เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 277 - เดินทางเข้าสู่นิกายเทวโลก
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 277 - เดินทางเข้าสู่นิกายเทวโลก
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 277 – เดินทางเข้าสู่นิกายเทวโลก
ริมฝีปากของชิงสุ่ยยังคงประทับอยู่บนริมฝีปากของห่าวหยุนลิ่วลี่ และร่างกายของพวกเขาทั้งสองยังคงแนบชิดติดกัน หลังจากนั้นไม่นาน เสียงครวญครางของเธอก็เริ่มดังออกจากปากของเธอ
ห่าวหยุนลิ่วลี่ไม่ได้พยายามหยุดชิงสุ่ยเพราะเขาไม่ได้ถอดเสื้อผ้าของเธอออก แม้จะอยู่ในระยะปลอดภัยแต่เขาก็ได้รับประโยชน์มากมายจากร่างกายเธอ เธอยังคงจูบกับชิงสุ่ยอย่างต่อเนื่องซึ่งมันคอยกระตุ้นจิตใจของชิงสุ่ยให้ดูดดื่มริมฝีปากของเธออยากบ้าคลั่ง
ห่าวหยุนลิ่วลี่กำลังรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างบางอย่างกำลังสัมผัสกับร่างกายบริเวณส่วนล่างเธอ ในขณะเดียวกันเธอก็รู้สึกผิดที่กำลังดื่มด่ำกับความรู้สึกที่แสนมีความสุข ซึ่งมันเป็นเรื่องที่น่าแปลก
เธอไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับชิงสุ่ย เธอค่อยๆหลับตาลงและหายใจเข้าอย่างช้าๆ ความรู้สึกภายในใจของเธอสะท้อนออกมาเล็กน้อยผ่านริมฝีปาก ซึ่งลิ้นของชิงสุ่ยก็กำลังสัมผัสกับปลายลิ้นที่ นุ่มนวลและอ่อนหวาน
ห่าวหยุนลิวลี่ที่กำลังรู้สึกเขินอายเริ่มกกกอดชิงสุ่ยไว้โดยแน่น ร่างกายเธอนั้นสั่นเครือหลายครั้งในตอนที่เธอพยายามกอดเขา
ชิงสุ่ยรู้สึกถึงความเศร้าหมอง เขาไม่ได้หวังว่าเธอจะพอใจกับเรื่องเหล่านี้ เขาค่อยๆลูบหลังที่ละเอียดอ่อนของเธอ แม้ว่าเขาจะพยายามเคลื่อนไหว แต่เขาก็ถูกตรึงไว้โดยอ้อมกอดของห่าวหยุนลิ่วลี่ เธอไม่ยอมให้เขาขยับเขยื้อนใดๆ
"ได้โปรด อย่าเพิ่งไปไหน อยู่แบบนี้สักพักเถิด!!!"ห่าวหยุนลิ่วลี่กระซิบโดยที่เธอไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้าขึ้น
"ลิ่วลี่ เจ้าเหงื่อแตกหมดแล้วนะ!!!" ชิงสุ่ยหัวเราะเบาๆ เขาสังเกตเห็นว่าหญิงสาวที่ไร้เดียงสาคนนี้คงจะไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้มาก่อน เพียงแค่มองดูความพึงพอใจของคนที่เขารัก แค่นี้ก็ทำให้เขาสุขใจแล้ว
เขาเอื้อมมือไปยกคางของเธอขึ้น ใบหน้าที่งดงามของเธอนั้นในตอนนี้เต็มไปด้วยน้ำตาราวกับว่ากำลังตกอยู่ในห้วงแห่งความอันตราย ใบหน้าที่แดงระเรื่อยิ่งกว่าแสงแดด มันเป็นความงามที่ไม่อาจบรรยายออกมาได้ มันเป็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นและสิ่งที่สวยงามที่สุดนั่นก็คือเสน่ห์ที่เธอถือครอง
"เจ้าคนจิตใจคับแคบ!!"ห่าวหยุนลิ่วลี่โกรธและลุกขึ้นยืนก่อนที่เธอจะเดินไปบริเวณอื่นบนหลังของวิหคเพลิงด้วยใบหน้าสีแดงราวกับกำลังเปลวเพลิงที่กำลังลุกไหม้
ชิงสุ่ยรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องที่น่าหัวเราะ ในขณะที่เขายืนขึ้นเขาก็เห็นชางห่ายหมิงเยวี่ยซึ่งกำลังนั่งอยู่บนหลังของแรงอัสนีปีกทองคำ ภาพเงาที่ปรากฏขึ้นนั้นมันทำให้ชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าควรจะทำอย่างไรต่อไป
