Castle of Black Iron - Chapter 1918: ดื่มชา
Chapter 1918: ดื่มชา
เฉินบีจุน และ เซียงคุย เป็นสองคนที่ได้มาต้อนรับ จางเทีย นี่ถือว่าให้เกียรติ จางเทีย ที่เป็นจักรพรรดิมังกรและเป็นวีรบุรุษของดินแดนโม่เทียน
ตอนที่เขาพบว่าทั้งสองคนไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปในวังกับเขา จางเทีย ก็ตระหนักได้ว่าจักรพรรดิแรงต้องการจะพูดคุยกับเขาเพียงลำพัง ดังนั้นเขาจึงเดินขึ้นไปบนบันไดและเดินเข้าไปที่ประตู
นายพลไฟทั้งสองที่รับหน้าที่เป็นยามที่ประตูได้เปิดประตูให้ จางเทีย เดินเข้าไป
ในตอนที่ จางเทีย เข้าไปนั้น เขาก็ต้องอึ้งไปชั่วขณะ เขารู้สึกราวกับมายังอีกโลก แม้ว่าแสงจากด้านนอกจะดูพิเศษแต่ด้านในนั้นเหมือนกับอีกโลก มันมีสวนที่สวยงามอยู่ด้านใน มีเสียงนกร้องอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งวังนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมของดอกไม้และแสงจากดวงอาทิตย์ ในตอที่ จางเทีย เข้าไปในวัง เขาก็ได้เห็นผีเสื้อบินไปมารอบตัวเขา มีนกบางตัวทีร้องอยู่บนต้นไม้ใหญ่ข้างๆเขาด้วย
เพราะความต่างนี้ จางเทีย จึงเกือบจะรู้สึกว่าได้เขามายังวังต้นไม้ของปราสาทเหล็กดำ
มีทางเดินหินสีฟ้าปูลาดยาวลึกเข้าไปในสวน จางเทีย ต้องการจะมองเข้าไปด้านในด้วยตาดอกบัวของเขาแต่หลังจากที่ใช้ตาดอกบัวแล้ว เขาก็พบว่าตาดอกบัวนั้นไม่อาจจะใช้การได้ที่นี่ ทั้งวังนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยแรงมิติลึกลับซึ่งกันไม่ให้เขามองทะลุได้ด้วยตาดอกบัว มันรู้สึกราวกับเขาไม่อาจจะมองผ่านแหวนมิติของผู้อื่นได้ด้วยตาดอกบัว
'นี่คืออุปกรณ์มิติรึไง ? '
แม้ว่าจะแปลกใจแต่เพราะเขามีปราสาทเหล็กดำและเคยเห็นสมบัติมามากมาย จางเทีย จึงยังใจเย็นอยู่ได้ในตอนที่เดินเข้าไปในวังผ่านสวน
ฤดูใบไม้ร่วงกำลังจะมาถึงแต่ด้านในวังนั้นดูเหมือนกับฤดูใบไม้ผลิ มีเสียงเพลงและขลุ่ยดังขึ้นมาจากทั่วทุกที่ในหมู่ดอกไม้
ตอนที่เขาเดินเข้าไปนั้นเขาก็ได้พบกับศาลาในป่า มีผู้หญิงกระโปรงขาวดำ, ผมเรียบนั่งอยู่ในศาลา เธอกำลังเตรียมชาอยู่….
ตอนที่เขาเห็นเธอ จางเทีย ก็รู้สึกคุ้นเคยกับเธอแม้ว่าเธอจะไม่ได้เงยหน้าขึ้นมาก็ตาม ตอนที่เขาเข้าไปใกล้ เขาก็เห็นว่าเธอเงยหน้าขึ้นมามองที่เขา
ตอนที่เธอเงยหน้าขึ้นมา เธอก็ทำให้ดอกไม้รอบๆดูเหี่ยวเฉาไปทันที
มันเป็นใบหน้าที่งดงามที่ทำให้ดอกไม้ต้องอิจฉาและทำให้ผู้ชายและผู้หญิงทุกคนต้องหลงเสน่ห์
'ตังเหมย !'
