เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 271 - ชาวประมง? เขาคือผู้อาวุโสสูงสุด การสร้างเงื่อนไข
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 271 - ชาวประมง? เขาคือผู้อาวุโสสูงสุด การสร้างเงื่อนไข
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 271 – ชาวประมง? เขาคือผู้อาวุโสสูงสุด การสร้างเงื่อนไข
เนื่องจากภายในทะเลสาบมีจำนวนปลาและกุ้งมาก ชิงสุ่ยจึงเลือกทำซุปปลาก่อนที่เขาจะออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ชิงสุ่ยนำซุปปลาออกมาในขณะที่เขาเดินไปยังหญิงสาวที่มองเขาด้วยความประหลาดใจ เขาพยายามหลีกเลี่ยงการจ้องมองเหล่านั้นเพราะว่าเขาไม่ต้องการที่จะตอบคำถามซึ่งภาพรวมของมันก็บ่งบอกได้แล้วว่ามันเป็นสิ่งที่ไม่อาจหาคำอธิบายใดๆ แต่อย่างไรก็ตามก็เป็นโชคดีที่โลกใบนี้เต็มไปด้วยเรื่องประหลาดมากมาย
และในเหตุการณ์หลายๆครั้งที่ผ่านมามันได้ทำให้ความอยากรู้อยากเห็นพอพวกเธอทั้งสองคนลดลงอย่างมาก จนคำอธิบายต่างๆที่ชิงสุ่ยตระเตรียมเอาไว้ไม่ได้ถูกนำมาใช้
หลังจากดื่มซุปปลาพวกเธอก็รู้สึกถึงพลังงานที่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งในขณะที่ชิงสุ่ยกำลังดื่ม เขาเหมือนจะได้ยินเสียงของหญิงสาวทั้งสองคนเตรียมตัวสิจะพูดจาบางสิ่งบางอย่าง
"เจ้าจงเฝ้าดูอยู่ที่นี่ พวกเราอาจจะไม่สวมเสื้อผ้า ดังนั้นเจ้าต้องห้ามแอบมอง!!!"ห่าวหยุนลิ่วลี่ กล่าวและยิ้มด้วยความเขินอาย
ชางห่ายหมิงเยวี่ยเองใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง พร้อมกับเดินตรงออกไปทางเดียวกับลิ่วลี่ เธอพยายามชักชวน?หรือว่าเธอพยายามที่จะแก้แค้นในสิ่งที่เขาพูดไว้ก่อนหน้านี้?
" เอาเถอะ เจ้าปีศาจสาวจ้าวเสน่ห์ สักวันหนึ่ง ข้าจะสอนบทเรียนให้กับเจ้า"
ชิงสุ่ยยังคงยืนอย่างสงบนิ่ง อยู่ที่ปากถ้ำ โดยที่เขาไม่มองดูอะไร เขาได้ยินเพียงแค่เสียงของพวกเธอที่กำลังถอดเสื้อผ้า มันทำให้ภาพแห่งความร้อนรุ่มปรากฏขึ้นในจิตใจของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยเริ่มจินตนาการภาพของโฉมงามที่อยู่ภายใต้ดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ชิงสุ่ยไม่ทราบเหมือนกันว่าภาพวาดชิ้นนี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นเวลานานเท่าใด และมันถูกสร้างขึ้นในยุคสมัยใด แต่คงกล่าวได้ว่าการที่จะสามารถสร้างภาพทั้งที่ 2 ภาพนี้ขึ้นมาได้ ก็คงใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 300 ปี กลิ่นอายที่แผ่ซานออกมาจากภาพวาดเต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง จนฝุ่นผงมิอาจย่างกรายเข้าสู่ภาพวาดได้ มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะจินตนาการการวางภาพวาดไว้ในจุดใดจุดหนึ่งมีที่รกร้างแต่กลับสามารถรักษาความสะอาดจนไม่มีฝุ่นละอองปกคลุมหรือเปรอะเปรื้อนแม้แต่น้อย
