advent of the archmage - Chapter 221: กลูแห่งป่าแบล็คฟอเรส
บนยอดภูเขาน้ำแข็งของแบล็คฟอเรสทางตอนเหนือของอาณาจักรนอร์ตัน
สีเดือนก่อน, กองทัพของอาณาจักรนอร์ตันได้ขัดขวางการโจมตีจากดาร์คเอลฟ์เป็นครั้งแรกที่ยอดภูเขาน้ำแข็ง ตั้งแต่นั้นมา, พวกเขาก็มุ่งหน้าผ่านป่าแล้วเข้าไปในอาณาจักรพาลิค
ขณะที่พวกเขามุ่งหน้า, ยอดภูเขาน้ำแข็งเองก็เปลี่ยนจากสนามรบเป็นค่ายแนวหลังของกองทัพอาณาจักรนอร์ตัน ตอนนี้หลังจากการก่อสร้างนานหลายเดือนด้วยเงินทุนที่แทบจะไม่มีจำกัด, มันก็ได้กลายเป็นป้อมปราการขนาดยักษ์
วันนี้, สภาพอากาศเลวร้ายเหมือนปกติพร้อมกับเมฆดำในท้องฟ้าและสายลมเจ็บแสบที่พัดผ่านอากาศ อุณหภูมิที่ต่ำของที่นี่สามารถแช่แข็งใบหน้าของผู้คนได้อย่างง่ายดาย แต่ถึงอย่างนั้น, การ์ดประจำป้อมก็ยังไม่กล้าเลินเล่อในหน้าที่ของพวกเขาแม้ว่าจะเจอกับสภาพอากาศแบบนี้ก็ตาม มีทหารหน่วยนึงเดินลาดตระเวณนอกกำแพงป้อม ทหารเหล่านี้ถูมือของพวกเขาและย่ำเท้าเพื่อรักษาความอบอุ่นเอาไว้, แต่ดวงตาของพวกเขาก็ยังคมกริบและระมัดระวังในขณะที่พวกเขาคุ้มกันกำแพงทางเหนือของค่าย
ป่าแบล็คฟอเรสนั้นหนาวอย่างมืดครึ้มและเจ็บแสบ ในตอนที่สายลมพัดผ่านต้นไม้ในป่า, มันจะทำให้เกิดเสียงหอนประหลาดๆ ยิ่งไปกว่านั้น, ป่าแห่งนี้ก็ดูเหมือนจะเต็มไปด้วยฝูงกาซึ่งปรากฎขึ้นมาอย่างกระทันหันและส่งเสียงร้องดังสนั่น
มันเหมือนกับว่าป่าแบล็คฟอเรสถูกหลอกหลาน!
จากนั้น, หน่วยทหารก็ได้ยินเสียงกุบกับของม้าเข้ามาทางป้อมปราการ หัวหน้าการ์ดตะโกนสั่งในทันที “ทุกคน, เตรียมป้องกัน!”
