Banished Disciple’s Counterattack - BDC ตอนที่ 7 ลูกศิษย์ที่ไม่มีผู้ใดต้องการ(1)
ตอนที่ 7 ลูกศิษย์ที่ไม่มีผู้ใดต้องการ(1)
ยามดึกสงัด เย่เฉินออกมาจากสวนจิตวิญญาณย่อย มองหาสถานที่สงบเงียบลับตา ขยับกายขึ้นไปทรุดนั่งลงบนโขดหินในท่วงท่าไขว้ขาขัดสมาธิ จากนั้นก็เพียรพยายามจะรวมจิตหยั่งรู้ถึงความลึกล้ำที่ซ่อนอยู่ของอัคคีเที่ยงแท้ซึ่งสถิตย์ในทะเลปราณ
เขาได้รับผลประโยชน์มากล้นจากอัคคีเที่ยงแท้นี้ ทั้งซ่อมแซมจุดตันเถียนที่เสียกาย เปิดใช้ทะเลปราณซ้ำยังสกัดกลั่นพลังชีวิตของตน เปรียบกับรากฐานฝึกตนที่เขาเคยมีเมื่อครั้งยังอยู่ในสำนักเจิ้งหยาง รากฐานใหม่ที่มีอยู่นี้ย่อมมั่นคงปลอดภัยกว่ามาก
“นี่ช่างมหัศจรรย์โดยแท้” เย่เฉินกระซิบกับตนเองแผ่วเบา ดวงตาที่ปิดสนิทแน่นนั้นทำให้เขารู้ผ่อนคลาย ความคิดจิตใจในห้วงสมองก็ปลอดโปร่งกว่าที่เคยเป็น
ไม่ช้าระลอกคลื่นพลังวิญญาณก็หมุนวนเป็นรูปเป็นร่างล้อมรอบเย่เฉินอยู่กึ่งกลาง อีกทั้งยังถูกเขาควบคุมไว้ พลังงานที่ถูกเย่เฉินดูดซับกลุ่มนั้นไหลทะลักเข้าไปในทะเลปราณของเขาผ่านทางจุดเส้นลมปราณ จากนั้นก็ถูกสกัดกลั่นโดยอัคคีเที่ยงแท้สีทอง
บุรุษหนุ่มแซ่เย่แบ่งแยกเปลวเพลิงออกเป็นร้อยหมื่นเส้นสาย บ้างก็เข้าไปในเส้นลมปราณ บ้างก็โคจรห่อหุ้มรอบไขกระดูก กล่าวโดยย่อ อัคคีกลุ่มนั้นถูกใช้ในการสกัดกลั่นแก่นกระดูกและเส้นลมปราณ
หลังผ่านไปครู่ใหญ่ เส้นลมปราณของเขาก็แผ่ขยายออกกว้างและอ่อนนุ่มยืดหยุ่นขึ้นมาเล็กน้อย รอยแผลฉีกขาดบนจุดเส้นลมปราณและไขกระดูกก็เรียบลื่นนุ่มนวลลง ถึงขนาดยังมีประกายไฟสีทองกะพริบวิบไหวเป็นประกายอยู่บางตำแหน่งด้านบน
เย่เฉินไม่อาจทราบได้เลยว่าเป็นช่วงเวลาใดแล้วยามเมื่อเขากระโดดลงมาจากก้อนหิน หลังการสกัดกลั่น ความปลอดโปร่งปราดเปรียวที่เขาสัมผัสได้ยามนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยได้บรรลุถึงมาก่อน
“เยี่ยม” ขณะกู่ร้องด้วยความยินดีปรีดา เขาก็ก้าวเท้าลงไป พลังชีวิตหมุนวนกักเก็บไว้ที่ฝ่ามือ ถึงขั้นยังเปล่งประกายทอแสงน่ามองออกมาระหว่างนิ้วมือ
“สายฟ้าฟาด!” เย่เฉินตะโกนก้อง สะบัดมือใส่โขดหิน
เปรี้ยง!
