เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 272 – ความเปลี่ยนแปลงของชางห่ายหมิงเยวี่ย มุ่งหน้าสู่ วังเทวโลก!
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 272 – ความเปลี่ยนแปลงของชางห่ายหมิงเยวี่ย มุ่งหน้าสู่ วังเทวโลก!
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 272 – ความเปลี่ยนแปลงของชางห่ายหมิงเยวี่ย มุ่งหน้าสู่วังเทวโลก!
"เจ้าหัวเราะอะไรกัน?" ผู้อาวุโวสูงสุดยิ้มเบาๆขณะที่เขาถาม
"ถ้าข้าเห็นด้วยกับเงื่อนไขของท่านในวันนี้และแต่งงานกับหลานสาวของท่าน แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีกถ้าหากเหตุการณ์ที่คล้ายคลึงกันนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต? ท่านคิดว่าข้าควรจะยอมรับเงื่อนไขของท่านหรือไม่?"
"ฮ่าๆ ความเสน่หาและซื่อสัตย์ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหลานสาวของข้าก็คงจะต้องตกหลุมรักเจ้าอย่างสุดซึ้ง แม้ว่าวันนี้ข้าจะอนุญาตให้เจ้ากลับออกไปได้ มันก็จะเท่ากับปล่อยให้เสือที่โดนจับได้เดินกลับไปยังเทือกเขาของมัน ชายชราคนนี้มีหนี้บุญคุณที่ยังไม่ได้ตอบแทนให้กับเจ้า ข้าเห็นได้ชัดว่ามันเกี่ยวกับความเมตตาและการแก้แค้น ข้าจะไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นหนี้บุญคุณผู้อื่น เจ้าเป็นอิสระและสามารถออกไปได้"
ชิงสุ่ยคิดว่าหูของเขาได้ยินบางอย่างผิดพลาด ในขณะที่เขาเหลือบตาไปมองชิงห่านยี่และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายชรากล่าวถึงหลานสาวสุดที่รักของเขา
"ผู้อาวุโวสูงสุด ถ้าท่านปล่อยให้เขาออกไปในวันนี้ เขาก็จะกลับมาจัดการกับเหล่าพี่น้องนิกายเทพกระบี่ของเราอย่างแน่นอนเมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น!" ชายชราตาเหลือกตาพองคัดค้าน
"ฮ่าๆ เขาจะไม่ทำ บรรพบุรุษและผู้นำนิกายได้ล่วงลับไปแล้วและในอีก 3-5 ปีข้างหน้านิกายเทพกระบี่ของเราก็จะไม่สามารถต่อกรกับเขาได้อีกแล้ว ไม่ต้องพูดถึงว่าเรื่องทั้งหมดนี้เริ่มต้นขึ้นเพียงเพราะความขุ่นแค้นระหว่างบรรพบุรุษของเราและชางห่าย"
แม้ว่าผู้อาวุโวสูงสุดจะกล่าวเช่นนั้น ชิงสุ่ยก็ยังไม่กล้าที่จะประมาททำอะไร เขาคำนับผู้อาวุโวสูงสุดในขณะที่เขาตอบกลับไปว่า "ในกรณีนี้พวกเราในหมู่คนรุ่นเยาว์คงจะต้องขอตัวลาก่อน ถ้ามีเวลาในอนาคตผู้เยาว์คนนี้คงจะต้องหาเวลาไปเยี่ยมชมนิกายที่นับถือของท่านเพื่อขอบคุณอีกครั้งอย่างแน่นอน"
ชิงสุ่ยเรียกวิหคเพลิงและถอนหายใจอย่างโล่งอกหลังจากที่เขานั่งอยู่บนหลังของวิหคเพลิงเรียบร้อยแล้ว
"ชิงสุ่ย ยี่เอ๋อขอให้บอกเรื่องนี้แก่เจ้า" ผู้อาวุโวสูงสุดถอนหายใจเบาๆ แต่ก็ฟังดูชัดเจนมาก
ชิงสุ่ยตกตะลึง แต่เขาก็ยังคงตอบไปว่า "ผู้อาวุโสกรุณาพูดเถอะ"
"นางบอกว่าเจ้าสามารถมาหานางได้ตลอดเวลาที่เจ้าต้องการ ในชีวิตนี้นางตัดสินใจที่จะรอเจ้าอยู่เพียงผู้เดียว" ผู้อาวุโสถอนหายใจขณะกล่าว
"โปรดเป็นตัวแทนของข้าในการแสดงความขอบคุณสำหรับความรู้สึกของนางด้วย ข้าจะจดจำมันไว้" ชิงสุ่ยพูดเบาๆหลังจากลังเลใจ
วิหคเพลิงโผบินขึ้นไปในอากาศและบินไปทางทิศตะวันตก ขณะนี้หัวใจของชิงสุ่ยเหมือนดั่งบึงอันกว้างใหญ่ เขาสับสนมาก เขาไม่รู้ว่าทำไมชิงห่านยี่ ถึงได้ตกหลุมรักเขา เป็นเพราะกายานพเก้าของเขา? หรือว่าเป็นเพราะช่วงเวลานั้นเมื่อพวกเขาทำการฝึกตนแบบทวิบ่มเพาะในฝันของพวกเขา?