เหล่าทหารกำอาวุธของพวกเขาแน่น นักธนูเตรียมลูกธนูของพวกเขา, ในขณะที่ทหารคนอื่นจดจ่อสายตาไปทางตำแหน่งที่ม้ากำลังเข้ามา ถ้าพวกเขาสังเกตุเห็นอะไรผิดปกติ, พวกเขาก็จะไม่ลังเลที่จะโจมตีในทันที
ม้าเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ, และหลังจากผ่านไปประมาณครึ่งนาที, กลุ่มอัศวินก็โผล่ออกมาจากป่าหนาทึบ มีอัศวินทั้งหมด 13 คน, และชุดเกราะของพวกเขาทุกคนก็เปื้อนไปด้วยเลือด อัศวินที่อยู่ข้างหน้าสวมชุดเกราะสีเขียวเข้ม, และเขาก็กำลังแบกนักเวทย์เลือดท่วมที่กำลังจะตายคนนึงเอาไว้บนอานม้าของเขา
“ข้าชื่อฟอลคอน, อัศวินหลวงของอาณาจักรนอร์ตัน! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!” อัศวินที่แบกนักเวทย์มาด้วยตะโกน
ฟอลคอน, อัศวินหลวงของอาณาจักร, เป็นนักรบเลเวล 6 และหัวหน้าของแนวหน้า อาวุธของเขาคือดาบกางเขนศักดิ์สิทธิ์ พอออร่าต่อสู้ไหลเข้าไปในดาบเล่มนี้, มันก็จะเปล่งแสงศักดิ์สิทธิ์สีเงินที่เป็นเอกลักษณ์ของดาบออกมา
หน่วยทหารมองไปที่ดาบแล้วรออีกห้าหรือหกวินาที หลังจากระบุได้ว่าฟอลคอลไม่ได้ถูกศัตรูไล่ตามหลังมา, พวกเขาก็เปิดประตูป้อมปปราการอย่างช้าๆแล้วให้เขาเข้ามา
อัศวินรีบวิ่งผ่านประตูป้อมก่อนที่มันจะปิดลงอีกครั้งในทันทีที่พวกเขาทุกคนเข้าไป มันไม่ปล่อยให้เสียเวลาเลยแม้แต่วินาทีเดียว
พอพวกเขาทุกคนเข้าไป, ฟอคอนก็อุ้มนักเวทย์เลือดท่วมลงมาจากอานม้าแล้วส่งตัวเขาให้อัศวินที่อยู่ข้างๆ
เขาสั่ง “รีบพาอาเตอร์ไปหานักบวชเร็วเขา!”
จากนั้นอัศวินก็รับตัวนักเวทย์หนุ่มมาแล้ววิ่งตรงไปยังโบสถ์เล็กๆของป้อมปราการ นักเวทย์, อาเตอร์ถูกฟันที่คอ, แต่โชคดีที่, เส้นเลือดใหญ่ของเขาไม่ขาด, ดังนั้นเขาจึงยังมีชีวิตอยู่
ฟอลคอนวิ่งเข้าไปอีก 150 ฟุตจนเข้าไปในจตุรัสก่อนที่จะลงจากหลังม้า เขาส่งม้าให้ทหารที่อยู่ใกล้ๆในขณะที่ตัวเขารีบเข้าไปในหอสั่งการ
ภายในหอ, มีเสียงดังมาจากหลายจุด บางจุดเป็นนายพลกับเจ้าหน้าที่, ขณะที่จุดที่เหลือเป็นเสมียนกับทหาร พวกเขาทุกคนต่างก็ปรึกษากันเรื่องแผนกลยุทธ์ของพวกเขา
ฟอลคอนเดินไปถึงทางเข้าแล้วปาดรอยเลือดที่แข็งติดหน้าของเขา
“ท่านครับ” เขาตะโกนดังลั่น “ค่ายแนวหน้าถูกโจมตีครับ!”
ทั้งหมดกระทันหันมาก, ทั้งห้องตกอยู่ในความเงียบ สายตาของทุกคนหันไปหาฟอลคอน ดยุคอาเบล, ที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะยาว, หันไปหาฟอลคอนด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“เจ้าว่ายังไงนะ?” เขาถาม “ลองว่ามาอีกทีซิ!”
