เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 297 – ความพ่ายแพ้ของกงซุน เจี้ยนหวู่
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 297 – ความพ่ายแพ้ของกงซุน เจี้ยนหวู่
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 297 – ความพ่ายแพ้ของกงซุน เจี้ยนหวู่
ชิงสุ่ยค่อยๆตระหนักถึงการใช้พลังจิตวิญญาณที่น่าเกรงขามของเขาอีกครั้ง – มันช่วยให้เขานั้นแบ่งจิตใจของเขาได้ มันสามารถช่วยให้เขาสามารถทำอะไร สอง สามหรือแม้กระทั่งสี่สิ่งในครั้งเดียว …
ชิงสุ่ยกำลังคิดว่าเขาต้องใช้พลังจิตวิญญาณที่มหาศาลมหาศาลเมื่อเขาเข้าถึงเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าในระดับที่9 ซึ่งในตอนนี้เขานั้นอยู่เพียงระดับที่ 4 ของเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าเท่านั้น
ปัจจุบันเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาก็อยู่ในระดับที่4 เช่นเดียวกับเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าของเขา
สิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้ก็คือการได้ประจักษ์ขึ้นมากของดอกบัวสี่ดอก บางทีเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าของเขาอาจจะที่มีการเปลี่ยนแปลงไปพร้อม ๆกันกับเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขา ? จากนั้นเพื่อให้ไปถึงระดับสุดท้ายเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าหมายความว่าเขาต้องบ่มเพาะเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาให้ไปถึงระดับที่9หรือ………
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมาชิงสุ่ยไม่สามารถทำอะไรได้ เขาได้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นออกมา เขานั้นไม่เคยคิดว่าเขาจะสามารถบ่มเพาะไปถึงระดับ 9 ของเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาได้ เขาได้แค่จินตนาการเกี่ยวกับมันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น การไปถึงระดับสุดท้ายนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่าปีนขึ้นไปบนสวรรค์ซะอีก
โชคดีที่ชิงสุ่ยไม่ได้ตั้งเป้าหมายที่สูงเกินไปสำหรับตอนนี้ เป้าหมายนั้นอยู่ไกลเกินไปสำหรับเขาดังนั้นตอนนี้เขาได้ตั้งเป้าหมายที่บรรลุระดับที่ 5 เพื่อตอบสนองความต้องการของแม่เท่านั้น มันเป็นเวลายี่สิบปีมาแล้วที่แม่ของเขาต้องอดทนมา ถึงเวลาที่ต้องชำระหนี้แค้นพร้อมดอกเบี้ยนั้นแล้ว เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่งมันก็มาเกินพอแล้ว
เขาพยายามอย่างสุดความสามารถในการควบคุมดอกบัวสีทองและเริ่มเพิ่มจำนวนมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นชิงสุ่ยสะสมพลังของเขาเพิ่มเข้าไปอย่างล้นหลาม พลังและความเร็วที่ของมันก็ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว รัศมีสีทองอร่ามไดเปรากฎบนดอกบัวสีทองมันเกิดจาก "พลังศักดิ์สิทธิ์" ซึ่งเป็นพลังที่ชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดลงไป
เมื่อชิงสุ่ยได้ใช้ดอกบัวสีทองออกมาสองดอก เขาตระหนักได้ว่าระยะทางที่เขาสามารถควบคุมได้เพิ่มขึ้นเป็น 4 เมตร ทำให้เขามีความสุขอย่างมาก เขาสงสัยว่าระยะทางเพิ่มขึ้นนี้จะสัมพันธ์กับจำนวนดอกบัวหรือไม่
