advent of the archmage - Chapter 226: คนธรรมดาอย่างแท้จริง
มันเป็นเวลาบ่ายแก่ๆแล้ว ประมาณ 4 โมงเย็น ท้องฟ้าเริ่มมืด เนื่องจากป่าไม้ที่หนาทึบ ทำให้ป่าแบล็คฟอเรสในตอนนี้มืดเหมือนกับตอนกลางคืน พุ่มหญ้าที่อยู่ตามพื้นดินสั่นไหว และมีดวงตาสี่คู่ที่เปล่งแสงสีแดงจางๆปรากฏขึ้นในป่า ที่นั่นมีกองของขี้เถ้าอยู่ และระหว่างพวกเขาก็มีศพถูกเผาจนไหม้เกรียมอยู่ด้วยสี่ศพ
ลมหนาวได้พัดผ่านต้นไม้
“ศพพวกนี้เป็นทหารของพวกเรา” หนึ่งในพวกเขาพูด
“ไอพวกบ้า MI3 ไม่มีทางแข็งแกร่งขนาดนี้ได้หรอก” อีกคนนึงพูด “ใครเป็นคนฆ่าพวกเขากัน”
“พวกมันไม่ได้พยายามปกปิดร่องรอยเลยด้วยซ้ำ” อีกคนพูด “!ดูนี่สิรอยเท้าของพวกมัน พวกเราน่าจะตามมันไปนะ จะได้รู้ว่ามันเป็นใคร ซิโน่ ฟินวิล พวกนายสองคนมากับฉัน พวกเราจะไล่ล่าพวกมัน ส่วนอลัน นายกลับไปรายงานเรื่องนี้กับหัวหน้าใหญ่ที่ป้อมกระดูก!”
"ครับท่าน!"
พวกเขาแยกเป็นสองทาง หนึ่งในพวกเขามุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส ในขณะที่อีกกลุ่มได้แกะรอยไปอีกทางนึง ประมาณ 3 นาทีต่อมา พอร่างเงามืดของพวกเขาหายไปอย่างสมบูรณ์ ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากความมืด
“ท่านมิโรส พวกมันติดกับจริงด้วยๆ!” มีเสียงพูดขึ้นมาอย่างแผ่วเบาโดยระงับความดีใจเอาไว้อย่างเห็นได้ชัด
ไม่นานหลังจากนั้น ก็มีคนกลุ่มนึงออกมาจากหลังพุ่มไม้ นั่นก็คือลิงค์กับพวกกลุ่มค้นหา(หน่วยสอดแนม) พวกเขาไม่ได้รีบออกจากพื้นที่นี้หลังจากที่ฆ่ากูลกลุ่มแรก กลับกันพวกเขากลับรออยู่ใกล้ๆเพื่อที่จะลอบโจมตีกูลกลุ่มที่ 2
สำหรับรอยเท้าที่กูลเจอนั้น จริงๆแล้วมันคือรอยเท้าที่ลิงค์ทิ้งเอาไว้และต้องการให้พวกกูลพบมัน นี่เป็นเทคนิคเดียวกันกับที่ดาร์กเอลฟ์ ลอนเดล มาร์คินส์ใช้กับเขาก่อนหน้านี้ ลิงค์กับพวกหน่วยค้นหาได้เดินวนรอบป่าแบล็คฟอเรสเป็นวงกว้างและกลับมาที่จุดเดิม ซึ่งนั่นหมายความว่ากูลที่ตามรอยเท้าพวกเขาไปจะต้องกลับมาที่จุดเดิมอย่างแน่นอน
สำหรับกูลที่กลับไปที่ป้อมโครงกระดูกนั้น เขาจะเป็นคนนำทางลิงค์และหน่วยค้นหาไปยังฐานหลักของพวกดาร์กเอลฟ์
ลิงค์มองไปยังทิศทางที่มีกลูเดินทางไปคนเดียวแล้วยิ้ม
“เยี่ยม” เขาพูด “ตอนนี้พวกเราได้คนนำทางที่เชื่อถือได้แล้ว”