เป็นเพราะมีสิ่งของเพียงแค่ชิ้นเดียว หรือเป็นเพราะตัวของภาพวาดเอง? กระแสไอน้ำที่ไหลเวียนอยู่ภายใต้พื้นที่ หรืออาจเป็นเพราะหวงจุ้ยที่ตั้ง แต่อย่างน้อยในตอนที่เขายืนอยู่ในที่แห่งนั้น เขาก็รับรู้ได้ถึงสายลมที่พัดผ่าน มันเป็นสายลมที่ทำให้เกิดความรู้สึกที่แสนจะสดชื่น
"พี่สาว หน้าอกของท่านช่างงดงามจริง จะเป็นยังไงน้าถ้าชิงสุ่ยบังเอิญเข้ามาเห็น?"เสียงของห่าวหยุนลิ่วลี่ไม่ได้เบาลงแม้แต่น้อยเหมือนพยายามให้ชิงสุ่ยได้ยิน
"นี้เจ้าจงใจจะทำ………." ชิงสุ่ยถึงกับพูดไม่ออก
"ลิ่วลี่ เจ้าพูดอะไร?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยบ่นด้วยความเขินอาย
"ฮ่าๆๆๆ เรามาล้อเลียนเข้าคนเลวที่อยู่ข้างนอกดีกว่า"เสียงของห่าวหยุนลิ่วลี่ทำให้ชิงสุ่ยถึงจะบ้าคลั่ง
"อร๊ากกก ลิ่วลี่ เจ้าแย่ยิ่งกว่าเขาอีก หยุดสัมผัสเสียทีเถิด………………"
ชิงสุ่ย "………….."
"สาวน้อยทั้งสอง ถ้าหากเจ้ายังยั่วยวนชายหนุ่มคนนี้อีก แค่เกรงว่าพวกเจ้าทั้งสองจะต้องรับผิดชอบในการดับเปลวเพลิงในใจของข้า ข้านั้นไม่ได้รังเกียจการที่จะต้องร่วมรักพร้อมๆกันกับพวกเจ้าทั้งสองคนเลยนะ แม้จะเป็นภายในน้ำก็ตาม"ชิงสุ่ยตะโกนอย่างดุร้าย
หลังจากสิ้นเสียงชิงสุ่ย เสียงก็หยุดลงมันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกผ่อนคลาย
"อ้าาาา พี่สาว มันช่างนุ่มเหลือเกิน เพราะข้าเริ่มสัมผัสมัน มันก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงทันที"
หลังจากนั้นไม่นานเสียงของลิ่วลี่ก็ดังขึ้น มันทำให้หัวใจของชิงสุ่ยสูบฉีด จนเขาต้องเดินเข้าไปข้างใน
แต่ภาพที่เห็นทำให้ชิงสุ่ยถึงกับพูดไม่ออก หญิงสาวทั้งสองคนแต่งกายเรียบร้อย โดยที่ห่าวหยุนลิ่วลี่กำลังจับเต่าตัวน้อยๆอยู่ในมือ โดยทุกครั้งที่เต่ายืดหัวออกมา หมิงเยวี่ยก็จะใช้นิ้วสัมผัสมันเบาๆ
เหงื่อบนใบหน้าของชิงสุ่ยก็เริ่มไหลออกมา
หลังจากได้เห็นใบหน้าของชิงสุ่ย หญิงสาวทั้งสองคนก็หัวเราะเบาๆอย่างมีเสน่ห์ ชิงสุ่ยมองดูเต่าตัวน้อยๆด้วยความงุนงง ในความคิดของเขานั้นไม่ได้จินตนาการถึงภาพชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังสัมผัสเต่าเลยแม้แต่น้อย แต่มันคือ……………..
