เจ้าไม่รู้วิธีโกหกเลยจริงๆ ! " – ตัเงหมย พูดขึ้น เธอมองไปที่ จางเทีย ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดออกมาเบาๆ – " จริงๆแล้วเจ้าจะเข้าไปในสวรรค์แห่งแสงไม่ว่าด้านในนั้นจะมีรึไม่มีข้าอยู่ก็ตาม เจ้าแค่หาเหตุผลในการเข้าไป ข้าพูดถูกมั้ย ?"
" หลังจากที่ได้ยินคำพูดของเจ้าแล้ว ข้ารู้สึกว่าตัวเองโง่เลย ! " – จางเทีย พูดพร้อมกับพลิกมันฝรั่งแล้วโยนมันฝรั่งแท่งหนึ่งให้กับ ตังเหมย – " เอาไป ข้าสงสัยว่ามันฝรั่งที่ย่างสุกด้วยไม้สวรรค์นี้จะรสชาติดีกว่าฟางรึเปล่า.."
หลังจากที่ส่งมันฝรั่งให้กับ ตังเหมย แล้ว จางเทีย ก็เอามาแท่งหนึ่งด้วย หลังจากที่ปัดฝุ่นจากมือแล้วเขาก็เริ่มลอกหนังมันฝรั่ง หลังจากนั้นโพรงต้นไม้ก็อบอวลไปด้วยกลิ่นหอม
หนึ่งคืนผ่านไปอย่างรวดเร็ว..
ไม่รู้ว่าทำไมแม้ว่า ตังเหมย จะดูสวยจนทำให้ปลาจมลงในน้ำได้แต่ จางเทีย ก็ไม่เคยคิดที่จะนอนกับเธอเลยสักนิด พวกเขาแค่นอนอยู่ข้างกองไฟ จางเทีย รู้สึกใจเย็น หลังจากที่ถูกเรียกว่าพี่มานาน จางเทีย ก็ถือว่า ตังเหมย เป็นน้องสาว ในขณะเดียวกันแม้ว่า ตังเหมย จะเกรงใจ จางเทีย ระดับหนึ่งแต่ จางเทีย ก็รู้สึกได้ว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่นั้นไม่ใช่ความรัก มันคือความเชื่อใจ
..
3 วันต่อมาตอนที่ จางเทีย ได้ออกจากป่า เขาก็ได้เก็บไม้สวรรค์ทั้งหมดเข้าไปในปราสาทเหล็กดำ….