ฟอลคอนรีบเข้าไปในห้องพร้อมกับสัญญาณของความตื่นตระหนักที่ยังอยู่ในดวงตาของเขา
“พวกกลูมาป่วนการป้องกันของพวกเราเมื่อเช้านี้ครับท่าน” เขารายงาน “จากนั้นกองทหารเขี้ยวดำของกองทัพดาร์คเอลฟ์ก็จู่โจมค่ายของพวกเราอย่างกระทันหัน มีทหาร 5,000 คนอยู่ที่แนวหน้า…แต่หนีมาได้แค่ 13 คนเท่านั้นครับ”
กลูเป็นกลุ่มดาร์คเอลฟ์ที่น่าสะพรึงกลัวซึ่งอยู่ๆก็ปรากฎขึ้นในสนามรบตั้งแต่เริ่มสงคราม ความเร็วของพวกมันนั้นราวกับสายลม, พวกมันเกือบจะหายตัวได้, และพวกมันก็ไม่รู้จักเหนื่อย นักดาบและอาวุธทั่วๆไปไม่มีทางฆ่าพวกมันได้, ต่อให้โจมตีโดนจุดตายของพวกมันก็ตาม สรุปง่ายๆ, กลูพวกนี้ใกล้เคียงกับคำว่าเหนือธรรมชาติ!
มีทหารแค่ 13 คนจาก 5,000 คนเท่านั้นที่สามารถหนีออกมาจากค่ายแนวหน้าได้ พูดอีกนัยนึงก็คือ, ทั้งค่ายถูกทำลายย่อยยับ
ใบหน้าของดยุคอาเบลเปลี่ยนเป็นตึงเครียดและหนาวเหน็บ
“แล้วคาร์โนสหล่ะ?” เขาถามฟอลคอน “เขาไม่ได้อยู่ที่ค่ายแนวหน้าหรอ? เขาไปไหน?”
ป่าแบล็คฟอเรสนั้นเป็นที่ที่กลูส่วนใหญ่อยู่; ซึ่งมันคือพื้นที่รอบๆค่ายแนวหน้า เพื่อช่วยพวกเขาในการต่อสู้, นักดาบรุ่งอรุณจึงถูกส่งไปที่นั่น ในฐานะที่เขาเป็นนักรบเลเวล 8 คนเดียวในอาณาจักร, เขาจึงถูกมองว่าเป็นบุคคลที่เหมาะสมที่สุดที่สามารถกำจัดภัยคุกคามจากกลูพวกนี้ได้ แต่ไม่ว่านักรบคนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน, ท้ายที่สุดแล้ว, เขาก็ตัวคนเดียว, ในขณะที่จำนวนทั้งหมดของกลูนั้นยังไม่แน่ชัด จนถึงตอนนี้, ตามที่รายงานมา, มีพวกมันมากกว่าหนึ่งร้อยตัวแล้ว ตัวตนของนักดาบรุ่งอรุณนั้นไม่สามารถทำอะไรได้นอกจากยับยั้งการโจมตีอันป่าเถื่อนของกลูได้ชั่วคราว
ดวงตาของฟอลคอนเปลี่ยนเป็นสีแดงในขณะที่เขาคิดถึงคาร์โนส
“ผมไม่รู้ครับท่าน” เขาพูด “เพื่อปกป้องพวกเราและทำให้มั่นใจว่าพวกเราหนีออกมาจากค่ายได้, ลอร์ดคาร์โนสจึงตัดสินใจอยู่ที่นั่นและต่อสู้ถ่วงเวลาเอาไว้ให้ สำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขาในตอนนี้นั้น, ผะ…ผมไม่รู้ครับ”