ผู้อาวุโวสูงสุดน่าจะพูดคำพูดของเขาเพราะความรู้สึกที่หลานสาวของเขามี
"ข้าจะไม่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีกต่อไป ตอนนี้สิ่งสำคัญคือการออกจากที่นี่ก่อน ข้ายังแข็งแกร่งไม่เพียงพอและข้าจะไม่กลับไปที่เมืองทักษิณอีก” ชิงสุ่ยบอกกับตัวเองอย่างเงียบๆ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ได้พูดอะไรแม้แต่คำเดียว ตั้งแต่ตอนที่เธอขึ้นมาบนหลังของวิหคเพลิงจนกระทั่งถึงบัดนี้ ความรักระหว่างพ่อแม่ของเธอยังตราตรึงอยู่ในใจ แต่ก็รู้สึกได้ว่าพวกเขาได้ทิ้งเธอไปแล้วตลอดกาล
ตอนนี้เธอรู้สึกเหงาและหมดหนทาง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าทำไมแม่ของเธอจึงตะโกนบอกคำเหล่านั้นแก่ชิงสุ่ยก่อนที่เธอจะตาย แม่ของเธอรู้แล้วว่าเธอจะต้องจมอยู่กับอารมณ์ด้านลบเหล่านี้
"ชิงสุ่ย เจ้าต้องดีกับเยวี่ยเยวี่ยให้มากๆ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเจ้าเป็นญาติคนเดียวของนางในใบโลกนี้แล้ว"
หลังจากกลับมาแล้วชางห่ายหมิงเยวี่ยเดินทางเตร็ดเตร่ไปทั่วโลก แม้ว่าจะไม่ได้กลับไปเยี่ยมเยียนที่นั่นอีก แต่ในใจของเธอก็รู้ว่ามีที่ที่เรียกว่าบ้านรอเธออยู่
แต่ตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างจากไปแล้ว เธอคงต้องพึ่งพาตัวเองต่อจากนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรในโลกนี้สำหรับเธอที่จะพึ่งพาได้อีกต่อไป!
และเกี่ยวกับคำพูดก่อนหน้าของชิงสุ่ย เขาเพียงแค่ทำตามความปรารถนาของพ่อแม่ของเธอก่อนตาย ชางห่ายหมิงเยวี่นมั่นใจว่าในใบโลกนี้เธอสามารถพึ่งพาตัวเองได้เท่านั้น เธออยู่ตัวคนเดียว คนเดียวตลอดกาลนิรันดร์
ในช่วงเวลาที่แน่ชัดนี้ ความรู้สึกอันโดดเดี่ยวล้วนหลั่งไหลออกมาจากชางห่ายหมิงเยวี่ย กลิ่นอายของการปฏิเสธทั้งหมดทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสะเทือนใจเมื่อมองดูเธอ
เมื่อเห็นภาพเงาอันอ้างว้างโดดเดี่ยวของเธอ ชิงสุ่ยรู้ว่ามันสายเกินไปแล้ว ชางห่ายหมิงเยวี่ยได้ปิดผนึกตัวเองไว้ภายในหัวใจของเธอแล้ว มันจะเป็นเรื่องยากที่จะปีนขึ้นไปให้ถึงแสงสว่างเมื่อมองดูกำแพงอันสูงใหญ่ที่เธอตั้งขึ้นมาปิดกั้น
"หมิงเยวี่ย หมิงเยวี่ย… !!" ชิงสุ่ยขัดจังหวะความคิดของเธออย่างรวดเร็ว เนื่องจากเขาไม่ต้องการให้เธอสูญเสียความเป็นตัวของตัวเอง
"ชิงสุ่ย ช้าต้องการที่จะไปยังวังเทวโลก"