แผนการของเขานั้นเป็นการพนันครั้งใหญ่ที่ขึ้นอยู่กับดวงเกือบทั้งหมด ถ้าเกิดว่พวกกูลไม่ได้ตัดสินใจที่จะทำแบบนี้ สิ่งที่พวกเขาทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า แต่โชคดีที่ กูลพวกนี้ไม่ได้ฉลาดมาก ดังนั้นทุกอย่างจึงเป็นไปตามที่ลิงค์วางแผนเอาไว้
พอเขาพูดจบ ลิงค์ก็ร่ายเวทย์รวดเร็วดั่งชีต้าร์ใส่กับทุกคน
“ไปกันเถอะ!” เขาพูด “ฉันหวังว่าพวกเราจะดวงดีเจอกับรถขนนักโทษที่กำลังเคลื่อนย้ายนักดาบรุ่งอรุณระหว่างทางนะ”
จากนั้น กลุ่ม 7 คนนี้ก็เริ่มเดินทางเข้าไปในป่าอย่างรวดเร็วราวกับสายลม ไม่นานนัก ทั้ง 7 คนก็หายเข้าไปในส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส
…
ในระหว่างที่ลิงค์กับคนอื่นๆในกลุ่มกำลังตามกูลเข้าไปในส่วนลึกของป่าแบล็คฟอเรส หน่วยค้นหาอีกส่วนที่ลิงค์สั่งก็ได้นำกูลที่จับได้กลับมาที่ป้อมบนยอดภูเขาน้ำแข็ง
“เปิดประตู!” หน่วนค้นหาตะโกนจากด้านนอกกำแพงป้อม “พวกเราได้จับกลูกลับมาด้วย!”
กูล? จับพวกมันได้ด้วยหรอ?
พวกการ์ดที่อยู่บนกำแพงประตูพากันตกอกตกใจ ข่าวที่พวกเขาได้ยินมานั้นคือความน่ากลัวและความแข็งแกร่งของกูล สิ่งที่พวกเขาได้เห็นก็คือนักรบและหน่วยสอดแนมที่ถูกพวกกลูไล่ล่าและฆ่าทิ้งโดยที่ทำอะไรไม่ได้เลย มันจะเป็นไปได้ยังไงที่จะมีคนสามารถจัดการกับสิ่งมีชีวิตที่น่ากลัวเช่นนั้นได้? แถมพวกเขายังสามารถจับพวกมันมาได้โดยที่ยังมีชีวิตอยู่เนี่ยนะ?
มันไม่ได้เป็น…กับดัก ใช่ไหม?
หัวหน้าการ์ดยืนตรงช่องของป้อมธนูและมองลงมายังกลุ่มคนที่อยู่หน้าประตู เขาเห็นหน่วยสอดแนมจำนวนนึงที่สวมเครื่องแต่งกายซึ่งบ่งบอกว่าพวกเขาเป็นคนของ MI3 และยังมีหนึ่งหรือสองคนในหมู่พวกเขาที่ดูคุ้นหน้า ซึ่งนั่นเป็นคนที่เขาเพิ่งจะเห็นเมื่อ 1 ชั่วโมงก่อนหน้านี้ ในตอนที่พวกเขาออกจากป้อมไปพร้อมกับกลุ่มค้นหานักดาบรุ่งอรุณ
พวกเขาไม่มีทางเป็นสปายที่ทำงานให้กับดาร์กเอลฟ์หรอก
“พวกกูลอยู่ไหน?” เขาถาม “เอามาให้ข้าดูใกล้ๆซิ!” มันก็ยังมีโอกาสที่พวกหน่วยสอดแนมจะถูกพวกกลูควบคุม
จากนั้นพวกหน่วยสอดแนมก็ยกกูลที่ถูกมัดเหมือนกับทาสขึ้นมาเพื่อให้หัวหน้าการ์ดมองเห็นได้ชัดขึ้น