พอถึงตอนนี้มันเงียบมากจนเสียงหมุดตกบนพื้นสามารถดังก้องไปทั่วห้องได้
ทุกคนที่อยู่ที่นี่เคยผ่านสงครามมาก่อน, ดังนั้นพวกเขาจึงรู้ถึงความโหดร้ายป่าเถื่อนของมันดี พวกเขารู้ว่าต่อให้คาร์นอสเป็นนักรบอมตะในตอนที่เผชิญหน้ากับกองทัพ, แต่มากที่สุดที่เขาทำได้ก็คือฆ่าทหารหนึ่งร้อยคนเท่านั้น เขาคงไม่สามารถหนีรอดจากความตายได้แน่ๆ
พูดอีกนัยนึงก็คือ, นักรบที่เก่งที่สุดของอาณาจักรนอร์ตันได้ตายในการต่อสู้แทบจะแน่นอนแล้ว
ความเงียบปกคลุมไปทั่วห้อง ไม่มีใครส่งเสียงเลยตลอดสามนาทีนี้ จากนั้น, ดยุคอาเบลก็ยืนขึ้นแล้วสุดหายใจเข้าลึกๆก่อนที่จะมองนายพลทุกคนที่อยู่ในห้องโถง
“มังถึงเวลาลดแนวป้องกันลงแล้ว!” เขาพูดอย่างเย็นชา
ตอนนี้, มีทหาร 190,000 นายที่อยู่ทางเหนือซึ่งถูกแบ่งออกเป็นสิบกอง กองทหารเหล่านี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ยอดภูเขาน้ำแข็งซึ่งได้สร้างเป็นแนวป้องกันทางเหนือของแบล็คฟอเรส ส่วนค่ายแนวหน้านั้น, ในอีกด้านนึง, อยู่ห่างจากป้อมปราการไปทางเหนือ 50 ไมล์
พอค่ายแนวหน้าถูกโจมตี, ตอนนี้ก็มีกองทหารเหลือแค่กองเดียวเท่านั้นที่จะปกป้องป้อมปราการได้ สถานการณ์ค่อนข้างอันตรายเกินไป ถ้าความพ่ายแพ้มาจากการต่อสู้ปกติ, กองทัพอาณาจักรนอร์ตันก็คงจะสามารถตอบโต้ด้วยการโจมตีขนาบข้างของสนามรบและสอนบทเรียนที่รุนแรงให้กับดาร์คเอลฟ์ได้อย่างแน่นอน แต่ตอนนี้พอมีพวกกลูเข้ามาเอี่ยวด้วย, เรื่องก็เลยตึงมือขึ้นมาก
กลูพวกนี้ซ่อนตัวอยู่ในป่าแบล็คฟอเรสและแทบจะไม่สามารถแกะร่องรอยได้ หน่วยสอดแนมจาก MI3 นั้นไม่สามารถต่อสู้กับพวกมันได้, และการเผชิญหน้าทั้งหมดพวกกลูได้ตายไปเป็นจำนวนที่น้อยมากๆ
จนถึงตอนนี้, จำนวนของหน่วยสอดแนมใน่ป่าลดลงเรื่อยๆ, และกองทัพก็ได้รับข้อมูลน้อยลงเรื่อยๆ ตอนนี้, การติดต่อระหว่างหน่วยต่างๆแทบจะถูกตัดขาดทั้งหมดด้วยฝีมือของกลูพวกนี้ซึ่งทำให้การทำสงครามนั้นเป็นเรื่องที่ยากลำบากขึ้นมาก
