เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 291 – ทักษะต่อสู้ที่รุ่นแรง จู่โจม!
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 291 – ทักษะต่อสู้ที่รุ่นแรง จู่โจม!
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 291 – ทักษะต่อสู้ที่รุ่นแรง จู่โจม!
"พวกเจ้าคิดว่าเขาจะยอมรับคำท้าทายกงซุน เจี้ยนหยุ่น หรือไม่?" มีใครบางคนถามขึ้นมา
"กงซุน เจี้ยนหยุ่น อยู่ในระดับสูงสุดของปราณเทวะเซียนเทียน และคนที่มีความสามารถมากกว่าเขาก็มีเพียงลูกสาวคนโตของตระกูลกงซุนเท่านั้นเอง นางคือกงซุน เจี้ยนหวู่ และดูเหมือนว่าเขาจะเป็นคนที่จะได้รับสืบทอดผู้นำตระกูลต่อไปในอนาคต "ชายหนุ่มที่มีแผลเป็นที่น่ากลัวเป็นทางยาวที่ด้านซ้ายของใบหน้ากล่าว
"ดูการแสดงออกทางสีหน้าของเขา และท่าทางที่สงบนี้สิ ข้าคิดว่าเขาต้องรับคำท้าทายในครั้งนี้เป็นแน่ "คนหลายคนร่วมแสดงความคิดเห็น
ตอนนี้กงซุน เจี้ยนหวู่ได้ปรากฏตัวขึ้นในระยะไกลๆ ร่างกายที่งดงามที่ทรงเสน่ห์ และรอยยิ้มเล็กๆ ที่ปรากฏอยู่บนใบหน้าที่สวยงามของเธอมันได้ดึงดูดสายตาทั้งหมดไปทางนั้น
เธอได้จ้องมองที่ชิงสุ่ยจากระยะไกล แต่ในตอนนี้เขาได้ปิดตาลงและสงบนิ่งลงไปในห่วงแห่งสมาธิ
ตอนนี้มีผู้มารับชมจำนวนมากอัดแน่นเต็มลานประลอง แต่เขากับไม่ได้สนใจเกี่ยวกับมัน ปราณของเขายังคงสงบนิ่งอยู่ พวกเขาได้นั้นดูคล้ายฝูงมดที่กำลังเดินอยู่รอบๆตัวเขา มันไม่สามารถทำให้เขานั้นสนใจได้เลย
ชิงสุ่ยรู้สึกประหลาดใจกับเรื่องนี้ ทำไมเขาถึงความมั่นใจเช่นนี้? หรือว่านี้คือความเย้อหยิ่งตัวของเขา? หรือมันเป็นแค่ความทะนงตัวเท่านั้น?
ชิงสุยได้เปิดตาของเขาขึ้น และมองเห็นฝูงชนที่กำลังจับจ้องมองมาที่เขา ความคิดเห็นต่างๆ ทั้งคำชมและนินทา บทสนทนาต่างๆได้ดังขึ้นไปถึงหูของเขา แต่เขาไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ตราบใดที่พวกเขาไม่ได้ด่าทอถึงแม่ของเขา
ถ้าใครกล้าบังอาจกล่าวถึงแม่ของเขา เขาจะทำให้พวกมันนั้นหายสาบสูญไปและรู้สึกเสียกับใจกับมันที่กล้ากล่าวถึงแม่ของเขา
เขาได้เงยหน้าขึ้นมองไปที่ลานประลอง เขาได้มองเห็นรุ่นเยาว์ลายคนที่กำลังยื่นอยู่บนเวที แต่ในความเป็นจริงทุกคนที่นั้นมีอายุมากว่า 40 ปี แต่ยังถือว่าพวกเขายังคงเป็นรุ่นเยาว์ในโลกของเก้าทวีป
มีขายหนุ่มที่หล่อมากยืนอยู่ คิ้วของเขานั้นแหลมคมเหมือนดาบ และดวงตาของเขาก็สุกใสเหมือนดวงดาว เขามีจมูกที่แหลมคมบนใบหน้าขาวนวล เขานั้นมีหนวดเคราที่มุมทั้งสองของปาก ชิงสุ่ยยิ้มให้ชายคนนั้นที่มีท่าทางเยอหยิ่ง
ตอนนี้มันเป็นเวลาก่อนเที่ยง แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้รีบร้อนขึ้นไปแต่อย่างไร ตราบเท่าที่เขาเดินเข้าไปบนเวทีนี้ภายใน 2 ชั่วยาม ก็หมายความว่าเขานั้นยอมรับความท้าทายกงซุน เจี้ยนหยุ่น
"ชิงสุ่ย!" หมิงเยวี่ย และ ลิ่วลี่ มาถึงบริเวณนั้นแล้ว
"โอ้ทำไมพวกเจ้าถึงมาที่นี้?" ชิงสุ่ยยิ้มให้กับสาวสองคน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้จริงจังกับการประลองในครั้งนี้สักเท่าไร แต่เขาก็รู้สึกมีความสุขมากเมื่อทั้งสองนั้นมาให้กำลังใจเขา นี่เป็นแบบเดียวกับที่ครอบครัวของเขาปฏิบัติ
