เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 295 ระดับความแข็งแกร่งของแต่คฤหาสน์ พ่อของชิงสุ่ย เยียน จงเยว่ตายแล้ว?
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 295 ระดับความแข็งแกร่งของแต่คฤหาสน์ พ่อของชิงสุ่ย เยียน จงเยว่ตายแล้ว?
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 295 ระดับความแข็งแกร่งของแต่คฤหาสน์ พ่อของชิงสุ่ย เยียน จงเยว่ตายแล้ว?
กงซุน เจี้ยนหวู่ รู้สึกมีความสุขจริงๆ แม้ว่าปกติในตระกูลใหญ่ๆนั้น มักจะบังคับให้ทำตามผู้ที่มีอำนาจเสมอ ชะตากรรมของเด็กส่วนใหญ่ที่เกิดในตระกูลที่มีอำนาจ พวกเขาถูกใช้เป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์เพื่อเพิ่มอำนาจ และก็เพื่อเก็บรักษาผลประโยชน์ของตรูกลเอาไว้
"ปู่ของเจ้าจะไม่เข้ายุ่งเกี่ยวกับการแต่งงานของเจ้า เจ้าจงตัดติดสินใจด้วยตัวของเจ้าเองเถอะ อย่างไรก็ตามปู่ต้องเตือนเจ้าไว้ก่อน: หากเจ้าต้องการคนที่เก่งและดี เจ้าต้องต่อสู้แย่งชิงเขาคนนั้นมา ผู้ชายที่เก่งและมีพรสวรรค์มักจะไม่ขาดหญิงสาวข้างกาย เจ้าจงจำไว้ และนอกจากนี้ชิงสุ่ยนั้นเคยมีปัญหากับตระกูลของเรา ดังนั้นข้าคิดว่าเขาคงจะไม่เข้ามาสนใจในตัวเจ้าด้วยตัวเองหรอก "กงซุน อี่กงหัวเราะ
"ท่านปู่ ท่านต้องการให้ข้าแต่งงานกับเขาจริงๆหรือ?" กงซุน เจี้ยนหวู่ ไปหน้าของเธอแดงขึ้น ขณะที่เธอแอบมองไปที่ปู่ของเธอ
ฮ่าๆ, ปู่สัญญากับเจ้าแล้วว่าจะไม่มีใครในตระกูลกงซุนของเรา เข้าไปแทรกแซงในเรื่องนี้ แต่ผู้ชายคนที่ชื่อชิงสุ่ยคนนี้ข้านั้นยอมรับในตัวของเขา ถ้าเจ้าจะลองเปิดใจกับเขาดูก็ไม่มีปัญหาอะไร "
ย้อนกลับไป มีอาวุโสหนุ่มจาก “คฤหาสน์ไหมฟ้า” ต้องการแต่งงานกับเธอ แต่กงซุน อี่กง นั้นให้กงซุน เจี้ยนหวู่นั้นตัดสินใจด้วยตัวเอง แต่ตอนนี้เขากำลังคิดที่จะ”นำเสนอชิงสุ่ย” นี้เป็นครั้งแรกที่เขาคิดแบบนั้น
"อือ ข้าเข้าใจแล้วท่านปู่! "เมื่อเธอนึกย้อนกลับไปที่มุมมองที่หน้าชิงชัง ของชิงสุ่ยที่มีต่อเธอ มันนั้นก็ทำให้เธอได้แต่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา
"เห่อ แม้ว่าข้าจะไม่แต่งงานกับเขา แต่ข้าก็จะต้องทำให้เขาตกหลุมรักในตัวข้าให้ได้" กงซุน เจี้ยนหวู่กล่าวในใจอย่างแน่วแน่