วิชาฝ่ามืออันแข็งแกร่งได้ระเบิดก้อนหินออกเป็นเสี่ยงๆ ด้วยสายฟ้าที่ผสานมากับเคล็ดวิชา
วิชาฝ่ามืออันกราดเกรี้ยวรุนแรงนี้เป็นเขาที่ฝึกฝนจนคุ้นชินและใช้เป็นวิชาลับสำหรับโจมตีของตนเอง มันเรียกว่าเคล็ดวิชาสายฟ้าฟาด มีทั้งพลังจากสายฟ้า ยังมีเสียงร้องก้องกระหึ่มจากสายฟ้าฟาด แข็งแกร่งทรงพลังอย่างยิ่ง
เพื่อฝึกฝนวิชานี้ ผู้ฝึกจำต้องมีร่างกายแข็งแกร่ง มิฉะนั้นแล้วมันจะสร้างความเสียหายต่อเส้นลมปราณและกระดูกของผู้ฝึกฝนในยามที่ใช้ออกเพื่อกำจัดศัตรู
นั่นคือข้อเสียอันร้ายแรงของวิชาสายฟ้าฟาด
ทว่าเย่เฉินสามารถเพิกเฉยต่อข้อเสียนี้ได้โดยสิ้นเชิง
หลังผ่านการสกัดกลั่น ทั้งความแข็งแกร่งของร่างกาย และความทนทานของเส้นลมปราณแลไขกระดูกของเขานั้น หนุนส่งให้เย่เฉินไม่ได้รับอันตรายจากผลสะท้อนกลับใดๆ ทั้งสิ้น
อรุณรุ่งมาเยือนในไม่ช้า
ประกายสีส้มแสดยามทิวาฉายแสงนั้นปรากฏขึ้นที่ทิศตะวันออก เย่เฉินเปิดเปลือกตาขึ้น
หลังจากปลดปล่อยพลังปราณอันปั่นป่วน ยืดกายขึ้นด้วยใบหน้าแดงก่ำ ค่อยๆ ฟื้นฟูพละกำลังและลมหายใจจึงค่อยคงที่ขึ้นมา
เย่เฉินเดินออกจากสวนขนาดเล็กหลังจากทานอาหารเช้าอย่างง่ายๆ เสร็จเรียบร้อย
ตรงหน้าเขาเป็นบันไดสูงสุดลูกหูลูกตาเรียงรายลดหลั่นกันไปจนถึงยอดเขาวิญญาณอันสูงตระหง่านประดุจจะทะลุผ่านเข้าไปในชั้นก้อนเมฆ เย่เฉินไม่อาจมองเห็นจุดสูงสุดของมันได้เลย
สูดลมหายใจเข้าลึกเฮือกหนึ่ง บุรุษหนุ่มเริ่มก้าวเท้าขึ้นไปบนบันได เย่เฉินสัมผัสได้ถึงพลังอันน่าเกรงขามที่พัดโถมเข้ามาใส่เขาในทุกๆ ย่างก้าวที่ยกขาขึ้นไป
จวบจนกระทั่งถึงก้าวสุดท้าย เขาจึงยกศีรษะขึ้นมองไปยังโลกอันสง่าผ่าเผยเกรียงไกรที่บนยอดเขาในที่ห่างไกลออกไป ทั้งยังมีหอคอยไม้ที่ดูเก่าแก่โบราณตั้งตระหง่านอยู่ หมอกพลังวิญญาณพัดลอยไปพร้อมก้อนเมฆ ยังมีบางคราที่นกกระเรียนบินทะลุผ่านเมฆากลุ่มนั้นไป
“ข้าได้สัมผัสความรู้สึกที่เคยได้รับเมื่อครั้งอยู่ในสำนักเจิ้งหยางอีกครั้งแล้ว” เย่เฉินยิ้มกว้าง สูบเอาพลังวิญญาณในอากาศเข้าไปอย่างตะกละตะกลาม
เขามุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่จางเฟิงเหนียนได้บอกกล่าวไว้