หลังจากนั้นอีก 2 วันต่อมา ชางห่ายหมิงเยวี่ยยังคงไม่พูดวาจาใดๆออกมา แม้ว่าชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่จะพยายามพูดคุยกับเธอ เธอก็ยังคงไม่ยอมกินหรือว่าดื่มอะไรเลย เธอยังคงเงียบเช่นเดิม
"หมิงเยวี่ย มันเป็นความผิดของข้าเอง ได้โปรดบอกข้ามาเถิดว่าเจ้าต้องการสิ่งใด ข้ายินดีจะทําทุกสิ่งทุกอย่าง " ชิงสุ่ยไม่เคยกระทำเช่นนี้มาก่อน
ในช่วง 2 วันที่ผ่านมานี้ ชิงสุ่ยและลิ่วลี่พยายามทำทุกอย่างสุดความสามารถ แต่การกระทำของชางห่ายหมิงเยวี่ยยังคงเหมือนเดิม
"อย่าเป็นแบบนี้เลย เยวี่ยเยวี่ย ขอเพียงแค่เจ้าเอ่ยปากพูดและกินอาหารบ้าง ไม่ว่าเจ้าจะบอกอะไร ข้าสัญญาว่า ข้าจะทำทุกอย่างตามที่เจ้าต้องการ"ชิงสุ่ยรู้สึกเสียใจในทุกสิ่งที่เขาได้ทํา เขาไม่ได้คาดหวังสิ่งเหล่านี้เลย หลังจากรอยจูบนั้น
สิ่งที่เขาทำ มันทำให้เขารู้สึกแย่อย่างมากนอกจากเธอจะไม่ได้รู้สึกเกลียดเขาแล้ว เธอยังทำเป็นว่าเขานั้นไร้ตัวตน มันมากยิ่งกว่าการที่เธอจะแสดงความรู้สึกรังเกียจออกมาเสียอีก
" เจ้าสัญญาว่าจะทำทุกอย่างเพื่อข้าสินะ?"
หลังจากที่ชิงสุ่ยจมอยู่กับความมืดมนอันไร้ที่สิ้นสุด เขาพยายามพูดประโยคซ้ำๆประโยคเดิมในช่วง 2 วันที่ผ่านมา จนเขาถอดใจไปแล้วพวกเขาคงไม่อาจได้ยินเสียงตอบรับจากเธออีก แต่แล้วเสียงที่ดูไพเราะ เสียงที่ดูคุ้นเคยก็ดังขึ้น
"ข้าสัญญา ข้าสัญญา ไม่ว่าเจ้าต้องการสิ่งใดข้าจะทำทุกอย่างเพื่อเจ้า"ชิงสุ่ยตอบกลับโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย
"มากับข้า และเข้าร่วมนิกายเทวโลกด้วยกันกับข้า!!!"ชางห่ายหมิงเยวี่ยต้องมองไปที่ชิงสุ่ย
"นี่คือสิ่งที่เจ้าต้องการจริงๆหรือ?"เขาเอ่ยปากถามด้วยความสงสัย
"ถูกต้อง แต่เจ้าต้องอยู่ที่นิกายเทวโลกอย่างน้อยก็ 3 ปี!!!"ดวงตาของชางห่ายหมิงเยวี่ยดูสว่างไสวขึ้น ดูเหมือนว่าเธอกำลังคิดเรื่องที่ชิงสุ่ยจะเดินทางไปยังเมืองเยียนหลังจากที่เขากลับไปยังบ้าน
ตอนนี้เขารู้สึกดีใจอย่างมากจนแทบลืมเลือนทุกสิ่งทุกอย่าง จนในที่สุดเขาเพิ่งรู้ตัวว่าเขาได้เผลอกอดหมิงเยวี่ยในขณะที่เขาพยายามกล่าวคำว่าขอบคุณ
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็รีบปล่อยตัวเธออย่างรวดเร็วและกล่าวคำขอโทษจากสุดหัวใจ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยยิ้มด้วยความตลกขบขันขณะมองไปที่ใบหน้าของชิงสุ่ย "ตราบเท่าที่เจ้าตกลงกับข้าเรื่องนี้ ข้าจะไม่รังเกียจการกอดของเจ้า แต่มันจะเป็นเพียงแค่การกอดเท่านั้นและไม่มีสิ่งอื่นเกินเลยนอกเหนือจากนั้น……"เสียงของเธอหายไปในตอนท้ายจนเกือบไม่ได้ยิน แต่โชคดีที่ชิงสุ่ยยังคงได้ยินมัน
"จริงๆรึ? เพราะฉะนั้นข้าขอกอดเจ้า และข้าจะไม่ทำอย่างอื่นเด็ดขาด"เขาโอบกอดชางห่ายหมิงเยวี่ยไว้ในอ้อมแขนอย่างระมัดระวัง เอวที่แสนบอบบางของเธอนั้นเปรียบดังสมบัติล้ำค่า ท่าทางของเธอที่เปลี่ยนไปนั้นมันทำให้เขามีความสุขอย่างมาก
"เยวี่ยเยวี่ย………."