หัวหน้าการ์ดชะโงกออกมาดู ทหารบางคนก็รู้สึกสงสัย ดังนั้นพวกเขาเองก็ชะโงกออกมาและพยายามสังเกตุดูเช่นกัน
ความจริงแล้ว พวกกูลนั้นไม่ได้ต่างไปจากดาร์กเอลฟ์ปกติซักเท่าไหร่ มีส่วนเดียวอันน่าขยะแขยงของกูลที่แตกต่างออกไปอย่างชัดเจนนั่นก็คือมือ มือของดาร์กเอลฟ์ปกตินั้นจะดูเหมือนกับมือของมนุษย์ธรรมดาๆ แต่มือของกูลนั้นเต็มไปด้วยกรงเล็บแทนที่จะเป็นเล็บธรรมดา
หัวหน้าการ์ดนั้นยังเต็มไปด้วยความสงสัย ดังนั้นพวกหน่วยสอดแนมจึงยกมือของกูลขึ้นมาเพื่อที่จะทำให้เขามองเห็นมันง่ายขึ้น
หลังจากที่ฟื้นฟูร่างกายมาหลายชั่วโมง พวกกูลก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงและตอนนี้มันก็พยายามดิ้นเพื่อปลดปล่อยตัวเองแถมยังส่งเสียงร้องออกมาด้วย
“ท่านเห็นมันรึยัง?” หน่วยสอดแนมถาม “เจ้าตัวนี้มันถูกควักหัวใจออกและพ่ายแพ้ให้กับนักเวทย์อย่างย่อยยับ แต่ถึงอย่างนั้น ไอบ้านี่ก็ยังมีชีวิตอยู่ไม่ยอมตายซักที”
หัวหน้ายามได้เห็นทุกอย่างด้วยตาของเขาแล้วในตอนนี้ และในระหว่างที่เขากำลังอ้าปากตกใจอยู่ ความสงสัยทั้งหมดที่มีอยู่ในใจเขาก็หายไป จากนั้นเขาก็สั่งให้เอาสะพานแขวนลงมา
“รีบไปรายงานเรื่องนี้ให้กับเหล่านายพลซะ” เขากระซิบบอกทหารคนนึงที่ยืนอยู่ข้างๆเขา “บอกพวกเขาว่าหน่วยสอดแนมได้จับกูลกลับมา”
ไม่ว่าเมื่อเร็วๆนี้จะเกิดอะไรขึ้น แต่นี่ก็เป็นข่าวดีสำหรับกองทัพของอาณาจักรนอร์ตัน
พอสะพานแขวนลงมา พวกหน่วยสอดแนมก็เอากูลทั้ง 3 ตัวเข้าไปในป้อมปราการ กลุ่มทหารจำนวนมากเริ่มแห่เข้ามามุงดูพวกมัน พวกเขาได้ยินข่าวเกี่ยวกับกูลทั้งวันทั้งคืน แต่มีพวกเขาแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้เห็นว่าตัวจริงเป็นยังไง และในตอนนี้พวกเขาก็มีโอกาสแล้ว พวกเขาจะต้องหาทางเหลือบดูพวกมันให้ได้
แม้ว่าหัวหน้าการ์ดจะมาดูพวกมัน แต่เขาก็ไม่ได้สนใจพวกมันเลยแม้แต่นิดเดียว พวกมันดูเหมือนกับดาร์กเอลฟ์ทั่วๆไปเว้นแต่ว่าพวกมันมีกรงเล็บอยู่ที่มือเท่านั้นเอง กลับกัน, มันมีเรื่องบางอย่างที่สำคัญกว่าที่เขาจะต้องถามจากพวกหน่วยสอดแนม
“พวกเจ้าออกไปตามหานักดาบรุ่งอรุณไม่ใช่หรอ?” เขาถามหนึ่งในหน่วยสอดแนมที่เขาดึงเข้ามาหา “ทำไมพวกเจ้าถึงมาอยู่ที่นี่? องค์หญิงอยู่ที่ไหน? ทำไมเธอถึงไม่อยู่ที่นี่?”