'เธอคือตังเหมย ! '
ก่อนหน้านี้ ตังเหมย นั้นหน้าตาสวยอยู่แล้ว ด้วยการแต่งหน้านี้เธอถึงกับทำให้ จางเทีย ลืมหายใจไปชั่วขณะ
จางเทีย อึ้งและต้องหยุดทันที แม้ว่าเขาจะรู้แล้วว่า ตังเหมย ได้เข้ามายังวังจักรพรรดิแรงหลังจากที่ออกจากภูเขาหลังเสือแต่เขาก็ไม่คิดว่าเขาจะได้พบกับเธอที่นี่ บังเอิญจริงๆ !
" อ่ะ เป็นเจ้าเองรึ ?"
" พี่จิน เจ้าเรียกข้าว่า เสี่ยวเหมย ในภูเขาหลังเสือ แค่เพียงไม่กี่ปี เจ้าก็ได้กลายเป็นจักรพรรดิมังกรและทำให้ดินแดนโม่เทียนต้องช็อกแต่เมื่อเจ้าพบกับข้าอีกครั้ง เจ้ากลับไม่อยากเรียกชื่อข้าอีก " – ตังเหมย ก้มหน้าลง หลังจากนั้นเธอก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยด้วยสีหน้าเจ็บปวด เมื่อเห็นท่าทีนั้น จางเทีย ก็รู้สึกสงสารเธอ ตอนที่เขาเห็น ตังเหมย ในตอนแรก เขาไม่ได้เป็นแบบนี้ หลังจากที่ได้ยินว่า ตังเหมย เรียกเขาว่า พี่จิน จางเทีย ก็คิดว่า เบียนเหิง คงบอก ตังเหมย เรื่องความลับของเขาแล้ว
จางเทีย รู้สึกอายขึ้นมา สีหน้าของเธอทำให้เขารู้สึกผิด เขาเดินตรงเข้าไปหาและทักทายขึ้นมา – " อะแฮ่ม…เสี่ยวเหมย ทำไมเจ้าถึงได้มาอยู่ที่นี่ ? "
จางเทีย พูดขึ้นแล้วมองไปรอบๆแต่เขาก็ไม่เห็นใครรอบๆ ' จักรพรรดิแรงต้องการจะเล่นลูกไม้ผ่าน ตังเหมย หลังจากที่รู้ว่าข้ารู้จักกับเธอรึไง ? ' จางเทีย พึมพำในใจและตื่นตัวตลอดเวลา
" แน่นอนว่าข้ามารอเจ้า พี่จิน ข้ายังเป็น เสี่ยวเหมย ของเจ้ารึเปล่า ? " – ตังเหมย เงยหน้าขึ้นมามองที่ จางเทีย ด้วยความคาดหวัง ตอนนั้นเธอถึงกับเผยรอยยิ้มออกมา
" เอิ่ม แน่นอนว่าใช่…" – จางเทีย ไม่ได้ถามเธอว่าจักรพรรดิแรงไปอยู่ไหนเมื่อเขาพบว่าจักรพรรดิแรงไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาแค่นั่งลงตรงข้ามกับ ตังเหมย และมองเธอด้วยสีหน้าจริงจัง – " เนื่องจากข้าอยู่ที่นี่แล้ว งั้นก็ทำตัวตามสบาย " – บางทีเพราะมะเร็งของเธอ ตังเหมย จึงดูอ่อนแอแต่หลังจากที่ได้รับการรักษาแล้ว เธอก็แสดงความสดใสออกมา อีกอย่างแล้วนอกจากสุขภาพของเธอ จากการรับรู้ของ จางเทีย เกี่ยวกับผู้หญิงแล้ว เขาถึงกับรู้สึกว่าท่าทีและประสบการณ์ของ ตังเหมย นั้นเปลี่ยนไป เธอดูเจ้าเล่ห์ขึ้นและดูมั่นคง ผลก็คือแม้แต่ จางเทีย ก็ยังมองเธอไม่ออก
" พี่จิน เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าว่า พี่จิน รึจักรพรรดิมังกรดี ? "