แต่เขาไม่เคยทดลองกับมันมาก่อน ตอนนี้เขาต้องการที่จะควบคุมดอกบัวทองทั้งสองของเขาไห้คล่องก่อน "สิ่งต่างๆ" มันเชื่อมโยงกันโดย "ปราณเทวะเซียนเทียน" มันเป็นการจู่โจม และการป้องกันที่ดี มันสามารถเทียบได้กับระดับเดียวกับอาวุธที่เขาสร้าง เพียงแค่ว่ามันมีจุดด้อยที่มีการดูซับปราณจำนวนมาก มันจึงทำให้เข้าสามารถใช้มันได้ไม่นาน ดังนั้นศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์ก็ยังใช้ประโยชน์ได้ดีกว่า
ถ้าเป็นการต่อสู้กันระหว่างคนที่เข้มแข็งและคนที่อ่อนแอ หลังจากที่ใครคนหนึ่งใช้ศาสตราวุธศักดิ์สิทธิ์มันก็ทำให้เขานั้นกำหลาบอีกฝ่ายได้ แต่มันก็จะทำให้เขานั้นใช้ปราณเทวะเซียนเทียนทั้งหมดไปภายในระยะเวลาอันสั้น อย่างไรก็ตามมันจะกลายเป็นปัญหาถ้าใช้เวลานาน
เขาปล่อยให้ดอกบัวสีทองสองสุดท้ายหายตัวไปในอากาศ ชิงสุ่ยได้สำเร็จในการสร้างดอกบัวสีทองจากเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า มันเหนือความคาดหมายของเขาในวันนี้ว่าเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า ของเขาจะเปลี่ยนแปลงไป เมื่อเขาคิดถึงเรื่องนี้ มันเป็นเรื่องน่าประหลาดใจอย่างยิ่ง
ต่อไปชิงสุ่ยได้ฝึกฝนทักษะการปรุงยาของเขากับหม้อกลั่นยาเหล็กทองคำประกายเพลิง เขาได้รับประมาณประสบการณ์มาหนึ่งในสามของประสบการณ์ทั้งหมดเมื่อไม่นานมานี้โดยไม่รู้ตัว แต่ยาเม็ดวายุธราพื้นฐานยังคงต้องการประมาณประสบการณ์ 330,000 ประสบการณ์ ซึ่งจำนวนดังกล่าวมันนั้นน้อยกว่าที่ยาเม็ดวิศิษฐ์โฉมต้องในครั้งที่ผ่านมา
ยาฟื้นฟูขนาดเล็กที่เขาปรุงขึ้นนั้นจัดว่าเป็นยาระดับที่1ขั้นราชา ส่วน ยาเม็ดฟื้นฟูมหัศจรรย์และยาเม็ดวิศิษฐ์โฉมที่เขาปรุงขึ้นนั้นจัดว่าเป็นยาระดับที่ 2ชั้นราชา มันอะไรที่หน้าเสียดายมากที่เขาไม่สามารถปรุงพวกมันขึ้นได้ในเวลาอันสั้นๆ
“ยาระดับ 10 ขั้นราชานั้นมีศักยภาพในการเพิ่มการบ่มเพาะได้สองเท่า แล้วถ้ามันอยู่ที่ในขั้นราชวงศ์? มันสามารถเพิ่มการบ่มเพาะขึ้นได้กี่เท่า? แล้วขั้นจักรพรรดิ, ขั้นนักบุญ และ ขั้นศักดิ์สิทธิ์ละมันจะมีผลอย่างไร?”
เป็นไปได้ไหมว่า ยาขั้นนักบุญนั้นสามารถทำให้มนุษย์เกิดใหม่ในฐานะพระเจ้า? เขาได้คาดการอย่างรวดเร็ว เขามีลางสังหรณ์ว่าจะเป็นอย่างนั้น แม้แต่ส่วนผสมที่จำเป็นสำหรับตัวยาขั้นจักรพรรดิเป็นของหายากในของหายาก นับประสาอะไรกับตัวยาขั้นนักบุญ พวกมันอาจจะเคยเป็นสมุนไพรที่เคยกล่าวถึง แต่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน
มีทุ่งสมุนไพรขนาดใหญ่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ชิงสุ่ยได้เพื่อใช้พวกมันในการปรุงยาของเขา พื้นที่นี้เหมาะสำหรับการใช้งานของ ชิงสุ่ยอย่างมาก มันนั้นมีความสามารถในการหมุนเวียนเป็นวัฎจักร เมื่อเขาใช้มันไปในอดีตและมันก็สามารถงอกขึ้นมาใหม่และฟื้นฟูตัวเองได้เหมือนดังเก่า ทำให้เขาสามารถใช้มันได้อย่างไม่มีจำกัด
สำหรับการปรุงยานั้นชิงสุ่ยได้ฝึกฝนเน้นเฉพาะในการสร้างยาบรรเทาทองคำ ยาฟื้นฟูขนาดเล็ก และ ยาเม็ดเสริมความทนทาน สลับกันไป และบางทีอาจเป็นเพราะเขามีประสบการณ์จำนวนมากและความชำนาญที่สูง เขาจึงสามารถสร้างมันออกมาได้ถึงสองเม็ดในครั้งเดียว โดยที่พวกมันนั้นคุณสมบัติเข่นเดียวกับต้นแบบของมัน
นี้เป็นอะไรที่พิเศษสำหรับ ชาง หวู่ย่า และ เฟย หวู่จี้!