"เราจะไม่มาให้กำลังใจเจ้าได้ยังไง เมื่อวันนี้เจ้าจะประลองกับใครก็ไม่รู้? หรือว่าเจ้าจะไม่ต้องการให้พวกเรามาหา? "ลิ่วลี่ กล่าวว่าด้วยท่าทางที่เศร้าสร้อย เพราะใบหน้าที่เขาแสดงออกมานั้นไม่ได้แสดงออกถึงความสุขแต่อย่างใด
"ทำไมจะไม่ละข้าจะไม่มีความสุขได้ไงเมื่อได้เห็นผู้หญิงสองคนที่มีความงามซึ่งอาจทำให้เมืองและประเทศต่างๆเกิดความล่มสลายมาให้กำลังใจข้า"ชิงสุ่ยกล่าวและกอดเบา ๆที่ลิ่วลี่
เขาไม่ได้มีเจตนาร้ายในตอนนี้ มันเป็นแค่กอดที่อ่อนโยนเมื่อเขากอดลงไปที่ลิ่วลี่ มันเป็นการกอดอย่างใกล้ชิดและจริงใจ หัวใจทั้งสองของพวกเขาได้เต้นกันอย่างใกล้ชิด
พวกเขาได้กอดกันเพียงชั่วขณะเท่านั้น แต่มันก็เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก เขาปล่อยลิ่วลี่ออกจากอ้อมกอดอย่างช้าๆ แล้วหันไปมองทางหมิงเยวี่ย
เขากางแขนออกช้าๆ แต่ไม่มีปฏิกิริยาใด ๆเกิดขึ้นจากหมิงเยวี่ย เธอเพียงแค่ก้มหน้าลงและไม่กล้าที่จะมองไปที่ชิงสุ่ย ชิงสุ่ยกอดที่ร่างกายที่บอบบาง แล้วค่อยๆเดินไปทางลานประลอง
แต่ในขณะนี้หญิงสาวที่ยืนอยู่ระยะไกลกำลังให้ความสนใจไปที่ชิงสุ่ย คนรอบข้างไม่กล้าแม้ที่จะเข้าใกล้เธอ เธอยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ ร่างของเธอนั้นสูงโปร่งและมีเสน่ห์อย่างมาก
กงซุน เจี้ยนหวู่ ยิ้มเมื่อเห็นชิงสุ่ยมองไปในทิศทางของเธอ เธอไม่อาจลืมคำพูดของเขาก่อนที่เขาจะจากไปได้ ไม่มีใครเคยกล้าที่จะคุยกับเธอด้วยน้ำเสียงที่เยาะเย้ยเช่นนั้น
“ทุกคนในตระกูลกงซุนและครอบครัวของเจ้า ให้ความสำคัญกับเจ้าที่เป็นหลานสาวคนโตอย่างมาก มีแต่ข้าหรือที่ควรทรมาณ? อย่าทำกับคนอื่นในสิ่งที่เจ้าไม่อยากให้คนอื่นทำกับเจ้า” เธอคิดถึงคำพูดของชิงสุ่ย
เธอใช้ชีวิตที่หรูหราตั้งแต่ยังเยาว์วัย สิ่งที่เธอต้องการมักจะถูกประเคนเข้าสู่มือของเธอได้อย่างง่ายดาย เธอมักจะได้สิ่งที่ดีที่สุดและมีค่าที่สุดก่อนใครๆ ไม่มีใครกล้าที่จะโต้เถียงสิ่งที่เธอพูด
เธอนั้นมีพรสวรรค์อันล้ำค่าและมีรูปลักษณ์ที่สวยงาม และเธอยังนั้นเป็นผู้นำสาวกของอาวุโสของคฤหาสน์ดาราจันทรา คนจำนวนมากใน คฤหาสน์ดาราจันทราต่างหลงใหลในตัวเธอ การได้เป็นทาสรับใช้เธอนั้นถือเป็นเกียรติอย่างมาก ดังนั้นผู้ชายจำนวนมากนับไม่ถ้วนก็เต็มใจที่จะเสี่ยงชีวิตของพวกเขาเพื่อเธอ
ท่าทางของชิงสุ่ย ทำให้เธอได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของชายหนุ่มที่ไม่สนใจในตัวเธอและไม่เชื่อฟังคำพูดจองเธอ เธอชอบความรู้สึกแปลกประหลาดแบบนี้ เธอชอบความท้าทายเช่นนี้เพราะเธอไม่ชอบความรู้สึกของการได้ทุกสิ่งทุกอย่างมาอย่างง่ายดาย
ชิงสุ่ยได้มองไปที่กงซุน เจี้ยนหวู่ แล้วเดินผ่านเธอไป และได้เดินไปที่ลานประลอง เขาไม่เข้าใจความคิดของเธอที่อยู่เบื้องหลังรอยยิ้มนั้น นั้นมันเป็นคำทักทายใช่มั้ย? หรือเธอหวังว่าข้าจะปล่อยน้องชายของเธอไปอย่างง่ายๆ?