"อืม?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบกลับอย่างนุ่มนวลขณะที่เธอลดศีรษะลง เธอไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมเธอถึงพูดแบบนั้นออกไปน้ำเสียงของเธอค่อนข้างสับสน แต่เขาก็ยอมปฏิบัติตาม
"เมื่อยามที่เจ้าเดินทางไปถึงนิกายเทวโลก ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าเหล่าชายชาตรีที่อยู่ในนั้นจะต้องพูดจาหว่านล้อมตัวเจ้า เจ้าเพียงทำใจให้สงบ และไม่ต้องสนใจคำพูดสกปรกๆเหล่านั้นก็พอ………"
ชางห่ายหมิงเยวี่ย "……………."
หลังจากนั้นทั้งสามคนก็นั่งร่วมวงรับประทานอาหาร แม้ว่าบรรยากาศยังคงอึมครึมก็ตาม เป็นอะไรก็ตามทุกครั้งที่ชิงสุ่ยพยายามสบตากับชางห่ายหมิงเยวี่ยเธอก็มักจะหลบหลีกสายตาอย่างตื่นตะหนกทุกครั้ง เพราะสายตาเรานั้นยังคงย้ำเตือนรอยจูบที่เขาได้กระทำต่อเธอ
"ชิงสุ่ย!!!"ชางห่ายหมิงเยวี่ยตะโกนเรียกออกมา
"เอออออ มีอะไรอย่างนั้นหรือ?"ชิงสุ่ยถามด้วยความสับสน
"เราจะใช้เหรียญตราเทวโลกเป็นทางเลือกสุดท้าย ถ้าหากเราสามารถหาหนทางเข้าสู่นิกายเทวโลกได้ด้วยวิธีปกติ พวกเราจะไม่ใช้เหรียญตราเทวโลกนี้"ชางห่ายหมิงเยวี่ยขมวดคิ้วและกล่าวอย่างจริงจัง
ชิงสุ่ยเอกก็พยักหน้าด้วยท่าทางที่เห็นด้วย
สำหรับนิกายที่มีอายุมากกว่า 10000 ปี คงจะไม่มีผู้ใดรู้ลึกในจิตใจของพวกเขา ในบรรดานิกายทั้งหมดย่อมมีปัญหาที่ซับซ้อนอยู่ภายใน สำหรับชางห่ายที่ยอมย้ายภูมิภาคไปตั้งถิ่นฐานที่อื่นกว่า 30 ปียอมเป็นตัวบ่งบอกบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับนิกายเทวโลกได้
"มันอาจเป็นไปได้ว่าชางห่ายถูกบังคับให้ออกจากนิกายเทวโลกโดยใครบางคน? ถ้าเป็นเช่นนั้นเหตุใดเขาถึงยังอยากให้พวกเราเดินทางไปยังที่แห่งนั้น? เป็นไปได้หรือไม่ว่ามันยังมีเหตุผลบางสิ่งบางอย่างที่ซ่อนอยู่?"ชิงสุ่ยวิเคราะห์สถานการณ์ต่างๆ
"เออ ได้เลย พวกเราจะหาวิถีทางในการเดินทางเข้าไปสู่นิกายเทวโลกด้วยวิธีธรรมดากัน!!"ชิงสุ่ยยิ้มเรียนรู้สึกว่าหมิงเยวี่ยนั้นค่อนข้างเป็นคนที่รอบคอบ และเข้าใจในบางสิ่งบางอย่างละเอียดอ่อนมากกว่าเขา
สถานที่ตั้งของนิกายเทวโลกไม่ใช่สิ่งที่ถูกปกปิดเป็นความลับ ซึ่งทุกคนต่างรู้ดีว่ามันตั้งอยู่บน "เทือกเขาเทวโลก" และชื่อของนิกายเทวโลกก็มาจากชื่อของเทือกเขานี้