ในกรณีนี้, กลยุทธ์ที่ปลอดภัยที่สุดก็คือถอยแนวป้องกันลงไป ดยุคอาเบลยังมีข้อสงสัยบางอย่างเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้อยู่, แต่ตอนนี้ได้สูญเสียนักรบที่เก่งที่สุดในกองทัพไปแล้วและค่ายแนวหน้าทั้งหมดก็ถูกทำลาย, เขาต้องทำการตัดสินใจแล้ว
เหล่านายพลไม่ได้พูดอะไร เพราะทุกคนรู้ว่า ณ จุดๆนี้โดยพื้นฐานแล้วมันเป็นการต่อสู้ที่เป็นไปไม่ได้ พวกเขาถึงกับเริ่มเตรียมพร้อมออกคำสั่งถอนกำลัง
จากนั้นดยุคอาเบลก็หันไปหาชายที่สวมเกราะหนังสีเทาข้างๆเขา
“คาร์โนสอาจจะยังมีชีวิตอยู่” เขาพูด “ข้าอยากให้เจ้าส่งกลุ่มค้นหาออกไปและหาข่าวของคาร์โนส”
ชายคนนั้นชื่อดีโล่ เขาเป็นผู้บัญชาการหน่วยสอดแนมของ MI3 เขามีหน้าที่รวบรวมข้อมูลในสนามรบ หนึ่งเดือนก่อน, เขาทำงานได้ยอดเยี่ยมและเกือบจะจัดการกองทัพดาร์คเอลฟ์ได้แล้ว แต่ว่าตั้งแต่ที่กลูปรากฎตัว, สงครามก็กลับตาลปัตรอย่างสมบูรณ์
ดีโล่ขมวดคิ้วในตอนที่เขาได้ยินคำสั่งของดยุคอาเบล
“ท่านครับ” เขาพูดเบาๆ “ป่าแบล็คฟอเรสมีพวกกลูอยู่เต็มไปหมด ถ้าพวกเราส่งคนเข้าไปในป่ามากกว่านี้, ก็มีแต่จะทำให้มีคนตายเพิ่มขึ้นนะครับ”
เขาไม่ได้พูดแบบนี้ออกมาเพระความขี้ขลาด เขาได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งเดือนมานี้แล้วว่าทีมสอดแนมทุกทีมที่ส่งเข้าไปในป่าแบล็คฟอเรสนั้นมีแค่ประมาณ 10% เท่านั้นที่รอดกลับมาได้ทั้งๆที่ยังมีชีวิตอยู่ ณ จุดนี้, ข่าวทั้งหมดที่กษัตริย์และกองทัพได้รับนั้นต้องแลกมาด้วยชีวิตของหน่วยสอดแนม
แน่นอนว่า, ในฐานะหัวหน้าของหน่วยสอดแนม, เขาเสียใจที่เห็นสมาชิกระดับสูงของเขาต้องสังเวยชีวิตไปคนแล้วคนเล่า
แต่ว่าดยุคอาเบลนั้นเดือดขึ้นมาในตอนที่เขาได้ฟังการตอบกลับของดีโล่
“หยุดแก้ตัวได้แล้ว!” เขาพูด “นี่เป็นคำสั่งกองทัพ! ทุ่มทุกอย่างแล้วหาเขาให้เจอซะ!” เขารู้ถึงอันตรายในป่าแบล็คฟอเรสดี แต่, คาร์โนสไม่ใช่แค่นักรบเลเวล 8—เขายังเป็นแหล่งกำลังใจของทั้งกองทัพด้วย
ถ้าแม้กระทั่งนักดาบรุ่งอรุณยังตายในสงครามนี้, คนที่เหลือในกองทัพจะเอาความกล้าที่ไหนมาอยู่ทางตอนเหนือต่อ? พวกเขาจะต่อสู้ในสงครามนี้ได้ยังไง?