เมื่อเขาเดินขึ้นไป มีคนข้างหน้าจ้องมองด้วยความรังเกียจ ชิงสุ่ยเข้าใจพวกเขานั้นคิดอะไร แต่เขารู้ว่าครอบครัวของชนชั้นสูงส่วนใหญ่ชอบมองคนที่อยู่ต่ำกว่าด้วยความดูถูก
มีข่าวลือหนาหูว่าเขาเป็นหลานชายของ ชาง หวู่ย่า เกือบทุกคนต่างเชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นมันต้องมีเหตุผลบางอย่างและต้องมีความจริงบางอย่างอยู่เบื้องหลังข่าวลือนี้
ตระกูลกงซุนนั้นรู้เกี่ยวกับสถานะของชาง หวู่ย่า ดังนั้นมันจึงทำให้ กงซุน เจี้ยนหยุ่น ดูถูกในสถานะในการมาเข้ามาของเขาอย่างมาก ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจท่าทางทีดูถูกของเขา
มีบางชีวิตที่ทำงานอย่างหนักและอาศัยอยู่ในความเศร้าโศก!
มันก็เหมือนกับพีระมิด คนที่ด้านล่างของฐานพีระมิดมักจะรับความกดขี่ข่มเหง พวกเขาต้องการเรียนรู้ที่จะใช้ชีวิตอยู่แม้จะต้องแบกรับความอับอาย พวกที่อยู่บนยอดของพีระมิดไม่มีวันที่จะเข้าใจชีวิตที่ลำบากและความรู้สึกของผู้บ่มเพาะที่อยู่ในระดับอ่อนแอ มันเหมือนโลกที่แตกต่างกัน จนไม่สามารถที่จะเข้าใจได้ เช่นเดียวกับคนยากจนที่ไม่เคยเข้าใจวิธีชีวิตของคนรวย
"ทำไมเจ้าต้องทำให้พวกเรา และตระกูลกงซุนยุ่งยากด้วย?" กงซุน เจี้ยนหยุ่น ขมวดคิ้วและถามชิงสุ่ย ด้วยเสียงหัวเราะเมื่อพวกเขาอยู่ในเวที ชิงสุ่ยยิ้มให้เขา มันเป็นความรู้สึกที่ตลก เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม แต่ชิงสุ่ยชอบคนแบบนี้ที่สุด
"เจ้าเป็นลูกชายคนโตของตระกูลกงซุน?" ชิงสุ่ย ถามด้วยความรังเกียจ เขาไม่เคยชอบให้คนที่มักใช้คำพูดเหยียดหยาม
"แน่นอนว่าไม่ ทำไมเจ้าถึงถาม? "กงซุน เจี้ยนหยุ่น ถามออกมา แต่ท่าทางของเขายังคงอวดดี
"แล้วทำไมเจ้าถึงยืนอยู่ที่นี่ด้วยความโง่เขลาเช่นนี้? เจ้ารู้อะไรบ้าง? เจ้าคิดว่าเจ้านั้นเก่งกาจมาเลยรึ? เจ้าคิดว่าเจ้ามีความสามารถที่จะท้าทายคนอื่นได้อย่างนั้นรึ "ชิงสุ่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม
"ทั้งหมดนี้ก็เพื่อที่จะเอาชนะเจ้า!" กงซุน เจี้ยนหยุ่นกล่าวอย่างเป็นธรรมชาติ
โทนเสียงที่เขาพูดกับชิงสุ่ยนั้นเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติอย่างมาก มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกรำคาญอย่างมาก รอยยิ้มอันเย้ายวน ทำให้กับชิงสุ่ยถึงกับพูดไม่ออก
เขาเป็นคนหยิ่งหรือเขาเป็นคนปัญญาอ่อนกันแน่?