ชางห่ายหมิงเยวี่ยจ้องมองชิงสุ่ยด้วยความงุนงง เธอไม่รู้ว่าทำไมชิงสุ่ยถึงได้พยายามจ้องมองมือของเธอ ก่อนที่ชิงสุ่ยจะถูกจมูกของเขาและเผยรอยยิ้มอย่างงุ่มง่ามออกมา
"เอออ หมิงเยวี่ย วันหลังเจ้าอย่าแตะต้องหัวของเต่าต่อหน้าผู้อื่นอีก………"
"ทำไมกัน? เจ้าจะกล่าวอะไรกันแน่?"ห่าวหยุนลิ่วลี่ถามด้วยความกระวนกระวายใจ
ชิงสุ่ยมั่นใจว่าพวกเธอทั้งสองจะต้องไม่เคยเห็นบริเวณส่วนล่างของชายชาตรีมาก่อน ซึ่งหัวของเต่านั้นก็มีลักษณะคล้ายคลึงกับมัน
"ส่วนล่างของชายชาตรี มีลักษณะเหมือนหัวของเต่านี้ เจ้าคิดว่ายังไงล่ะ?"ชิงสุ่ยกล่าวล้อเลียนหมิงเยวี่ย และ ลิ่วลี่
ห่าวหยุนลิ่วลี่ตกใจจนเกือบร้องไห้ ชิงสุ่ยถึงกับตกตะลึง หลังจากจบสิ้นคำกล่าวของชิงสุ่ย ใบหน้าของหมิงเยวี่ยก็เริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
ชางห่ายหมิงเยวี่ยย่อมไม่รู้จักสิ่งที่ชิงสุ่ยพยายามกล่าวมา เธอคิดเพียงว่ามันเป็นความสนุกที่ได้เล่นหัวของเต่า ก็เธอกลับไม่คิดว่ามันจะมีลักษณะคล้ายคลึงกับสิ่งที่ชิงสุ่ยกล่าว
ชางห่ายหมิงเยวี่ยคิดว่าชิงสุ่ยพยายามล้อเลียนเธอ
ห่าวหยุนลิ่วลี่รีบโยนเต่าลงทันทีพร้อมกับพึมพำ "เจ้ามันแย่ ชิงสุ่ยเจ้ามันคนไม่ดี"
หลังจากอาบน้ำจนเสร็จสิ้น หญิงสาวทั้งสองคนดูสดชื่นขึ้นมาก ห่าวหยุนลิ่วลี่ หยิบผ้าไหมม่วงขึ้นมาปกปิดใบหน้าของเธอ เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตาที่มีเสน่ห์
"หมิงเยวี่ย เจ้าจะต้องหยัดยืนและก้าวหน้าต่อไป"ชิงสุ่ยรู้ดีว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยยังคงคาใจเรื่องการตายแม่ของเธอ แต่อย่างน้อย ไอ้เฒ่าตาบอดและบรรพบุรุษแห่งนิกายกระบี่นภาก็ได้ตายไปแล้ว ชิงสุ่ยจึงคลายความกังวลว่าอย่างน้อยเขาคงไม่ปัญหากับคนเหล่านี้
ชางห่ายหมิงเยวี่ยงุนงงก่อนที่เธอจะมองไปยังชิงสุ่ยพร้อมทั้งยิ้มและกล่าวว่า "ขอบคุณนะ ชิงสุ่ย!!!"