กงซุน อี่กงยิ้มขึ้นมา เขานั้นที่รู้จักในสายตาคู่นี้ของหลานสาวเขาอย่างดี แม้ว่าการแสดงออกในสายตาของเธอในตอนนี้จะไม่ใช่ความรัก แต่ก็มีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากอยู่ แต่ที่สำคัญ … มันกลับแสดงออกถึงความรู้สึกที่อยากรู้อยากเห็น ด้วยประสบการณ์ของเขาในอดีต เขาเข้าใจได้ดีว่าความอยากรู้นั้นเป็นสาเหตุที่จะก่อให้เกิดความรักและเกิดการอยู่ร่วมกันในท้ายที่สุด
……
ชิงสุ่ยที่อยู่กับหญิงสาวทั้งสองในที่พักของ ชาง หวู่ย่า เขานั้นกำลังฟังเฟย หวู่จี้ที่กำลังอธิบายสถานการณ์และข้อมูลทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับวังเทวโลก
"ท่านลุง ท่านสามารถบอกพวกเราเพิ่มเติมเกี่ยวกับ คฤหาสน์เมฆาได้หรือไม่? เรายังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับที่นั้นเลย "ชางห่าย หมิงเยวี่ยกล่าวกับเฟย หวู่จี้
“ฮ่าๆ คฤหาสน์เมฆา? ตั้งใจฟังที่ข้าพูดก่อน อย่าพึ่งถามอะไรสิ ”
“หืออ..ตกลง!”
"นับตั้งก่อนคฤหาสน์เมฆานั้น ถูกนำโดยสาวกหญิงคนเดียวของบรรพบุรุษนิกายของเรา และนางนั้นจะยอมรับเฉพาะสาวกผู้หญิงเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากคฤหาสน์อื่น ๆ ที่มีการผสมกันระหว่างชายกับหญิง จึงทำให้ปัจจุบันคฤหาสน์เมฆานั้นรับแต่สาวกผู้หญิงเท่านั้น"
"ที่จริงแล้วทักษะการบ่มเพาะของคฤหาสน์เมฆานั้นเป็นทักษะทวิบ่มเพาะ อย่างไรก็ตามทักษะทวิบ่มเพาะของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ คือมันสามารถที่จะบ่มเพาะได้เพียงคนเดียว แม้ว่ามันจะไม่สามารถเปรียบเทียบกับการฝึกฝนแบบคู่ แต่มันก็ไม่ได้ย้ำแย่แต่อย่างใด .. ทักษะทวิบ่มเพาะนั้นมันไม่เหมาะสมสำหรับที่จะฝึกคู่ชายหญิง ซึ่งเป็นเหตุผลที่สาวกทั้งหมดของคฤหาสน์เมฆานั้นเป็นผู้หญิงทั้งหมด " ใบหน้าของทั้งสองสาว, หมิงเยวี่ย และ ลิ่วลี่ เปลี่ยนเป็นสีแดงทันที พวกเธอสามารถเขาใจได้ว่าการทวิบ่มเพาะของที่นี้คืออะไร
อย่างไรก็ตาม ในตอนนี้ชิงสุ่ยนึกได้ถึงสาวงามในตำนานของคฤหาสน์เมฆา ทีก็กำลังฝึกฝนการทักษะทวิบ่มเพระอยู่ เขาก็ได้นึกขึ้นมาได้ว่า หมิงเยวี่ย และ ลิ่วลี่นั้นก็เป็นสมาชิกของคฤหาสน์เมฆาเช่นกัน นั้นไม่ได้หมายความว่า .. พวกเธอจะฝึกฝนทักษะทวิบ่มเพาฃด้วยหรือเปล่า?