ในทวีปแห่งนี้ มีเรื่องราวเกี่ยวกับการดื้อยา มีการระบุว่ายิ่งใช้ยาชนิดเดิมๆบ่อยๆยิ่งทำให้การต้านทานของยามากขึ้น มันจะคุณภาพที่ดีของยาตัวอื่นถูกต้านทานทำให้ด้อยคุณภาพลง
เช่นเดียวดับยาฟื้นฟูขนาดเล็กที่สามรถทานได้แค่2เม็ด ต่างกับ ยาเม็ดฟื้นฟูมหัศจรรย์ที่สามารถทานได้แค่เม็ดเดียว ชิงสุ่ย คาดเดาว่าสำหรับเม็ดเช่น ยาเม็ดฟื้นฟูมหัศจรรย์หรือยาเม็ดที่อยู่ในระดับที่สูงกว่านั้น มันสามารถรับประทานได้แค่คนละเม็ดเท่านั้นในชีวิต
ประเด็นหลักก็คือพวกมันนั้นยากที่จะปรุงขึ้นมา ปริมาณที่สำเสร็จในครั้งเดียวมันน้อยมากและมีอัตราความล้มเหลวที่สูง ดังนั้นทุกเม็ดมีจึงคุณค่าอย่างมาก
ในวันถัดไป ชิงสุ่ยได้ไปที่ลานประลองกลาง เพื่อฝึกซ้อมตอนเช้าของเขา คราวนี้มีคนจำนวนมากกว่าเก่าที่เขามาทักทายเขาอย่างคึกคักและอบอุ่น ชิงสุ่ยได้แค่ยิ้มตอบกับไป เขานั้นรู้เหตุผลว่าเพราอะไรดีอยู่แล้ว
"อย่าบอกข้านะ ว่าเขาถูกบังคับโดยผู้นำสาวก?"
ชิงสุ่ยไม่ต้องการเอาตัวเองไปอยู่ในวงสนทนาของคนอื่น หลายคนต่อสู้อย่างหนักเพื่อตำแหน่ง ผู้นำสาวกนี้ ชิงสุ่ยนั้นไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับพวกเขาได้ในขณะนี้ แม้ว่าเขาจะอยู่ภายใต้การดูแลดูแลของชาง หวู่ย่าและ เฟย หวู่จี้ แต่เขาก็นั้นไม่ต้องการที่จะเป็นภาระพวกเขามากนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้ความโปรดปรานส่วนตัวมาเกี่ยวข้อง
ชิงสุ่ยให้สูตรเหล้าเชี่ยงชุนกระดูกเสือ และ ยาฟื้นฟูขนาดเล็กเป็นของขวัญ เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณทั้งหมดของเขาแด่ ชาง หวู่ย่าที่สอน ทักษะย่างก้าวอำพรางเมฆ, ฝ่ามือสังหารเทวอัสนี และ การคุ้มครองศักดิ์สิทธิ์ไม่ว่าเขาจะสามารถทดแทนบุญคุณทั้งหมดได้หรือไม้ แต่เขาก็ได้พยายามทำอย่างดีที่สุด
ชิงสุ่ย ยังคงฝึกทักษะไทเก๊กของเขาอยู่ เขากำลังฝึกมันอยู่ในความคิด ดังนั้นเขาจึงไม่ได้ใช้พลังทั้งหมดออกมาเพราะมันนั้นเป็นการแสดงออกที่เกินจำเป็น ในตอนนี้ชิงสุ่ยไม่คำนึงถึงสิ่งต่างๆที่เข้ามาในสายตาของเขา ชิงสุ่ยค่อยๆปิดตาของเขาลงและเคลื่อนไหวไปตามความรู้สึกของตัวเอง
"มองไปที่หมัดที่เยี่ยมยอดนั้นสิ มันจะดีมากถ้ากำปั้นเหล็กของข้า สามารถการเคลื่อนไหวได้นุ่มนวลเช่นนี้ … "ชายที่มีหนวดพูดขึ้นด้วยท่าทางชื่นชม
"ถูกต้องอย่าประมาทความนุ่มนวลของเขา เป็นสิ่งที่แม้แต่ผู้ที่บ่มเพาะเทวะเซียนเทียนระดับสิบก็ไม่สามารถสู้ได้ ข้ารู้สึกได้ถึงแรงกดดันบางอย่างจากเขา "มีคนจำนวนมากที่เข้ามามองดูในทันที
…………………………………………… ..