“น้อมรับบัญชาครับ” ดีโล่พูด เขาไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว จากนั้น, เขาก็รีบออกจากห้องโถงไปแล้วเริ่มจัดการตามคำสั่ง
จากนั้นทุกคนก็ต้องประหลาดใจ, ดีโล่กลับมาที่ห้องโถงอีกครั้งหลังจากผ่านไปสิบนาที
“มีอะไรอีก?” ดยุคอาเบลถามอย่างหมดความอดทน
“ท่านครับ” ดีโล่พูดด้วยน้ำเสียงงึมงำขณะที่เขาเดินมาหาดยุค “องค์หญิงยืนกรานว่าเธออยากจะเข้าร่วมทีมค้นหาด้วย ผมมาที่นี่เพื่อขอคำแนะนำจากท่านครับ”
"…"
ดยุคเหล็กอ้าปากค้างด้วยความตกใจไปพักนึง เขาอยากบอกดีโล่ให้ปฏิเสธคำขอของลูกสาวของเขา, แต่ในขณะที่เขากำลังจะพูดคำนั้นออกมา, เขาก็พบว่าทุกคนในห้องโถงกำลังเฝ้ามองเขา พวกเขาต้องได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนี้แล้วแน่ๆ
เขาลังเลอยู่พักนึง, แต่ในที่สุด, ดยุคอาเบลก็บอกการตัดสินใจของเขากับดีโล่
“ปล่อยเธอไป” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “อย่าปฏิบัติกับเธอแตกต่างจากสมาชิกคนอื่นๆในทีม การค้นหาและช่วยเหลือคาร์โนสเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด”
ลูกสาวของเขา, แอนนี่, ในตอนนี้เป็นแค่นักฆ่าเลเวล 4 ในอดีต, เลเวลเท่านี้ก็ถือได้ว่าแข็งแกร่งแล้ว แต่ตอนนี้ด้วยพวกกลูที่อยู่รอบๆ, การส่งคนเลเวลเท่าเธอเข้าไปในป่าก็แทบจะเป็นการตัดสินโทษตายให้กับเธอ แต่ตอนนี้, เขาไม่สามารถหยุดมันได้; มันคือราคาที่เขาต้องจ่ายสำหรับการเป็นผู้บัญชาการกองทัพ
จากนั้นดยุคอาเบลก็ยืนขึ้นแล้วประกาศ “ข้าต้องไปพักซักหน่อยแล้วหล่ะ”
เขาลุกออกไปจากโถงบัญชาการในขณะที่สายตาทั้งหมดจับจ้องไปที่เขา ดูเหมือนว่าดยุคเหล็กจะแก่ขึ้นไปอีกสิบปีในช่วงไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ แม้กระทั่งการเดินของเขาก็ยังดูอ่อนแอมากขึ้นในตอนนี้
“ดีโล่” ทหารคนสนิทของดยุคกระซิบ “เจ้าต้องไม่ปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับองค์หญิงนะ”
“ข้าจะทำเท่าที่ทำได้” ดิโล่พูดด้วยรอยยิ้มบางๆ อันที่จริง, มันสายเกินไปแล้วสำหรับเขาที่จะทำอะไรได้ในตอนนี้
…
ข่าวที่ค่ายแนวหน้าถูกโจมตีและชะตากรรมของนักดาบรุ่งอรุณไม่สามารถเก็บเป็นความลับได้นานนัก ในตอนที่ทีมค้นหาออกไปจากยอดเขาน้ำแข็ง, ผู้คนหลายหมื่นคนในป้อมปราการก็ได้ยินข่าวนี้แล้ว
เป็นเวลาพักนึง, ที่บรรยากาศในป้อมตึงเครียดมากๆ แม้ว่ากองกำลังหลักของกองทัพจะยังไม่แพ้, แต่ขวัญกำลังใจของพวกเขาก็ลดลงอย่างรวดเร็ว ในตอนนี้, ป่าแบล็คฟอเรสมีความเป็นสนามรบน้อยลง, แต่เป็นขุมนรกที่ดูดกลืนชีวิตเข้าไปในส่วนที่ลึกและมืดที่สุดของมันมากกว่า
หลังจากที่ทีมค้นหาออกไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง, ก็มีคนสวมผ้าคลุมสีดำหลวมๆเดินออกมาจากป่าใกล้กับป้อมปราการ คนๆนั้นก็คือลิงค์
เขาเพิ่งจะมาถึง, ดังนั้นเขาจึงไม่รู้เรื่องสถานการณ์ในตอนนี้
เขาจ้องไปที่ป้อมปราการอันแข็งแกร่งและยิ่งใหญ่ที่อยู่เบื้องหน้าเขาและอดชื่นชมมันไม่ได้
“พวกเขาสร้างป้อมปราการที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ได้ในเวลาไม่ถึงครึ่งเดือนเลยหรอเนี่ย” เขาอุทาน “ไม่ธรรมดาจริงๆ!”
จากนั้นเขาก็รีบเดินไปที่ประตูป้อม