ชิงสุ่ยมองไปที่หญิงสาวทั้งสอง ลิ่วลี่รีบขยับตัวเธอหลบสายของชิงสุ่ยในทันที อาการเขินอายของเธอนั้นน่ารักมาก มันน่ารักมากจนทำให้คนนั้นบ้าได้
"การบ่มเพาะทวิบ่มเพาะของคฤหาสน์เมฆา นั้นที่รู้จักกันในนามของ [ศิลปะบ่มเพาะหมอกเมฆเมฆา] มันนั้นเป็นทักษะชั้นสูง แต่ข้อกำหนดในการบ่มเพาะนั้นค่อนข้างเข้มงวด ต้องเป็นคนที่มีความสามารถเท่านั้นจึงสามารถใช้มันได้ "
"คฤหาสน์เมฆานั้นแข็งแกร่งกว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับคฤหาสน์ดาราจันทราของเรา อย่างไรก็ตามจำนวนสาวกศิษย์ของคฤหาสน์เมฆา อาจถือได้ว่าน้อยที่สุดหากเทียบในบรรดาคฤหาสน์อื่น ๆ เนื่องจากเงื่อนไขที่เข้มงวดในการบ่มเพาะ [ศิลปะบ่มเพาะหมอกเมฆเมฆา] จึงทำมีสากวเพียงประมาณห้าพันคนเท่านั้น หากเทียบกับคฤหาสน์อื่น ๆ ที่มีสาวกประมาณแปดพันคน "
หลังจากอธิบายเรื่องนี้ในที่นี้แล้ว เขาได้เงียบลงชั่วครู่ ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมา ก่อนที่จะเล่าต่อ "สำหรับการแข่งขันที่จะขึ้นทุกๆห้าปีระหว่างคฤหาสน์ทั้ง 9 คฤหาสน์เมฆานั้นไม่เคยให้ความสนใจในการแข่งขันจริงๆเลย แต่สำหรับคฤหาสนของเราเหล่าสาวกของเรานั้นจริงจังอย่างมาก …แต่พวกเขานั้นอ่อนแอเป็นอย่างมาก จึงทำให้พวกเขานั้นมักได้รับความอัปยศอยู่เสมอ พวกเขาทำได้แค่ฝึกฝนอย่างหนักมากยิ่งขึ้นเท่านั้น"
"การประลองภายในห้าปี?" ลิ่วลี่ไม่ได้ตั้งใจถามออกมา นี้เป็นครั้งที่สองที่เธอเคยได้ยินเกี่ยวเรื่องนี้
"ฮ่า ๆ ข้ารู้อยู่แล้วเจ้าต้องถามเกี่ยวกับเรื่องนี้ ถึงแม้พวกเจ้าจะไม่ถามข้าก็จะเล่าเกี่ยวกับมันอยู่ดี " เฟย หวู่จี้ หัวเราะออกมา
ทุกๆห้าปี สมาชิกของทุกคฤหาสน์ จะมาชุมนุมกันที่ลานจัตุรัสคฤหาสน์สมบัติหลิงเซียวเพื่อแลกเปลี่ยนทักษะกันระหว่างคฤหาสน์ต่างๆ จะมีเฉพาะสาวกรุ่นที่สามเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้าร่วม และมีเงื่อนไขว่า ผู้ที่จะเข้าร่วมต้องอยู่ในระดับเซียนเทียนระดับ 5 ไม่มีการจำกัดจำนวนสาวกที่สามารถเข้าร่วมในการประลอง โดยการตัดสินผู้ที่แพ้จะถูกคัดออกจากการแข่งขัน ชัยชนะและความพ่ายแพ้จะถูกจดบันทึกไว้ และท้ายที่สุดจะมีการจัดลำดับคะแนนเพื่อจัดอันดับของแต่ละคฤหาสน์