ชิงสุ่ยถึงกับพูดอะไรไม่ออก เขาได้ยินคำเหล่านี้ทั้งหมด นั่นคือธรรมชาติของมนุษย์ หลังจากที่พวกเขาได้เห็นความพ่ายแพ้ ของกงซุน เจี้ยนหยุ่นด้วยการจู่โจมเพียงครั้งเดียว กากต่อยนั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนอื่น ๆ
แสงแดดยามเช้าส่องลงบนสนามตกกระทบลงบนร่างกายของชิงสุ่ยมันทำให้เขาหลงใหลมันอย่างมากมันคือ "ความมีชีวิตชีวา" แสงของดวงอาทิตย์ตอนเช้า นั่นคือกลิ่นอายของ "ชีวิต" เป็นกลิ่นที่กล้าแกร่งและอบอุ่น
ชิงสุ่ยพ่นลมหายใจที่ยาวออกมาก่อนที่เขาจะหายใจเข้าอย่างช้าๆราวกับขับไล่ของเสียทั้งหมดออกมาและกำลังขับไล่สิ่งที่ไม่ดีออกจากใจของเขา
เขายังรู้สึกว่ารูขุมขนบนร่างของเขาเปิดออกเล็กน้อย ความรู้สึกของการดูดซับพลังงานจากแสงแดดยามเช้าเป็นอะไรที่เยี่ยมยอด แม้ว่าจะไม่มีผลใดๆที่ชัดเจน แต่มันก็ทำให้อารมณ์ของเขานั้นดีขึ้น
เวลาค่อยๆผ่านไป หลายคนกำลังเดินไปที่บริเวณรอบลานประลองเพราะจะแสดงทักษะ "การเคลื่อนไหวสิบประการ ของเพลงกระบี่เทวโลก"
หลังจากที่ที่ชิงสุ่ยเห็นอาจารย์ ผู้อาวุโสของเขา เขาก็เดินช้าๆไปที่นั่งใกล้ ๆ กับลานประลอง
"ขอให้พวกเจ้าเรียนรู้การเคลื่อนไหวสิบประการของเพลงกระบี่เทวโลกให้ดีในวันนี้ข้าจะแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวซ้ำไปมายี่สิบรอบ เพื่อช่วยให้ทุกคนง่ายต่อการจดจำของพวกเจ้า "
การแสดงของชายชรานั้นไม่เร็วเกินไป แต่มันเป็นการรวมกันของความแข็งแกร่งและทรงพลัง แม้ว่าเขาจะกำลังแสดงท่าทางต่างๆ แต่ชิงสุ่ยก็ยังคงรู้สึกถึงความแข็งแกร่งนั้นอยู่ เมื่อเขาเคลื่อนไหวไปได้สิบครั้ง การเคลื่อนไหวครั้งนี้แสดงให้เห็นได้ชัดว่ามันมีพลังมากยิ่งกว่าก่อนๆ และเขายิ่งสัมผัสได้ถึงรุนแรงขึ้นยิ่งๆขึ้นไปอีก