ในสถานการณ์แบบนี้ มันดูเหมือนกับว่ากลุ่มค้นหาได้ไปปะทะเข้ากับพวกกูลระหว่างทางและสามารถจัดการพวกมันได้ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น พวกเขาบางส่วนก็ถูกฆ่าไปเช่นกัน ดังนั้นความจริงที่ว่าองค์หญิงไม่อยู่ที่นี่ก็อาจจะหมายความว่าเธอได้ตายไปแล้วในการต่อสู้!
องค์หญิงเป็นลูกสาวคนเดียวของดยุคเหล็ก ถ้าเกิดว่าเธอตายในการต่อสู้หล่ะก็ มันจะมีปัญหาใหญ่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ทหารสอดแนมส่ายหัวของเขา
“องค์หญิงสบายดีครับ” เขาพูด “พระองค์ไปกับลอร์ดมิโรสเพื่อช่วยลอร์ดคาร์โนสครับ”
“ลอร์ดมิโรสหรอ?” ทหารที่อยู่ตรงนั้นถาม “ท่านผู้นั้นเป็นใครกัน?”
“ท่านเป็นนักเวทย์!” หน่วยสอดแนมอีกคนที่บังอัญได้ยินคำถามนี้เป็นคนตอบ เสียงของเขานั้นเต็มไปด้วยความตกใจและความเคารพ “แถมท่านยังเป็นนักเวทย์ที่แข็งแกร่งมากๆด้วย!”
“เบิกทาง!” ทหารตะโกน “เบิกทางให้ท่านดยุค!”
พอพวกเขาได้ยินประโยคนี้ พวกทหารก็หลบออกไปด้านข้างในทันที เพื่อที่จะเปิดทางให้กับดยุค
ความจริงแล้ว ดยุคไม่ได้มาแค่คนเดียว นายพล หัวหน้าหน่วย แบทเทิลเมจและแม้กระทั่งผู้พิพากษาก็ตามเขามาด้วย
สำหรับทหาร พวกกูลนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตน่ากลัวที่อยู่ในป่าอันมืดมิด พวกเขาแค่สงสัยและอยากจะดูว่ากูลหน้าตาเป็นยังไงเท่านั้นเอง แต่สำหรับคนยศสูงๆในกองทัพ พวกกูลที่ถูกจับมาได้นั้นมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง!
ดยุคอาเบลแหวกทางฝ่าฝูงชนเข้ามาจนเขาได้เห็นกูลในที่สุด จากนั้นเขาก็กวาดตามองหน่วยสอดแนม พยายามที่จะมองหาลูกสาวของเขา
แต่ถึงกระนั้น มันก็ไม่มีร่องรอยของลูกสาวในหน่วยสอดแนมเลย การรับรู้ถึงเรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกเหมือนกับถูกฟาดด้วยก้อนอิฐ และเขาก็จมอยู่ในความโศกเศร้าในทันที นี่ลูกสาวของเขา, ที่ถึงจะชอบต่อต้านและหัวแข็ง แต่เขาก็รักเธอมากๆ ได้จากเขาไปตลอดกาลแล้วงั้นหรอ?