ในยามเช้าตรู่ พลังวิญญาณและกลิ่นอายของแสงอาทิตย์ที่ผสานกับแสงจันทร์นั้นจะบริสุทธิ์ที่สุด เย่เฉินมองเห็นศิษย์แห่งความภาคภูมิหลายคนนั่งขัดสมาธิอยู่บนก้อนหินเพื่อปรับลมหายใจและบ่มเพาะฟื้นฐานฝึกตน เมื่อเขาเดินผ่าน คนเหล่านั้นก็ชำเลืองมองเขาเพียงแวบเดียว ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาฝึกฝนกันต่อไป
ยามนี้เย่เฉินมาถึงหอจิ่วชิงหลังจากเลี้ยวผ่านมาหลายต่อหลายหัวมุม
มีศิษย์หลายคนเดินเข้าออกหอสูงแห่งนี้ เมื่อพวกมันมองเห็นเย่เฉินที่เป็นคนแปลกหน้าผู้หนึ่ง แต่ละคนก็พากันมองผ่านเลยเขาไปอย่างเรียบง่าย ซ้ำยังมีท่าทีดูหมิ่นเหยียดหยามเมื่อค้นพบว่าพื้นฐานฝึกตนของเขาอยู่เพียงระดับชั้นแรกของการควบรวมลมปราณ
“เป็นที่นี่เอง” เย่เฉินมองขึ้นไปยังหอสูง แล้วเดินเข้าไปข้างใน แสดงจดหมายแนะนำตัวออกมา
ในห้องโถง ผู้อาวุโสประจำสำนักนามว่า ‘ชิงอี’ รับเอาจดหมายแนะนำตัวนั้นไป ก่อนจะเปิดออกอ่าน จากนั้นก็กวาดตามองเย่เฉินขึ้นๆ ลงๆ ระหว่างที่อ่านเนื้อความที่แนะนำถึงบุรุษแซ่เย่จากจดหมายของจางเฟิงเหนียน
ขณะที่ผู้อาวุโสประจำสำนักกำลังมองประเมินเย่เฉิน เย่เฉินเองก็ลอบพินิจพิจารณาอีกฝ่ายเช่นกัน
เย่เฉินกระซิบกับตนเองในใจ ‘รูปลักษณ์ของคนผู้นี้ดูแปลกประหลาดยิ่ง’
เย่เฉินขบคิดได้ถูกต้องแล้ว ด้วยดวงตา จมูก และปากที่บิดเบ้ไปคนละทิศคนละทาง ทำให้ทั้งใบหน้าของผู้อาวุโสประจำสำนักผู้นี้บิดเบี้ยวไปหมด เย่เฉินถึงขนาดเกิดความต้องการอยากจะปรับแก้ตำแหน่งของอวัยวะเหล่านั้นขึ้นมาตงิดๆ
เขาละสายตาจากผู้อาวุโสท่านนี้
นอกจากผู้อาวุโสของสำนักนามชิงอี ก็ยังมีผู้คนอีกสามคนนั่งอยู่ที่นั่นด้วย หนึ่งมีหน้าท้องพองโต หนึ่งผอมโซซูบซีด และอีกหนึ่งจึงนับได้ว่าดูเป็นคนปกติ ทั้งสามสนทนากันอย่างสนุกสนานครื้นเครง ราวกับว่าไม่ได้มีผู้อาวุโสของสำนักอยู่ที่นี่ แต่มาเยี่ยมเยือนเท่านั้น
บุคคลทั้งสามนี้คือปรมาจารย์ผู้เป็นประมุขแห่งสามยอดเขาหลักแห่งสำนักศึกษาเหิงเยว่ฝ่ายนอก: จงเหล่าเต้า, เก่อหง และชิงหยางเจินเหริน
***************
ในแฟนเพจจะอัพก่อนในเว็บครับ
แฟนเพจ จักรพรรดิยุทธ์อมตะอหังการ์ BDC –นิยายแปล