ชายชราเริ่มอธิบายถึงการเคลื่อนไหว10รอบถัดไป หลังจากที่เขาแสดงให้เห็นถึงการเคลื่อนไหวครบ20 รอบ เขาได้ชะลอความเร็วพร้อมคำอธิบาย แม้บางครั้งเขาจะทำมันซ้ำไปมาสองครั้งหรือสามครั้ง
ชิงสุ่ยได้ย่อยสลายข้อมูลที่ได้ฟังและเฝ้าดูอย่างจริงจัง ตามที่คาดไว้ท่าทางของ เพลงกระบี่เทวโลกได้เพิ่มความซับซ้อนมากขึ้นในตอนท้าย แต่ชิงสุ่ยก็มีความสุขเพราะเขานั้นไม่ต้องใช้ความพยายามมากเกินไปในการเรียนรู้เพลงกระบี่นี้เนื่องจากรูปแบบพยัคฆ์ของเขา ดังนั้นชิงสุ่ยตัดสินใจใช้เวลาในการศึกษารูปพยัคฆ์ที่จารึกไว้บนอนุสรณ์สถานศิลาหินอีกครั้ง
เขาใช้เวลาสี่ชั่วยามเพื่ออธิบายการเคลื่อนไหวทั้งสิบ เขาเคยบอกว่าเขาจะทำซ้ำเพียงครั้งเดียว แต่ตอนนี้เขาก็ยังคงทำมันซ้ำอยู่
"เขาเป็นอาวุโสที่ดี เขานั้นมีความรับผิดชอบจริงๆ!" ชิงสุยหัวเราะ
ในตอนสุดท้ายชายชราคนนี้ได้สาธิตอย่างต่อเนื่องในการสาธิตทั้งสามครั้ง เขาได้อธิบายทุกๆอย่างอย่างมุมานะ!
"เอาล่ะทุกคนพยายามทำความคุ้นเคยกับพวกมันซะ และ เราจะกลับมาเจอกันการอีกครั้งในสิบวัน ถัดไป" ชายชราเดินลงมาจากลานประลองหลังจบประโยค
หลังจากที่เขาจากไปแล้ว คนที่อยู่แถวลานประลอง เริ่มออกไปคนเดียว หรือออกไปเป็นกลุ่มสามหรือห้าคน พวกเขาเริ่มฝึกมันอีกครั้ง ในขณะที่ภาพทุกสิ่งทุกอย่างยังชัดเจนอยู่ในใจของพวกเขา ชิงสุ่ยก็ไม่มีข้อยกเว้น
เช่นเดียวกับคนชราแล้ว ชิงสุ่ยได้ยับยั้งปราณของเขาเอาไว้ คนทั่วไปที่อยู่รอบตัวเขาจะรู้สึกเหมือนว่าเขากำลังฝึกรูปกระบวนท่าของเขาอยู่เท่านั้น แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นแบบนั้นจริงๆ อย่างไรก็ตามคนที่มีศักยภาพที่ดีกว่าจะสามารถรู้สึกถึงความแตกต่างได้ออกไป
ชายชราคนหนึ่งที่ได้มองชิงสุยด้วยระยะที่ไม่ไกล ด้วยความแปลกใจ ความตกใจในสายตาของเขาไม่ได้ถูกปกปิด ในที่สุดเขาก็เดินเข้ามาพร้อมกับรอยยิ้ม
"ชิงสุ่ย!"
ชิงสุ่ย รู้สึกประหลาดใจที่ได้ยินเสียงที่คุ้นเคยนี้!