นี่คือข้อเท็จจริงหนึ่ง ที่ชิงสุ่ยได้เรียนรู้จักหนังสือความรู้ทางภูมิศาสตร์ของโลกเก้ามหาทวีป และสิ่งที่เขาต้องการหาเพิ่มเติมนั้นก็คือข้อมูลเกี่ยวกับเทือกเขาเทวโลก ซึ่งในลางสังหรณ์ของชิงสุ่ยมันบอกเอาไว้ว่ามันจะต้องเป็นเทือกเขาที่ห่างไกลและยิ่งใหญ่อย่างมาก
ถึงแม้ว่าเทือกเขาในระยะนี้จะมีหมอกจางๆบดบังระยะทาง แต่ชิงสุ่ยก็เชื่อมั่นว่าวิหคเพลิงของเขาจะใช้เวลาไม่เกิน 2-3 วันในการเดินทางหากบินด้วยความเร็วสูงสุด
"นั่นมันเทือกเขาเทวโลก มันเป็นดั่งเช่นที่พ่อของข้าเคยอธิบายไว้ให้ข้าฟัง เทือกเขาใหญ่โตมหึมาตั้งตระหง่านผ้าผืนนภา มันคือ 1 ใน 3 เทือกเขาที่สูงที่สุดในมหาทวีปเมฆามรกต"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวขณะที่เธอชี้นิ้วไปทางเงาของเทือกเขา
" 3 อันดับ พี่สาวแล้วอีก 2 เทือกเขาล่ะ?"ห่าวหยุนลิ่วลี่เอ่ยถาม
"อีก 2 เทือกเขานั้นก็คือ เทือกเขาอสูรยักษ์ และเทือกเขาผลบุปผชาติ!!!!"
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่เทือกเขาอสูรยักษ์จะติดอันดับ เนื่องจากเขาสามารถมองเห็นมันแม้จะอยู่ห่างจากมันเป็นระยะทางที่แสนไกล มันเป็นเทือกเขาที่เต็มไปด้วยความอันตราย และยังปล่อยกลิ่นอายที่แสนกดดันพร้อมบดขยี้บรรยากาศโดยรอบตลอดเวลา ส่วนเทือกเขาผลบุปผชาติเขาก็มีความรู้เล็กน้อยเนื่องจากเขาได้รับแผนที่หาสมบัติ
ยิ่งเข้าใกล้เทือกเขาเทวโลกมากขึ้นเท่าไหร่ ชิงสุ่ยยิ่งรับรู้ถึงแรงกดดันมากขึ้นเท่านั้น เมื่อพวกเขาเดินทางเข้ามาใกล้เทือกเขาที่ใหญ่โตถึงขนาดสูงทะลุท้องนภา มันทำให้วิหคเพลิงของเขานั้นไม่สามารถบินได้ต่อไป แม้แต่สัตว์ในตำนานก็ไม่อาจรับมือกับแรงกดดันจากชั้นบรรยากาศที่อยู่เหนือเทือกเขานี้ได้
"นิกายโบราณกาลช่างสรรหาสถานที่ที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ได้อย่างไร!!!"ชิงสุ่ยถอนหายใจด้วยความประหลาด เขาสามารถรับรู้ได้ถึงจิตแห่งปราณที่อุดมสมบูรณ์จากผืนสวรรค์และผืนแผ่นดินแม้ว่าพวกเขาจะยังเดินทางไปไม่ถึงนิกายเทวโลก ถ้าหากปุถุชนคนทั่วไปได้มาอาศัย ณ ที่แห่งนี้ อายุของพวกเขาคงจะเพิ่มขึ้นในทันทีอีก 20 ปี
หลังจากนั้นอีก 2 วัน พวกเขาก็พบว่าอยู่เพลิงนั้นไม่อาจเป็นได้อีกต่อไปแล้ว แต่ระยะทางระหว่างจุดที่เขาอยู่กับนิกายเทวโลกนั้นยังคงห่างกันกว่า 10 ลี้ แต่มันก็ไม่มีหนทางอื่นแล้วนอกเหนือจากการลงไปสู่พื้นเบื้องล่างพร้อมจัดชางห่ายหมิงเยวี่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่