ดวงตาของดยุคอาเบลนั้นปูดร้อนขึ้นมาพักนึง และเขาก็พบว่าเขาหายใจไม่ค่อยออกและรู้สึกเหมือนกับจะเป็นลม ถ้าไม่ใช่เพราะผู้ช่วยของเขาช่วยจับเขาไว้หล่ะก็ เขาก็คงจะล้มลงท่ามกลางฝูงชนแล้ว
หลังจากนั้นประมาณ 10 วินาที ดยุคก็สามารถระงับอารมณ์ของตัวเองได้และพูดกับหน่วยสอดแนม
“พวกเจ้าทำหน้าที่ได้ดีมาก” เขาชื่นชมหน่วยสอดแนมด้วยเสียงอันแหบแห้ง “ตอนนี้พวกเจ้าไปพักได้”
เขาไม่อยากจะถามเรื่องผลการต่อสู้กับพวกเขา มันเร็วเกินไปสำหรับเขาที่จะฟังว่าลูกสาวของเขานั้นได้ตายอย่างโหดร้ายแค่ไหน และเขาก็ไม่ต้องการที่จะร้องไห้ต่อหน้าพวกทหารด้วย
โชคดีที่พวกหน่วยสอดแนมนั้นเข้าใจความรู้สึกของผู้บัญชาการของพวกเขาเป็นอย่างดี หนึ่งในพวกเขารีบก้าวออกมาและบอกสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆกับดยุค
“ท่านครับ” เขาพูด “องค์หญิงยังปลอดภัยดี ตอนนี้เธออยู่กับลอร์ดมิโรส และพวกเขาก็กำลังเข้าไปในป่าแบล็คฟอเรสเพื่อตามหาลอร์ดคาร์โนสครับ”
“หือ?” ดยุคอาเบลตอบอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง “เจ้าพูดว่ายังไงนะ?”
“องค์หญิงแอนนี่ยังมีชีวิตอยู่ครับท่าน” เขาพูดซ้ำอีกครั้ง “พระองค์ยังทำภารกิจค้นหาและช่วยเหลืออยู่ พวกเราแค่ถูกสั่งให้พากูลพวกนี้กลับมาที่ป้อมครับ”
ดยุคอาเบลถอนหายใจออกมายาวๆ; จากนั้นเขาก็สูดหายใจเข้าลึกๆ มันดูเหมือนกับว่าโลกได้กลับมาสว่างและสวยงามอีกครั้ง จากนั้นเขาก็หัวเราะออกมาอย่างแข็งแรง
“เยี่ยมมาก! เยี่ยมมาก!” เขาอุทาน “นี่ช่างเป็นข่าวที่ดีจริงๆ! คราวนี้บอกข้ามาว่าการต่อสู้เป็นยังไงบ้าง ข้าอยากจะรู้ว่าพวกเจ้าจับไอสัตว์ประหลาดบ้านี้มาได้ยังไง!”
จากนั้นทหารหน่วยสอดแนมคนเดิมก็เริ่มอธิบายอย่างละเอียดว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้างในตอนที่พวกเขาเจอกับกูลและการปรากฏตัวขึ้นอย่างกระทันหันของนักเวทย์ ไปจนถึงตอนที่พวกเขาจัดการและจับกุมพวกกูลได้ยังไง เขาเล่าว่า นักเวทย์ได้กำหนดให้พวกเขาพากูลกลับมาในขณะที่พวกเขาที่เหลือจะตรงไปช่วยเหลือนักดาบรุ่งอรุณ ไม่มีรายละเอียดไหนที่ขาดตกไปเลย
“ท่านผู้นั้นแข็งแกร่งมากเลยครับ” หน่วยสอดแนมพูดถึงลิงค์ “เขาเพียงแค่โบกมือในอากาศอย่างช้าๆ แล้วหน้าอกของพวกกูลก็ระเบิดออก!”
“แถมท่านผู้นั้นยังมีวิธียับยั้งไม่ให้กูลพวกนี้ตายด้วยนะครับ” อีกคนนึงอธิบาย “ดูที่หน้าอกของตัวนี้สิครับ มันเต็มไปด้วยของเหลวสีเงินที่ท่านนักเวทย์เรียกพวกมันว่าธาตุเงินศักดิ์สิทธ์”
“ท่านผู้นั้นบอกว่าเขาชื่อมิโรส” อีกคนนึ่งพูด “ผมจะเคารพเขาไปตลอดชีวิตเลย ผมรู้สึกว่าทุกคำที่เขาพูดออกมานั้นเป็นความจริง”
“ใช่ครับ” อีกคนนึงเห็นด้วย “ผมรู้สึกเหมือนกับว่าผมสามารถตายแทนเขาได้เลย!”