" ฮาฮา ข้าบอกเจ้าแล้วว่านั่นไม่ใช่ตัวตนของข้า แน่นอนว่าชื่อนั้นก็ไม่ใช่ชื่อจริงเช่นกัน เพราะเราซื่อสัตย์ต่อกัน ชื่อจริงของข้าคือ จางเทีย แต่ เสี่ยวหมย เจ้าไม่ควรเรียกข้าว่าจักรพรรดิมังกร เพราะข้าแก่กว่าเจ้า เจ้าเรียกข้าว่าพี่ก็พอแล้ว ! " – จางเทีย พูดออกมาตรงๆ
" ได้ งั้นข้าจะเรียกเจ้าว่าพี่ ! " – ตังเหมย หัวเราะอย่างพอใจ จากนั้นเธอก็ได้เทชาให้กับ จางเทีย หลังจากที่ต้มชาเสร็จ – " ลองชิมนี่ดู "
แม้ว่า จางเทีย จะไม่รู้เรื่องนี้แต่เขาก็รู้ว่าชาที่ ตังเหมย ทำให้เขานั้นไม่ใช่ชาธรรมดา ตอนที่ใบชาหมุนอยู่ในถ้วย มันมีหมอกลอยออกมาก่อเป็นภาพของภูเขา, คลื่น, เมฆ, ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ด้านบนถ้วย จางเทีย ไม่เคยได้ยินเรื่องชาแบบนี้มาก่อน นี่ไม่ต้องพูดถึงการได้เห็นมัน
แค่เพียงจิบเล็กน้อย จางเทีย ก็รู้สึกได้ถึงพลังงานที่แผ่ไปทั่วทั้งตัวผ่านลำคอสร้างการสั่นพ้องระหว่างพลังฉีและพลังวิญญาณ ที่อกเขานั้นเขารู้สึกราวกับตัวเองกำลังจะลอยไปในอากาศ แค่เพียงจิบเดียวเขาก็เกือบจะหลงใหลมันแล้ว
จางเทีย กินผลไม้มามากมาย มีหลายผลที่รสชาติพิเศษและไม่อาจอธิบายออกมาได้แต่หลังจากที่กินชานี้ไป จางเทีย รู้สึกว่าไม่มีผลไม้เลยสักผลที่เขากินมาจะเทียบกับชานี้ได้
เมื่อเห็นชาที่เหลือในแก้ว จางเทีย ก็ได้ทำการจิบอีกรอบ ครั้งนี้หยินฉี 15 สายในตัวเขาที่ถูก เบียนเหิง พบ ได้หลอมรวมกันกับผลของน้ำชาและแผ่ไปทั่วอวัยวะภายใน, เลือด, เส้นเลือด, เอ็นและกระดูกของเขา หยินฉีเริ่มสร้างหยางฉีขึ้นมาและหล่อเลี้ยงเซลล์ทั่วร่างกายเขา
เมื่อกินอีกจิบ จางเทีย รู้สึกว่าร่างกายที่เสียหายจากการใช้สายเลือดเทพต่อสู้ได้เริ่มฟื้นฟูขึ้นมาช้าๆ เส้นพลังฉี, เลือด, เส้นเลือด, เอ็น, กระดูก, ไขสันหลังและจิตวิญญาณเริ่มปรากฏขึ้นมาด้านในร่างกายและหลอมรวมเข้ากับร่างกายของเขา
เมื่อเห็นว่า จางเทีย กินชาเสร็จเร็วแบบนั้น ตังเหมย ก็ดีใจขึ้นมา ก่อนที่ จางเทีย จะได้ขอเพิ่ม เธอก็ได้เทชาให้กับเขาอีกถ้วย
ตอนนั้น จางเทีย ดูเหมือนจะลืมเรื่องการสำรวมไปแล้ว ตั้งแต่ที่เขากินชาไป สัญชาตญาณดิบของเขาก็ตื่นขึ้นมา เขาต้องการมันอีก ดังนั้นตอนที่เขาเห็นว่า ตังเหมย เทชาให้เขาอีก เขาก็รับมันมากินทันที..