ชิงสุ่ยไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมสถานที่แห่งนี้จึงกลายเป็นดินแดนรกร้าง ถนนที่ผุพังและยังคงเต็มไปด้วยสิ่งสกปรกมากมาย บริเวณอื่นๆก็เต็มไปด้วยก้อนหินมากมาย แม้แต่สัตว์ป่าเองก็ยังคงมีปัญหาและไม่อาจเดินทางบนหินที่แหลมคมได้ ส่วนจำนวนม้าขนส่งนั้นก็ช่างน้อยนิดเหลือเกิน
ชิงสุ่ยมองดูเทือกเขาเทวโลกที่มีขนาดใหญ่โตมหึมามันช่างดูคล้ายกับมังกรขนาดยักษ์ เคยมีผู้คนกล่าวกันว่านิกายเทวโลกที่ตั้งอยู่บนยอดของเทือกเขา นั้นอยู่ใกล้มากกับทางเข้าดินแดนแห่งสรวงสวรรค์ ชิงสุ่ยและหญิงสาวทั้งสองจึงมุ่งเป้าทั้งหมดไปในการเดินทาง
มันช่างเป็นเรื่องที่น่าแปลกใจที่ไม่มีรถม้าเลยแม้แต่คันเดียวบนเส้นทางที่ทอดยาวสู่เทือกเขาเทวโลก ผู้คนมักเลือกใช้การเดินเท้าหรือการวิ่งขึ้นไป และผู้คนที่สวนทางกันนั้นล้วนแต่เป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งอย่างน้อยสุดก็ระดับเทวะเซียนเทียน
"พวกเขาคงจะเป็นสาวกของนิกายเทวโลก"ชิงสุ่ยสังเกตเสื้อผ้าและรูปลักษณ์ของพวกเขา ในช่วงเวลาสั้นๆทุกคนที่เดินทางผ่านมาทั้งหมดนั้น ล้วนสวมเสื้อผ้าในรูปแบบเดียวกัน และจุดสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่บ่งบอกตัวตนของพวกเขาได้อย่างดี นั่นก็คือบนแขนเสื้อของพวกเขานั้นมีตราประทับอักษรคำว่า "เทวโลก"
ชิงสุ่ยปรับเปลี่ยนคลื่นกลิ่นอายพลังปราณของเขาให้อยู่ในระดับเทวะเซียนเทียนแรกเริ่มและเริ่มพูดคุยกับชางห่ายหมิงเยวี่ยขณะเดินทางขึ้นสู่ยอดเทือกเขา เขาได้สร้างพันธะสัญญากับชางห่ายหมิงเยวี่ยเอาไว้ว่าจะเข้าร่วมกับนิกายเทวโลกอย่างน้อยก็ 3 ปี ปีก่อนก่อนที่เขาจะเดินทางกลับไปยังบ้าน มันถึงทำให้สัญญาที่เขาเคยให้ไว้กับแม่ของเขา จากเวลา 5 ปี ปีลดเหลือเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น
"เครื่องแต่งกายนั้นจะมีหลากหลายสี ซึ่งแต่ละสีถือว่าเป็นตัวแทนของแต่ละคฤหาสน์ ตัวข้านั้นรู้เพียงแค่ว่าผู้คนที่มาจากคฤหาสน์สมบัติหลิงเซียวจะสวมเครื่องแต่งกายสีม่วงโดยไม่คำนึงถึงลำดับขั้น สำหรับผู้อาวุโสและผู้พิทักษ์พวกเขาจะมีรูปลักษณ์เครื่องแต่งกายที่แตกต่างกัน"ชางห่ายหมิงเยวี่ยอธิบายหลังจากที่เธอมองเห็นว่าชิงสุ่ยกำลังจ้องมองดูเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายของเหล่าผู้คนที่ขึ้นลงสวนทางกับเขา