"แล้ว .. การแข่งขันของผู้นำสาวกละ" ชิงสุ่ย รู้ว่าผู้นำสาวกจะไม่สามารถร่วมแข่งขันกับคนอื่นได้ง่ายๆ พวกเขาเป็นสาวกที่เข้มแข็งที่สุดในแต่ละคฤหาสน์
"การประลองของผู้นำสาวกจะถูกจัดขึ้นก่อนจบงานประลอง เพื่อให้สาวกคนอื่นนั้นไม่เสียมีกำลังใจในการประลอง "เฟย หวู่จี้ยิ้ม
"ชิงสุ่ยปลายปีหน้าจะเป็นปีที่มีการจัดงานประลองขึ้น ข้าต้องการให้เจ้าเข้าร่วมการแข่งขันนั้น แล้วเป็นตัวแทนผู้นำสาวกของคฤหาสน์ดาราจันทราของเรา "เฟย หวู่จี้กล่าว
ชิงสุ่ยตกตะลึง แล้วถามว่า "แล้วผู้นำสาวกคนเก่าละ? และท่านประมุขคฤหาสน์จะเห็นด้วยหรอ? "ขณะนี้เขาก็ยังไม่ทราบเลยว่าใครเป็นผู้นำของที่นี้ แต่ว่าอย่างไรก็ตามชิงสุ่ยไม่ได้สนใจเกี่ยวกับเรื่องนี้เท่าไร
ชาง หวู่ย่าหัวเราะออกมาอย่างเงียบ ๆ ขณะที่จิบชาและไม่พูดอะไรออกมา
…………
หลังจากที่ชิงสุ่ยเดินออกมา เขากำลังค้นพบว่า มีคนจำนวนมากกำลังจ้องมองเขาด้วยภาพลักษณ์ที่ตกใจและสะพรึงกลัว พวกมันได้ปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา ไม่เพียงแค่นั้น มีคนจำนวนหนึ่งที่เริ่มทักทายเขา และมีคนจำนวนมากที่ต้องการเป็นเพื่อนกับเขา
"เฮ้, ชิงสุ่ย!"
“เฮ้ …”
ชิงสุ่ย รู้สึกหดหู่ใจในตอนนี้ของชื่อของเขากลายเป็นที่รู้จักของสาธารณชนไปแล้ว ระหว่างทางกลับเขารู้สึกแปลกใจ ที่ผู้หญิงหลากหลายคนออกมาแนะนำตัวเองกับเขา และเมื่อเขาตอบพวกเธอกลับไป พวกเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มและวิ่งเต้นไปด้วยความด้วยความยินดี
เวลาค่อนข้างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขากลับไปถึงที่พัก เขานั้นไม่เคยคิดว่าเข้าจะพบเยียน หลิงเก้อที่ยืนอยู่ข้างหน้าประตูห้องของเขา เมื่อได้เห็นชิงสุ่ย หลิงเก้อก็ยิ้มให้เขาด้วยรอยยิ้มอันสดใสบนใบหน้าของเธอ
"น้องชายชิงสุ่ย!"
ชิงสุ่ยจ้องที่สาวน้อยคนนี้ แท้จริงเธอควรจะเรียกเขาว่าพี่ชาย แต่เป็นเรื่องเศร้าที่เขานั้น ไม่ยอมรับความผูกพันระหว่างสายเลือดของพวกเขา
ชิงสุ่ยถอนหายใจ " ลืมไปเถอะ นี่ไม่ใช่ความผิดของนาง นางนั้นก็ไม่รู้เรื่อง "ชิงสุ่ยพยายามไม่คิดมาก
แต่เขาก็ยังใช้เสียงที่หยาบกระด้างกับเธอ และกล่าวว่า "เจ้าต้องการอะไร?"