"เจ้าเคยคิดไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเจ้าไม่สามารถเอาชนะข้าได้" ชิงสุ่ยยิ้มแย้ม
กงซุน เจี้ยนหยุ่นรู้สึกหดหู่แล้วส่ายหัวว่า "ไม่มีทางเป็นไปได้ ข้ามั่นใจได้ว่าจะได้ชัยชนะในครั้งนี้ "เสียงของเขานั้นมั่นใจว่าเขา สามารถเอาชนะชิงสุ่ย
"อัจฉริยะทุกคนมีความมั่นใจในตัวเองสินะ?" ชิงสุ่ยไม่สามารถหยุดคิดได้ กงซุน เจี้ยนหยุ่นนับได้ว่าเป็นอัจฉริยะ บางทีอาจจะเป็นเพราะชื่อเสียงนี้ของเขาที่ทำให้เขาภูมิใจมากเกินจนหยิ่งผยอง
ชิงสุ่ย ไม่ต้องการพูดอะไรอีก การพูดคุยกับบุคคลประเภทนี้ ทำให้เลือดในร่างกายของเขาเดือดขึ้น ทำไมต้องทำในสิ่งที่ยากด้วย ชิงสุ่ยยืนอยู่อย่างเงียบที่นั่นและพยักหน้าเขา
กงซุน เจี้ยนหยุ่น ดึง "กระบี่ออกมา" เป็น "มันเป็นกระบี่ยาว" ความยาวของมันยาวประมาณสามฟุต แต่มันจะดูคล้ายสว่านมากกว่ากระบี่ ด้ามของกระบี่นั้นกว้างอย่างมาก ปลายของมันไม่ได้มีลักษณะเหมือนปลายของกระบี่แต่อย่างใด
"หยิบอาวุธของเจ้าขึ้นมา!" กงซุนเจียนหยุ่นเตือน เขาเมื่อเขามองไปที่มือที่ว่างเปล่าของชิงสุ่ย
"ไม่จำเป็น. รีบเขามา "ชิงสุ่ยกล่าวอย่างสงบ
คำพูดของชิงสุ่ยเป็นเหมือนหินที่ถูกโยนลงไปในน้ำและมันทำให้เกิดคลื่นสะท้อนมากมาย! ทันทีที่ทุกคนรอบๆลานประลองได้ยินเขาพูด
"บ้าไปแล้ว! เขาคิดว่าเขาอยู่ในระดับเทวะกษัตริย์หรืออย่างไร? "มีเสียงตะโกนออกมา
"นี่สินะที่เค้าเรียกว่าศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย! เขามีความคิดที่กล้าแกร่งจริงๆ! เขาเข้มแข็งอย่างมาก! ถ้าเขาสามารถรอดไปได้วันนี้ข้าจะแต่งงานกับเขา "หญิงสาวที่แต่งชุดยั้วยวนพูดเล่น
"ลืมมันไปซะ. แม้ว่าเขาจะสามารถรอกชีวิตไปได้ แต่ข้าค่อนข้างมั่นใจว่าเขาคงจะไม่เอาหญิงสาวอย่างเจ้า หญิงสาวที่อยู่ในห้องของผู้ชายคนอื่นทุกๆวัน "ชายคนหนึ่งพูดด้วยความรังเกียจ
"ความอับอายขายหน้านี้เหมือนกับเธอได้ได้ลิ้มรสผลไม้รสเปรี้ยว แม้ว่าข้าจะเปลี่ยนชายไม่ซ้ำหน้าในชีวิตแต่ละวัน แต่เจ้าก็ยังคงไม่ได้รับโอกาสเช่นนั้น! "หญิงสาวคนนั้นเยาะเย้ย
"เจ้าอยากตายรึ!"เขาเริ่มโกรธ
"ข้ากล้าพนัน ถ้าเจ้าทำเช่นนั้นมาดูสิว่าเจ้าจะมีชิวิตได้อีกกี่วัน "หญิงสาวมองเขาอย่างรังเกียจมากขึ้น
ชายคนนั้นได้เงียบลง !