หน่วยสอดแนมพูดขึ้นมาพร้อมๆกัน และเสียงของพวกเขาก็ซ้อนทับกันจนฟังไม่ออกว่าพวกเขากำลังพูดอะไร แต่ดยุคอาเบลไม่ได้ห้ามพวกเขา เขากำลังตกใจกับฉากที่เกิดขึ้นอยู่ในใจ
นักเวทย์หนุ่มที่ปรากฏตัวขึ้นมาอย่างกะทันหันในตอนที่กลุ่มค้นหากำลังอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายสุดๆ จากนั้นเขาก็สามารถฆ่ากูล 3 ตัวได้ในทันที ถ้าเกิดว่าเขาไม่ได้ยินเรื่องพวกนี้จากปากของหน่วยสอดแนมหล่ะก็ เขาคงจะคิดว่ามันเป็นตำนานมากกว่าที่จะเป็นความจริง
แต่ แน่นอนว่าทุกอย่างที่พวกเขาพูดนั้นเป็นความจริง และนี่ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่านักเวทย์ที่เก่งมากๆได้มาทางเหนือแล้ว แต่ว่านักเวทย์คนนั้นเป็นใครกัน? ทำไมเขาถึงไม่รู้เรื่องเลยหล่ะ?
จากนั้นดยุคก็หันมาหานักเวทย์มาร์โค่และมองตรงเข้าไปในดวงตาของเขาเพื่อถามคำถามกับเขาโดยที่ไม่ได้พูดอะไร
“ท่านครับ” มาร์โค่กระซิบ “พวกเราต้องคุยกันเป็นการส่วนตัว”
ดยุคอาเบลพยักหน้าเบาๆก่อนที่จะหันกลับไปยังหน่วยสอดแนม
“พวกเจ้าทุกคนทำงานกันหนักมามากแล้ว” เขาพูด “ไปพักกันเถอะ ในเร็วๆนี้ พวกเจ้าจะได้รับรางวัล มาเอากูลพวกนี้ไปที่โบสถ์และให้นักบวชตรวจสอบพวกมันซะ”
จากนั้นทหารบางส่วนก็ก้าวออกมาและแบกพวกกูลไปที่โบสถ์ พวกหน่วยสอดแนมโล่งใจและดีใจที่พวกเขาได้กลับมาที่ค่ายและได้พักผ่อน ตลอดทางพวกเขาพากันพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าและเรื่องเกี่ยวกับนักเวทย์ทรงพลังที่ชื่อว่ามิโรส
ดยุคอาเบลและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดได้กลับมาที่โถงบัญชาการ ในตอนที่ไปถึงที่นั่นดยุคและนักเวทย์ได้เดินต่อไปจนถึงห้องส่วนตัวที่อยู่ในชั้น 2
“ตอนนี้เจ้าจะบอกข้าได้รึยังว่าตัวจริงของนักเวทย์ผู้นั่นเป็นใคร?” ดยุคถามด้วยน้ำเสียงเชิงตำหนิ
“ท่านครับ” มาร์โค่พูดอย่างถ่อมตัว “ข้าไม่ได้ตั้งใจที่จะปกปิดท่าน เขาเพิ่งจะมาถึงเมื่อไม่นานนี้เอง ดังนั้นผมเองก็เพิ่งจะรู้เหมือนกันครับ”
“เพิ่งรู้งั้นหรอ?” ดยุคถาม “เจ้าควรจะรู้เรื่องมาอย่างน้อย 3 ชั่วโมงแล้ว ทำไมเจ้าถึงยังไม่บอกข้าหล่ะ?” ดยุคอาเบลโกรธมากในตอนนี้ เขาเป็นผู้บัญชาการของกองทัพหลวง แต่ว่า เขากลับไม่ได้รับแจ้งว่าจะมีคนที่แข็งแกร่งมาเนี่ยนะ? มันช่างน่าคับแค้นใจยิ่งนัก!