ในสายตาอันมืดมิดของชางห่ายหมิงเยวี่ย ชิงสุ่ยไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ความรู้สึกในอดีตของเธอได้อีกแล้ว ปัจจุบันชางห่ายหมิงเยวี่ยกลับยิ่งไม่แยแสมากขึ้นเมื่อเทียบกับครั้งแรกที่เขาพบเธอ
เขาไม่รู้ว่าจะมีอะไรที่เขาสามารถพูดเพื่อเปลี่ยนความคิดของเธอได้และเขาเข้าใจว่าเธอกลายเป็นแบบนี้เพราะการตายของพ่อแม่ของเธอ กลิ่นอายแห่งความโดดเดี่ยวอันมหึมานี้เป็นสาเหตุให้ชิงสุ่ยกังวลเป็นอย่างมาก
ทุกๆขณะชางห่ายหมิงเยวี่ยจะเป่านกหวีดเสียงยาวๆพอสมควร ชิงสุ่ยรู้ว่าเธอกำลังเรียกแร้งอสนีปีกทองคำของเธอ
ทันใดนั้นแร้งอสนีปีกทองคำก็กู่ร้องเสียงแหลมดั่งก้องลอยมาแต่ไกล ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบรับด้วยการผิวปาก ขณะที่ชิงสุ่ยควบคุมวิหคเพลิงเพื่อชะลอความเร็วบังคับให้มันบินไปทางแร้งอสนีปีกทองคำ ที่จริงแม้เขาจะไม่ได้บังคับมัน วิหคเพลิงก็ตั้งใจจะบินตรงไปยังแร้งอสนีปีกทองคำด้วยความรู้สึกของมันเอง
"วิหคมากด้วยตัณหาตนนี้…" ชิงสุ่ยบ่นอย่างหดหู่
ห่าวหยุนลิ่วลี่หัวเราะคิกคัก แต่ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆ ถ้าเป็นในอดีตบางทีเธออาจจะคล้อยตามไปกับเขา แต่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปส่วนนั้นของเธอก็ได้ตายไปแล้ว
เมื่อคอนดอร์แรนด์ปีกผีเสื้อสีทองใกล้เข้ามา ชางห่ายหมิงเยวี่ย เหลือบมอง ห่าวหยุนลิ่วลี่ ก่อนจะเหลือบไปที่ ชิงสุ่ย ขณะที่เธอกระโดดขึ้นไปบนด้านหลังของคอนดอร์
"ลิ่ลลี่ พวกเราจะไปกับหญิงสาวผู้โดดเดี่ยวคนนี้!" ชิงสุ่ยจับมือห่าวหยุนลิ่วลี่เดินนำไป ในขณะที่เขากระโดดขึ้นไปบนหลังของแร้งอสนีปีกทองคำ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยลดศีรษะลงเมื่อได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย!
ข้างล่างพวกเขาเป็นดงไม้ไผ่ "หมิงเยวี่ยรอก่อน? มองไปที่ดงไม้ไผ่พวกนั้นสิ ทำไมมันถึงมีไม้ไผ่อยู่ที่นี่มากขนาดนี้?"
"โอ้ หอคอยกระบี่!" ชางห่ายหมิงเยวี่ยรีบนำแร้งอสนีปีกทองคำมุ่งตรงไป
"หอคอยกระบี่!"
นี่เป็นครั้งที่สามที่ชิงสุ่ยเคยได้ยินเรื่องนี้ ครั้งแรกที่เขาได้ยินนั้นมาจากชางห่ายที่เคยเข้าไปในหอคอยกระบี่ ครั้งที่สองเขาได้ยินชางห่ายถามว่าชายชราตาบอดเคยเข้าไปหรือไม่ และครั้งที่สามเป็นตอนนี้
จากนั้นชิงสุ่ยก็อนุมานเอาว่าพวกหอคอยกระบี่น่าจะอยู่ในระดับพลังที่เท่าเทียมกันเมื่อเทียบกับพวกคนที่วังเทวโลก!
ถ้าไม่เช่นนั้นชายชราตาบอดก็คงกล้าที่จะตามชางงห่ายไปยังวังเทวโลกได้เช่นกัน? เบื้องหลังของพวกเขาต้องมีสถานะเทียบเท่ากัน!