……………………………………………………………
ในตอนนี้ใบหน้าของ กงซุน เจี้ยนหยุ่น แดงกล่ำไปด้วยความโกรธ เขายืนมองอีกฝ่ายที่มีความหล่อเหล่าอยู่ด้วยความตะลึง ชายที่ยืนตรงข้ามเขานั้นมีอายุน้อยกว่าเขาแน่นอน มีคนที่อายุน้อยกว่าไม่มีกี่คนที่สามารถชนะเขาได้และคนพวกนั้นก็มีอายุใกล้เคียงกับเขา
"เจ้าเป็นเป็นคนแส่หาเรื่องตายเองนะ อย่ามาโทษข้า!"
กงซุนเจี้ยนหยุ่น ตะโกนออกมาแล้วก็ขยับตัวไปพร้อมกับกระบี่ของเขา เขาใช้ทักษะย่างก้าวอำพรางเมฆของวังเทวโลก แม้ว่ามันจะดูรวดเร็วในสายตาของคนทั่วไป แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นในสายตาของชิงสุ่ย สำหรับเขาที่ผสานทักษะย่างก้าวอำพรางเมฆ กับ ก้าวขจัดวิญญาณในช่วงสองวันที่ผ่านมาและเขาได้ฝึกซ้อมอย่างบ้าคลั่งเป็นเวลา 1 เดือนในดินแดนหยกยุพราชอมตะ
"ช้า! ช้าเกินไป! "ชิงสุ่ยส่ายไปที่เงาของฝ่ายตรงข้าม ชิงสุ่ยรู้ว่านี่เป็นเพราะเขาคุ้นเคยกับ ทักษะย่างก้าวอำพรางเมฆมากแล้ว หลังจากที่ทุกอย่างเขาได้ฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน
ชิงสุ่ย ส่ายหน้าและขยับตัวออกไป นอกจากนี้เขายังใช้ทักษะย่างก้าวอำพรางเมฆ มันไม่ได้มีอะไรที่พิเศษเพียงแค่มันนั้นรวดเร็วอย่างมาก จนทำให้คนอื่นนั้นงวยงงกับความเร็วดังกล่าว
ในตอนนี้ชิงสุ่ยได้ใช้รูปแบบพยัคฆ์ออกมา จากความรู้ที่เขาได้รับจากจารึกพยัคฆ์บนอนุสรณ์สถานศิลาหิน ทำให้รูปแบบพยัคฆ์ของเขานั้นทรงพลังขึ้น มันนั้นประสิทธิภาพยิ่งขึ้นและเป็นที่น่าประทับใจอย่างมาก
พยัคฆ์ทะลายคีรี!
ชิงสุ่ย เร่งปราณในร่างให้ขึ้นสู่จุดสูงสุดภายในระยะเวลาเพียงชั่วครู่และตรงไปยัง กงซุน เจี้ยนหยุ่น ด้วยย่างก้าวอำพรางเมฆของเขา เขาได้ทุบลงไปบนไหล่ของกงซุน เจี้ยนหยุ่น และตามโดยกระบวนท่าไทชิ!
กร๊อกกก!
เกิดเสียงกระดูกหักแตกออกจากกันอย่างเห็นได้ชัดแจ้ง! กงซุน เจี้ยนหยุ่นถูกโยนออกมา จากผลกระทบอันทรงพลัง แต่นุ่มนวลจากไทชิของชิงสุ่ยลอยไปในทิศทางที่กงซุน เจี้ยนหวู่ยืนอยู่
ชิงสุ่ยยืนอยู่ในที่เกิดเหตุและมองไปที่ กงซุน เจี้ยนหยุ่นที่กำลังดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นยืน ข้างๆกงซุน เจี้ยนหวู่
กงซุน เจี้ยนหวู่รีบตรวจสอบอาการของกงซุน เจี้ยนหยุ่น และก็ค้นพบว่ากระดูกหักของเขาได้หักลง เขาต้องใช้เวลาในฟื้นตัวเกือบๆหนึ่งเดือน จากรูปลักษณ์ของเธอตอนนี้ แสดงออกถึงความห่วงใยเขาอย่างมาก
"ขอบคุณสำหรับที่เจ้ายั้งมือ!" เธอกล่าวอย่างจริงใจกับชิงสุ่ยด้วยรอยยิ้ม