ในครั้งนี้ชิงสุ่ยไม่ได้กล่าววาจาใดๆออกมา แม้ว่าเธอจะกล่าวออกมาพร้อมกับเผยรอยยิ้ม แต่ภายในใจรู้เรื่องของเธอนั้นยังคงเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ ตัวของชิงสุ่ยเองก็รู้สึกโกรธเคืองตัวเองที่ไม่อาจทำสิ่งใดๆ
ตอนนี้ก็ยังเข้าช่วงบ่าย หมิงเยวี่ยและลิ่วลี่ ยังคงพูดคุยกันในเรื่องที่ไม่สำคัญและดูเหมือนชิงสุ่ยจะไม่ชอบเหตุการณ์เหล่านี้
ชิงสุ่ยรู้ดีว่าแม้เขาจะกลับมาสู่ความรู้สึกดั่งเดิมที่หมิงเยวี่ยและลิ่วลี่มีแต่เขา แต่ในตอนนี้โลกทุกอย่างผันแปรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง แม้ว่าจะต้องใช้ความพยายามอย่างมาก เขาคงไม่อาจหาคำใดๆมาอธิบายแทนคำพูดของเขาที่มีต่อพวกเธอได้
ในโลก 9 มหาทวีปแห่งนี้ ผู้ที่มีความสามารถย่อมสามารถกล่าวสิ่งใดก็ได้ ชิงสุ่ยพยายามค้นหาวิธีทางทั้งหมดเพื่อให้ตัวเองได้รับพลัง แต่ตอนนี้มีเพียงไม่กี่ครั้งที่เขารู้สึกว่าคำพูดของเขานั้นสามารถส่งไปถึงจิตใจของหมิงเยวี่ย เขารู้ดีว่ามันเป็นเพราะสภาพจิตใจที่เปราะบางของเธอในตอนนี้ ความรักที่เธอมีต่อชิงสุ่ยในตอนนี้กับค่อยๆจางหาย จนเหลือเพียงแค่ความรู้สึกที่เธอรักเขาเปรียบดังญาติคนหนึ่ง
ชิงสุ่ยรู้สึกได้เลยว่าระยะทางระหว่างเธอกับเขาค่อยๆห่างไกลขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งตอนที่เธอร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของเขา หัวใจของพวกเขายังดูเหมือนห่างไกลกัน
ภายในไม่ช้า พวกเขาก็ออกเดินทางกลับมายังเหนือคฤหาสน์ตระกูลชางห่าย ชิงสุ่ยมองลงไปก็ไม่พบการเคลื่อนไหวใดๆทั้งสิ้นนอกจากความเงียบสงบ ในชั่วพริบตาเขาก็มองเห็นศพแม่ของชางห่ายหมิงเยวี่ยพร้อมทั้งหลุมบริเวณรอบรอบ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยกระโดดเข้าโผกอดศพแม่ของเธอทั้งน้ำตา นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชิงสุ่ยและลิ่วลี่ ได้พยายามปลอบโยนจิตใจของเธอ พวกเขาทั้งสามคนนำศพแม่ของชางห่ายฝังลงใกล้ๆหลุ่มผู้อาวุโสชางห่ายเพื่อสวดส่งดวงวิญญาณของผู้อาวุโสทั้ง 2 ให้อยู่ด้วยกันตลอดกาล
"หมิงเยวี่ย เจ้าอย่าเศร้าอีกต่อไปเลย ตอนนี้ทั้งสองคนได้ไปอยู่ในที่ที่สบายที่สุดแล้ว บนสรวงสวรรค์แห่งนี้พวกท่านกำลังส่งรอยยิ้มมาให้เจ้าอยู่นะ"ชิงสุ่ยจับลงที่ไหล่ของหมิงเยวี่ยที่กำลังคุกเข่า
ไม่ได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย ชางห่ายหมิงเยวี่ยก็ยิ่งร้องไห้หนักกว่าเดิม ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่ยิ้มอย่างขมขื่นพร้อมทั้งหันกลับไปกล่าวบางสิ่งบางอย่าง
"ออกมาได้แล้ว พวกเจ้าสังเกตมากพอแล้ว "ชิงสุ่ยพยุงหมิงเยวี่ยขึ้นมาพร้อมทั้งกล่าวอยากเมินเฉย
ชางห่ายหมิงเยวี่ยและลิ่วลี่เองรู้สึกตกใจพร้อมทั้งมองไปทางชิงสุ่ย
"ฮาๆๆๆๆ ชิงสุ่ย ความรู้สึกทางจิตวิญญาณของเก่าช่างแข็งแกร่งยิ่งนัก เจ้าพูดถูกแล้ว"มีใครบางคนเดินออกมา มันทำให้ชิงสุ่ยถึงกับตกอยู่ในอาการมึนงงเมื่อเห็นคนที่เดินนำออกมา
คนๆนี้คือปู่ของชิงหานยี่ เขาเป็นชายชราที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ ชายทั้ง 4 คนที่อยู่ด้านหลังของเขานั้นต่างสวมเสื้อคลุมหิมะขาวในรูปแบบเดียวกัน
สาวกนิกายเทพกระบี่!!!!