"ชิงสุ่ย เจ้ายังโกรธอยู่อีกหรอ? ข้ารู้ว่าตระกูลเยียนนั้นทำผิดต่อเจ้า แต่เจ้าจะให้ข้าทำยังไงละ? "ดวงตาของหลิงเก้อนั้นเปียกโชกไปด้วยน้ำตา ขณะที่เธอพูดอย่างน่าสงสาร
"ตระกูลเยียนได้ทำอะไรให้กับข้า? ข้าไม่เคนยุ่งเกี่ยวกับพวกเขา พวกเขานั้นไม่สามารถเทียบกับมนุษย์ได้ด้วยซ้ำและพวกเขาก็ไม่สามารถเทียบกับสัตว์เดรัจฉานอีกด้วย "ชิงสุ่ย ยิ้มให้
รอยยิ้มของเขาปรากฏในดวงตาของ เยียน หลิงเห้อ เมื่อเทียบกับความโกรธของเขา มันทำให้หัวใจเธอนั้นเย็นลง
"น้องชายชิงสุ่ยให้ข้าอธิบายบางเรื่องเกี่ยวกับ ตระกูลเยียนของเราก่อน บางทีหลังจากที่เจ้าได้ยินเรื่องดังกล่าวแล้ว เจ้าจะเข้าใจว่าทำไมพี่สาวชิงชิงถึงต้องออกไปขายใบชาที่ข้างถนนในตอนนั้น"หลิงเก้อหัวเราะออกมา ริมฝีปากของเธอเปิดขึ้นเมื่อเธอพูดเบา ๆ
ในขณะนี้หัวใจของชิงสุ่ยเต็นอย่างรวดเร็วด้วยความตื่นเต้น แม้กระทั่งตัวเขาเองก็ยังได้ยินเสียงของการเต้นของหัวใจที่ดังขึ้นของเขา เหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้นที่เกี่ยวข้องกับตระกูลเยียนได้ถูกฝังไว้ในหัวใจของเขามาตลอดเกือบยี่สิบปีแล้ว และแล้ววันที่เขารอคอยก็ได้มาถึง นี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาต้องพยายามและฝึกฝนอย่างหนักก่อนหน้านี้
หลิงเก้อก็เคยถามตัวเองก่อนว่า ชิงสุ่ยนั้นเป็นศัตรูกับตระกูลเยียนหรือไม่ แต่หลังจากที่คิดถึงเรื่องในตอนนั้นเธอก็รู้ได้ว่า เขานั้นไม่ใช่ศัตรูกับตระกูลเยียนแน่นอน เพราะย้อนกลับไปเมื่อ ตอนชิงสุ่ยผ่านไปที่เมืองเยียน และเขาได้เห็นหญิงสาวคนหนึ่งในตระกูลเยียนได้รับความอัปยศอดสู ไม่มีใครเลยที่จะก้าวออกไปเพื่อช่วยเธอ และเธอรู้ดีว่าในใจของเขาสมาชิกในตระกูลเยียนนั้นแย่กว่าสัตว์ทุกตัวซะอีก
"เมื่อก่อนตอนที่ท่านลุงจงเยว่อยู่ไม่มีใครกล้าที่จะรังแกพี่สาวชิงชิงเลย แม้แต่ท่านหญิงเสี่ยวก็ความเคารพและดูแลเธออย่างดี… "
หลังจากประโยคแรกผ่านไปชิงสุ่ยหยุดให้ความสนใจกับประโยคที่เยียน หลิงเก้อกำลังพูด มีเพียงความคิดเดียวในสมองของเขาเท่านั้นคือ "เยียน จงเย่วได้ตายไปก่อนที่ข้าจะแก้แค้นเขาซะแล้ว ชายที่แม่ของข้ากำลังเฝ้ารออยู่เงียบๆอยู่ทุกๆได้ตายจากไปแล้ว แล้วหนี้แค้นที่เยียน จงเยว่แม่ของข้าไปละ ข้าควรจะทำยังไง? "
ชิงสุ่ย รู้สึกโกรธอย่างมากจนร่างกายของเขานั้นสั่นสะท้าน แม้แต่ใบหน้าของเขาก็เปลี่ยนเป็นสีแดง
"น้องชายชิงสุ่ย, เจ้าไหวไหม? มีอะไรเกิดขึ้นบ้าง "หลิงเก้อหัวเราะกลัวๆ ขณะถามด้วยความห่วงใย
"ข้านั้นสบายดี" เสียงแหบและหดหู่ ซึ่งแตกต่างจากเสียงของเขาในตอนปกติ มันดังออกมาจากลำคอ เขา เยารู้ว่าเรื่องนี้ทันกลายเป็นเรื่องที่ยุ่งยากไปแล้ว