“มันไม่ใช่ความตั้งใจของข้านะครับท่าน” มาร์โค่พูดต่อ เขารู้แล้วว่าเขาคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากบอกความจริงกับดยุคในตอนนี้ “มันเป็นคำสั่งจากอาจารย์ของข้า ผู้อาวุโสของสถาบันอีสโควฟ เขาคิดว่ายิ่งคนรู้ตัวจริงของนักเวทย์คนนี้น้อยก็จะยิ่งดี เพราะว่าเขาไม่ได้มาที่นี่เพื่อเข้าร่วมกับกองทัพ แต่ว่าเขามาเพราะมีภารกิจลับ…”
ดยุคอาเบลโบกมือของเขาเพื่อหยุดนักเวทย์
“โอเค, ข้าเข้าใจแล้ว” เขาพูด “บอกข้ามาว่าเขาเป็นใครกันแน่?”
“เขาคือบารอนคนใหม่ของที่รกร้างเฟิร์ดครับ นายท่าน” มาร์โค่ตอบ
ดยุคอาเบลถึงกับถลึงตากว้าง และเขาก็เงียบไปพักนึง
“ข้าไม่คิดเลยว่าเขาจะมาที่นี่ด้วยตัวเอง” ในที่สุดเขาก็พูดออกมา
ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว เขาก็จัดการกูล 3 ตัวที่มีเลเวลเทียบเท่ากับนักรบเลเวล 6 ได้แถมยังมีพลังในการยับยั้งไม่ให้กูลตายอีกด้วย
เมื่อเขาคิดถึงมัน ในที่สุดดยุคอาเบลก็ถอนหายใจออกมา ตอนนี้ลูกสาวของเขากำลังไปช่วยนักดาบรุ่งอรุณด้วยกันกับนักเวทย์ที่แข็งแกร่ง ดังนั้นเขาก็คงไม่มีอะไรที่จะต้องไปกังวลเกี่ยวกับความปลอดถัยของเธออีกแล้ว
แต่ว่า มันก็ยังคงห่างไกลจากคำว่าปลอดภัย
“เด็กหนุ่มคนนั้นยังมีอนาคตที่สดใสอีกมาก” ดยุคอาเบลพูดหลังจากที่ไตร่ตรองอยู่นาน “เขาจะมาตายในป่าแบล็คฟอเรสไม่ได้ พวกเราจะต้องทำทุกอย่างที่เราทำได้ ในตอนที่พวกเราลดแนวป้องกันลงมา พวกเราจะต้องโจมตีแบบเต็มกำลังจากทุกแนวรบ!”
“แต่ว่าท่านครับ นั่นเป็นตัวเลือกที่ดีแล้วงั้นหรอครับ?” มาร์โค่ถามด้วยความตกใจ “ภัยคุกคามจากกูลยังห่างไกลจากคำว่ากำจัดได้อยู่นะครับ”
ดยุคยิ้ม
“มันเป็นเพียงแค่การดึงความสนใจของพวกดาร์กเอลฟ์เท่านั้น” เขาพูด “มีอะไรที่เจ้าต้องกังวลอีกหล่ะ?”
ในที่สุดมาร์โค่ก็เข้าใจในสิ่งที่ดยุคต้องการจะสื่อและยิ้มออกมา
“ท่านพูดถูกแล้วครับ” นักเวทย์พูด “ผมเพียงแค่ไม่เข้าใจความตั้งใจที่แท้จริงของท่านในตอนแรก”