เขาหันกลับไปและเห็น กงซุน เจี้ยนหวู่ ที่ยืนอยู่ห่างๆที่กำลังมองที่เขาแล้วยิ้มออกมา ลักยิ้มของเธอที่เหมือนดอกไม้ได้ปรากฏขึ้นบนแก้มของเธอ ตามปกติแล้วเธอมันจะใส่ชุดกระโปรงสีดำเสมอ เขาได้มองไปที่ส่วนโค้งต่างๆบนร่างกายเธอโดยเฉพาะหน้าอกขนาดใหญ่ที่ละเอียดอ่อนเหล่านั้นมันทรงเสน่ห์อย่างมาก เส้นโค้งที่ก้นของเธอมันทำให้เขานั้นกระปรี้กระเปร่า พวกมันทำปากของ ชิงสุ่ยแห้งขึ้นมาทันที
"มีอะไร?" ชิงสุ่ยมองหน้าตาที่สวยงาม รอยยิ้มนั้นอาจทำให้ชายคนหนึ่งมีกำลังใจทำอะไรมากขึ้น แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่คิดอะไรกับเธอ แต่เขาก็ไม่สามารถปฏิเสธความจริงที่ว่า เขานั้นมีความสนใจทางเพศในตัวเธอ
การได้ยินการตอบสนองที่เย็นชาของชิงสุ่ย ทำให้กงซุน เจี้ยนหวู่รู้สึกอึดอัดเล็กน้อย แม้ว่าการแสดงออกของเธอจะยังคงเหมือนเดิม "ขอบคุณสำหรับการยั้งมื้อในตอนสุดท้าย" เธอกล่าวอย่างมีความสุข
"เจ้าได้ขอบคุณข้าก่อนหน้านี้แล้ว" ชิงสุ่ยกล่าวอย่างเฉยเมย แม้ว่าเขาจะอยากมีอะไรกับผู้หญิงแบบนี้ แต่เขาก็คงต้องปฏิเสธมันเพราะเขาไม่อยากมีส่วนร่วมกับ "ผู้หญิงที่ไม่ดี" นี้
"เราไม่สามารถเป็นเพื่อนกันได้หรือ?" กงซุน เจี้ยนหวู่ถามอย่างเศร้าสร้อย เสียงของเธอไม่ดังมาก แต่มันก็ดังพอที่คนรอบข้างจะได้ยิน
การนินทาระหว่างผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่น่ากลัว บางคนมองชิงสุ่ยและกงซุน เจี้ยนหวู่ด้วยความตกใจ
"เพื่อน?" ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจ ก่อนหน้านี้เขาเคยทำร้ายลูกชายคนที่สามของตระกูลกงซุน และหักไหล่ของกงซุน เจี้ยนหยุ่นบนลานประลอง มันทำให้ตัวเขานั้นไม่เคยคิดที่จะเข้าไปเกี่ยวข้องกับสมาชิกของตระกูลกงซุนเลย
เสียงที่แปลกใจของชิงสุ่ยฟังดูเหมือนการเยาะเย้ย เมื่อกงซุน เจี้ยนหวู่ได้ยิน ในขณะที่หลายคนในบริเวณใกล้เคียงมองไปในทิศทางที่พวกเขาอยู่
"ขอโทษที่ทำให้เจ้ารำคาญ" เธอยิ้มและหันไปหลังไป ภาพเงาของเธอดูเศร้าสร้อยเล็กน้อย ปากของ ชิงสุ่ยขยับขึ้น แต่เขาไม่ได้พูดอะไรในตอนท้าย
เขาถอนหายใจและตั้งสมาธิในการฝึกเพลงกระบี่เทวโลกที่เขาได้เรียนรู้ในวันนี้ ความรู้สึกของเขานั้นกำลังสับสน ทั้งหมดนี้เพราะเขาคิดถึงภาพเงาที่โดดเดี่ยวของ กงซุน เจี้ยนหวู่เมื่อเธอเดินจากออกไป
ภาพเงาของเธอดูคล้ายกับหมิงเยวี่ย เก้อโหลวและยังเหมือนกับสือฉิงจวงเล็กน้อย แม้แต่คนที่แข็งแกร่งอย่างอีเย่ เจี้ยนเก้อ ก็เคยมีช่วงเวลาเช่นนี้เหมือนกัน ในตอนนี้ภาพเงาของหญิงสาวที่แข็งแกร่งที่ผอมแห้งและโดดเดี่ยวจากเมืองเยียนนั้นยังดูย่ำแย่กว่าเธอซะอีก