หลังจากกินไปเป็นถ้วยที่สอง ดวงจันทร์และดวงดาวในทะเลความคิดของเขาก็เปล่งแสงออกมามากกว่าเดิม 10 เท่าอยู่ชั่วขณะ เขาถึงกับรู้สึกว่าดวงอาทิตย์ในทะเลฉีได้ออกมาจากร่างกายและให้แสงสว่างกับทุกสิ่งบนโลก…
ร่างกายของ จางเทีย ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมากจากน้ำชานี้ ในเวลาเดียวกันการรับรู้ของ จางเทีย ก็ตกเข้าไปสู่ดินแดนประหลาดแห่งนี้
ถ้วยที่สาม..
ถ้วยที่สี่..
ถ้วยที่ห้า..
…
ถ้วยที่แปด..
ถ้วยที่เก้า..
จางเทีย กินชาไป 9 ถ้วยโดยไม่รู้ตัว อยู่ๆเขาก็รู้สึกว่ากำแพงรึโล่ในหัวเขาได้แตกออกเป็นชิ้นๆและถล่มจากการถูกปะทะโดยคลื่น…
การรับรู้ของ จางเทีย ได้เข้าไปในโลกที่ประหลาด
โลกนี้เต็มไปด้วยลูกบอลสีเขียว, แดง, ดำ,ฟ้า, เทาและทอง บางอันถึงกับดูเหมือนหิ่งห้อย บางอันเหมือนกับแผ่นหยก บางอันเหมือนกับลูกบอลไหม บางอันเหมือนกับหยาดฝน บางอันเหมือนกับลูกเห็บ พวกมันลอยอยู่ข้างกายเขาและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด บางอันโผล่มา บางอันหายไป บางอันเปลี่ยนรูปร่างของตนเอง
ของในโลกนี้แน่นอนว่าไม่ได้เกิดจากธาตุทั้งสี่ แม้ว่า จางเทีย จะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแต่เขาก็รู้สึกว่ามันอาจจะเป็น…เป็น…ของที่กินได้ — ใช่ กินได้ ของเหล่านี้เหมือนกับอาหารซึ่งปรับตัวเข้ากับสภาพของข้า แสงที่ต่างกันนี้แทนพลังงานที่ต่างกันไป ตราบใดที่ข้ากินมัน ข้าก็จะแข็งแกร่งขึ้น
แต่ จางเทีย ไม่ได้กินมันเพราะเขาช็อกกับความคิดนี้
หลังจากที่รวบรวมสติ จางเทีย ก็ลืมตาขึ้นมาทันที
ในพริบตาสวนที่สดใสก็สลัวลงราวกับยามค่ำคืนและท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาว
จางเทีย ตระหนักได้ทันทีว่าเขาอาจจะอยู่ในสภาวะนี้นานแล้ว เขาไม่อาจจะรู้สึกได้ถึงเวลาที่ผ่านพ้นไป…
แต่ ตังเหมย ก็ยังอยู่ที่เดิม เธอใช้มือทั้งสองยกชาขึ้นมาจิบ เธอแค่มองที่ จางเทีย ด้วยตาที่เป็นประกายราวกับหญิงสาวที่มองคนที่รัก
ตอนที่ จางเทีย ลืมตาขึ้นมา เขาก็เห็นว่า ตังเหมย มองมาที่เขาอยู่
จางเทีย กระพริบตา ตังเหมย เลียนเแบบเขา เธอเองก็กระพริบตาด้วย
" อ่ะ ข้าตกอยู่ในสภาวะนั้นนานแค่ไหนกัน ?"
" ไม่นานนัก แค่วันครึ่ง ! " – ตังเหมย ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม
' วันครึ่ง ? '
จางเทีย อึ้งไปชั่วขณะ จากนั้นเขาก็มองไปยังถ้วยตรงหน้าเขากับ ตังเหมย ที่ว่างเปล่า เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายและอ้ำอึ้ง – " ข้า…ดื่มอะไร ? "
" มันก็แค่ต้นไม้กระจ่างจากโบราณที่ต้มด้วยน้ำพุเก้าสวรรค์.." – ตังเหมย พูดด้วยท่าทีสบายๆ