"ท่านผู้อาวุโส เออ นี้มันคืออะไร?" ชิงสุ่ยไม่สามารถระงับความประหลาดใจที่เกิดขึ้นได้ก่อนจะเอ่ยถาม หลังจากที่เขาแน่ใจละว่าคนที่อยู่ด้านหลังทั้งหมดนั้นล้วนเป็นคนที่มาจากนิกายเทพกระบี่ แต่สายตาของพวกเขาทั้งหมดนั้นดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความเคารพในตัวปู่ของชิงหานยี่
"ท่านผู้อาวุโสสูงสุด หญิงสาวสองคนนี้คือลูกสาวของชางห่าย พวกเราจะต้องถอนรากถอนโคนพวกมันให้หมด แต่พวกเราไม่อาจต่อต้านชายคนนี้ได้"ชายชราคนหนึ่งที่เต็มไปด้วยผมขาวกล่าวยังไม่แยแส
ชิงสุ่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกไม่เข้าใจ เขาคือผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายเทพกระบี่? ในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นเฒ่าตาบอดหรือจะเป็นบรรพบุรุษพวกเขาเป็นเพียงแค่สมาชิกในสภาวุฒิโสซึ่งขึ้นตรงต่อผู้อาวุโสสูงสุด
ชิงสุ่ยไม่คาดหวังเลยว่าชายชราคนนี้จะมีอำนาจเหนือกว่าเหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายเทพกระบี่
ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่ปู่ของชิงห่านยี่ ชายชราคนนี้แข็งแกร่งเหนือกว่าบรรพบุรุษแห่งนิกายเทพกระบี่เสียอีก มาทำให้ชิงสุ่ยรู้ดีว่าเขาคงไม่อาจเอาชนะชายคนนี้ได้อย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่รู้สึกเจ็บปวดใจ เขานึกย้อนกลับไปในครั้งแรกที่เขาได้เผชิญกับชายคนหนึ่งที่ยอมเปิดร้านขายยาเพื่อช่วยเหลือหลานสาวโดยไม่หวังสิ่งใด
แต่ตอนนี้มันเกิดอะไรขึ้น? มันเหมือนสถานการณ์อย่างนิทานปรัมปราที่เคยเล่าเรื่องว่า ในระหว่างกระเรียนและหอยหลอดกำลังต่อล้อต่อเถียงกันว่าใครจะอยู่หรือใครจะถูกกินแต่สุดท้ายชาวประมงที่เดินผ่านมาก็สามารถจับพวกมันทั้งสองไปได้ หรือว่าผู้อาวุโสคนนี้จะเป็นดังชาวประมงในนิทานปรัมปรา?
ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองดูชิงสุ่ยที่กำลังหดหู่ใจ ก่อนที่เธอจะเงยหน้าและกล่าวว่า "ข้ามาจากตระกูลชางห่าย และเป็นคนสุดท้ายของบ้านตระกูลชางห่าย พวกเขาทั้งหมดไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลชางห่ายของข้า ถ้าหากเจ้ายอมปล่อยพวกเขาออกไป ข้าจะสบั่นคอของข้าต่อหน้าพวกเจ้าเอง"ชางห่ายหมิงเยวี่ยรู้ว่าบาดแผลของชิงสุ่ยที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ยังคงรุนแรงมาก และมันก็เป็นตัวแปรที่ทำให้เขายากที่จะหลบหนี และเธอก็เป็นเพียงคนเดียวที่ศัตรูต้องการ ดังนั้นเจอจึงพยายามปฏิเสธความสัมพันธ์ระหว่างชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ แต่มันอาจจะสายเกินไปแล้วที่จะพูด
ชิงสุ่ยยิ้มและจับแขนของชางห่ายหมิงเยวี่ยเอาไว้ "ข้ายังไม่ตายเลย เหตุใดเจ้าถึงพูดเช่นนั้น"
หลังจากที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยได้ยินคำพูดของชิงสุ่ย น้ำตาของเธอก็เริ่มไหลรินอีกครั้งอาบใบหน้า "ชิงสุ่ย ข้า ข้า ข้าขอโทษ ข้าขอโทษ……"
ชิงสุ่ยค่อยๆเช็ดน้ำตาของเธอ ผิวของเธอดูซีดเผือกราวกับผืนแผ่นดินที่แตกระแหง นิ้วของเขาเองก็สั่นเล็กน้อยในขณะที่สัมผัสผิวของเธอ ยิ่งเขาเช็ดน้ำตาของเธอมากขึ้นเท่าไหร่ น้ำตาของเธอยิ่งไหลรินมากขึ้นเท่านั้น เขาจึงดึงตัวเธอมากอดไว้อย่างแน่น
"ชิงสุ่ย พวกเราถือว่าเป็นคนรู้จักกันรวมทั้งยี่เอ๋อเองเพราะติดหนี้บุญคุณของเจ้า เจ้าจะว่าอย่างไรไหม? ถ้าหากข้าสนใจจะให้เจ้ากลับไปยังนิกายเทพกระบี่พร้อมข้า? ข้าอยากให้เจ้าแต่งงานกับยี่เอ๋อของข้า ข้ารู้ว่าเจ้ามีพลังกายที่ไม่เหมือนใคร ตราบใดที่พวกเจ้าทั้งสองได้แต่งงานกัน และได้ลงเอ่ยกับอย่างสมบูรณ์ ข้าจะมอบตำแหน่งผู้บรรพบุรุษแห่งนิกายเทพกระบี่ของข้าให้กับเจ้า"ผู้อาวุโสสูงสุดแห่งดินิยายเทพกระบี่กล่าวอย่างใจเย็น
เป็นไปไม่ได้เลยที่ชิงสุ่ยจะถูกล่อลวงโดยคำพูดง่ายๆ
"เป็นข้อเสนอที่ดี"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับรอยยิ้ม
"ท่านผู้อาวุโสสูงสุด……."
"ท่านผู้อาวุโสสูงสุด……."
………………..
ผู้อาวุโสสูงสุดโบกสะบัดมือขัดจังหวะเสียงพูดของสาวก เขายังคงมองไปที่ชิงสุ่ยและกล่าวออกมาว่า "ยังมีเงื่อนไขอีกหนึ่งอย่าง"
"โอ้ว ท่านโปรดพูดมาเถอะ"ชิงสุ่ยยิ้มและกล่าวด้วยท่าทางที่สบาย
ชางห่ายหมิงเยวี่ยพยายามปล่อยมือของชิงสุ่ยแล้วจ้องมองเขาด้วยสายตาที่สงสัย
"สังหารหญิงสาวทั้งสองคนที่อยู่ข้างกายเจ้าซะ"
ชิงสุ่ยไม่รู้สึกแปลกใจเลยกับคำขอนี้เพราะมันเป็นสิ่งที่เขาคาดเดาเอาไว้อยู่ตั้งนานแล้ว หลังจากที่เขาได้ยินเขาก็พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
"ไม่ทราบว่าเจ้าหัวเราะอันใดกัน?"ผู้อาวุโสสูงสุดกล่าวถามอย่างใจเย็น