ชิงสุ่ยไม่รู้ว่าความสูงของระดับพลังในวังเทวโลกอยู่ที่ระดับใด เอื้อมมือเข้าไปในอกของเขาและค้นหาเหรียญตราของพระราชวังเทวโลกซึ่งรู้สึกได้ถึงความอบอุ่นเมื่อสัมผัสกับมัน แต่เขาก็ยังไม่รู้ว่าเหรียญตรานี้เป็นสิ่งใด
มหาทวีปเมฆามรกตมีความกว้างใหญ่ไพศาล เขาคิดถึงคนในครอบครัวของเขา ชิงสุ่ยเสียใจเมื่อคิดว่าต้องใช้เวลาบินอย่างน้อยถึงสามเดือนก่อนที่เขาจะสามารถกลับไปยังเมืองร้อยไมล์ได้ เขาหวังว่าเมื่อถึงเวลาที่เขาอยากจะกลับไป วิหคเพลิงจะสามารถเพิ่มระดับขึ้นได้
10,000 ไมล์ในอากาศ ผู้คนด้านล่างมองดูเหมือนจะเป็นจุดสีดำเล็กๆที่อยู่บนชีวิตของพวกเขา พวกเขาสามารถมองเห็นเมืองนับไม่ถ้วนที่อยู่ด้านล่างของพวกเขา รวมทั้งเทือกเขา สันขา และแม้แต่แหล่งน้ำขนาดมหึมา
"หมิงเยวี่ย, ลิ่วลี่ พวกเราบินอยู่ด้านบนมานานกว่าหนึ่งวันแล้ว น่าจะลงไปหาอะไรกินสักหน่อย พวกเรายังสามารถจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นบางอย่างได้อีกด้วย" ชิงสุ่ยหาหัวข้อเพื่อพยายามที่จะทำลายความเงียบนี้
“ตกลง”
"แน่นอนว่าข้าชอบความคิดนี้!" คำตอบของห่าวหยุนลิ่วลี่เต็มไปด้วยความตื่นตัว
หลังจากพบพื้นที่ว่างอันกว้างใหญ่แล้วแร้งอสนีปีกทองคำก็บินลงไป ด้านล่างของพวกเขาเป็นเส้นทางหลักที่กว้างใหญ่มากๆ ข้างๆเป็นแม่น้ำขนาดมหึมา
"แม่น้ำทักษิณา!"
ชิงสุ่ยเหลือบมองที่ด้านบนของป้ายขนาดใหญ่ สถานที่นี้เป็นส่วนหนึ่งของอาณาเขตเมืองทักษิณ ขนาดของเมืองทักษิณมีมากเกินไปและทุกส่วนล้วนมีสถานที่อันน่าสนใจเป็นของตัวเอง
เมืองทักษิณได้รับการตั้งชื่อดังกล่าวเนื่องจากเป็นแหล่งน้ำขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ที่นี่และอยู่ในเขตทางใต้ของเมืองทักษิณ
ทั้งสามคนหยุดโบกรถม้าและบอกให้คนขับรถพาไปที่ร้านอาหารที่มีชื่อเสียงที่สุดในบริเวณนี้
โรงเตี้ยมแม่น้ำทักษิณมรกตทองคำ!
หลังจากที่รถม้าหยุดลง ชิงสุ่ยก็เห็นชื่อของโรงเตี้ยมดังกล่าว ตอนที่เขาเห็นมันเขาก็โกรธจนเหงื่อออก สิ่งที่น่ากลัวคือชื่อแบบนี้ ชื่อของโรงเตี้ยมแห่งนี้เมื่อเทียบกับแดนสุริยโลกมันเป็นเหมือนกับนรกและสวรรค์ แม้เพียงกับโรงเตี้ยมอวี้เหอก็ยังฟังดูดีกว่าเมื่อเทียบกับที่นี่
แต่เขาต้องยอมรับว่าสถานที่แห่งนี้เป็นชื่อที่เหมาะเจาะ อาคารทั้งหลังอยู่ภายใต้แสงเงาของดวงอาทิตย์ซึ่งมีสีทองเรืองรอง เมื่อรถม้าหยุดก็สามารถมองเห็นผู้คนเดินผ่านไปมารอบๆ
การแต่งกายของเสี่ยวเอ้อที่ประตูก็ค่อนข้างเย้ายวนด้วยเสื้อผ้าที่กระชับและรัดแน่นซึ่งเน้นให้เห็นสรีระอันงดงามของพวกเธอ มันอาจจะถึงขั้นทำให้ผู้ที่พบเห็นต้องหลั่งโลหิตออกมาทางจมูกเลยทีเดียว
“ให้ตายเถอะ นี่เป็นโรงเตี้ยมหรือหอนางโลม? อืม เสี่ยวเอ้อทั้งสองคนที่ทางเข้าก็ดูไม่เลวเลยที่เดียว เรือนร่างของพวกเธอช่าง….. หึหึหึ!" ชิงสุ่ยรำพึงรำพันด้วยตัวเอง
ทันใดนั้นชิงสุ่ยก็รู้สึกว่ามีใครบางคนจ้องมองมาที่เขา เมื่อเขาหันไปมอง เขาก็พูดไม่ออกในขณะที่เขาตกใจ ทำไมพวกมันถึงอยู่ที่นี่? พวกมันแอบติดตามเขามาหรือเป็นแค่เรื่องบังเอิญ?