เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 268 - เลือดที่ไหลรินลงบนระฆังสะท้านจิต ความตายที่น่าวิตก
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 268 - เลือดที่ไหลรินลงบนระฆังสะท้านจิต ความตายที่น่าวิตก
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 268- เลือดที่ไหลรินลงบนระฆังสะท้านจิต ความตายที่น่าวิตก
ทั้งสามคนได้สามารถขึ้นไปนั่งบนหลังวิหคเพลิงได้ ด้วยความช่วยเหลือของภรรยาชางห่าย!
“หมิงเยวี่ย ตอนแรกแม่คิดว่าแม่จะอยู่ไปกับเจ้าตลอด แต่ถึงเวลานี้ แม่ได้ตระหนักว่ามันก็สายเกินไปแล้ว”!
"ไปซะ! ชิงสุ่ยเจ้าต้องดูแลนางให้ดี ต่อจากนี้ไปเจ้าเป็นครอบครัวเดียวกับนางแล้ว ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป … "
แม่ของ หมิงเหยวี่ย ตะโกน; นั่นเป็นเสียงที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวังและความหวัง เธอหันไปมองรอบ ๆ และเดินเข้าไปหาผู้นำนิกายของกระบี่อมตะ ในตอนนี้เธอกำลังวิ่งเข้าไปด้วยแรงทั้งหมด เธอนั้นเต็มไปด้วยความุ่งมั้นที่จะตาย เธอได้ก้าวไปข้างหน้าด้วยความตั้งใจที่ไม่ย่อท้อ
ชิงสุ่ยได้ปิดตาลง วิหคเพลิงได้แผ่ขยายปีกและลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า!
"ท่านแม่…………."
ลิ่วลี่ กอดหมิงเยวี่ยทั้งน้ำตา ทั้งคู่กำลังร้องไห้อยู่ในอ้อมกอดของชิงสุ่ย ไม่มีใครเลยที่ต้องการดูฉากการจากไปของแม่ของหมิงเยวี่ย
สักครู่ต่อมามีเสียงกรีดร้องดังขึ้น! ชิงสุ่ยมองไปที่สัตว์ร้ายที่เริ่มทะยานขึ้นในระยะไกล!
ราชาอินทรีทมิฬกาล!
ชิงสุ่ยมองไปนกอินทรีที่ซึ่งกำลังทะยานขึ้น เข้าเห็นได้ชัดว่ามีชายคนหนึ่งที่เปียกโชกไปด้วยเลือดที่ใส่เสื้อคลุมสีม่วงที่ด้านหลังนั่งอยู่บนหลังของมัน
เลือดสดนั้นเป็นของแม่ของหมิงเหวี่ย!
"ชิงสุ่ย … เจ้าเป็นยังบ้าง!"
ลิ่วลี่ ถามอย่างหดหู่ในขณะที่กำลังมองดูเลือดที่ไหลออกมาชองชิงสุ่ย
"ข้าสบายดี, ดูแลหมิงเยวี่ยเถอะ" ชิงสุ่ย กล่าวเบา ๆ เขานั้นมีท่าทางอ่อนแอมาก
ชางห่ายหมิงเยวี่ย เงยศีรษะขึ้นและเหลือบไปมองที่ชิงสุ่ยแต่ตอนนี้เธอเห็นภาพที่อ่อนแอของชิงสุ่ย นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอเห็น ชิงสุ่ยที่เปียกโชนไปด้วยเลือด แต่คราวนี้ดูเหมือนจะรุนแรงกว่าครั้งก่อน ถึงแม้อาการของเขาจะดีขึ้นบางแล้ว พละกำลังอย่างน้อยบางส่วนของเขาได้ฟื้นขึ้นมาบาง แต่เขาก็ยังไม่สามารถลุกขึ้นได้ในเวลานี้
"ชิงสุ่ย … " หมิงเยวี่ยพูดออกมาเบาๆ เธอนั้นไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด แต่เธอในตอนนี้นั้นเต็มไปด้วยความเศร้าโศก และเมื่อเธอได้เห็นสภาพของชิงสุ่ยในตอนนี้ หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและอบอุ่นไปพร้อมๆกัน …
"หมิงเยวี่ยเจ้าไม่ต้องเศร้าไปหรอก แม้ว่าพวกเขาจะจากไปแล้วแต่พวกเขาก็ไม่รู้สึกเสียใจในการทำเช่นนี้เลย เพื่อให้พวกเราหนี้รอดออกมา พวกเขาได้ยอมเสียสละของพวกเขาเพื่อพวกเรา "ชิงสุ่ยมองไปที่ผู้นำนิกายกระบี่อมตะที่กำลังไล่ตามพวกเขาจากระยะไกล มีสัตว์อสูรบินชนิดอื่นอื่น ๆ อีกสองสามตัวบินตามหลังมา แต่มีเพียงราชาอินทรีทมิฬกาลเท่านั้นที่มีความเร็วกว่าวิหกเพลิงของเขา ที่สามารถตามมา
"ชิงสุ่ย ข้ารู้แล้วถึงข้าเสียใจมันก็ไม่มีประโยชน์อะไร ……… " ชางห่าย หมิงเยวี่ย กำลังคุกเขาอยู่บนหลัง วิหกอัคคี และหันไปมองทิศทางที่พ่อแม่ของเธอจากไป
"หมิงเหยวี่ย ไม่มีใครที่ไม่เคยพบเจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตหรอก แม้แต่คนที่ดูมีความสุขก็ตาม ในอนาคตยังคงมีสิ่งต่างๆมากมายที่เจ้าต้องเผชิญและเจ้าต้องเรียนรู้เกี่ยวกับมันๆจะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นอะไรที่ยากแต่เจ้าจะต้องผ่านมันไปให้ได้ และเมื่อเจ้าผ่านมันไปได้จะเจ้าไม่รู้สึกเสียใจอีกต่อไป … อั๊กๆ "
ชิงสุ่ยไอออกมาเป็นเลือด แต่ตอนนี้เขาไม่สนใจเกี่ยวกับอาการบาดเจ็บของเขา เขานั้นโชคดีมากที่ยังคงมีชีวิตอยู่ได้จากการอาการบาดเจ็บเหล่านี้
"ชิงสุ่ย … "
"ชิงสุ่ย … "
หมิงเยวี่ย และ ลิ่วลี่ ที่นั่งอยู่ที่ด้านข้างของชิงสุ่ยได้ขยับเข้าขนาบข้างเขาและพยุงตัวเขาขึ้น
"ชิงสุ่ย พวกเขาใกล้เขามาแล้วพวกเราควรทำอย่างไร?" ลิ่วลี่กล่าวอย่างนุ่มนวลในขณะที่มองอย่างกังวลไปที่ราชาอินทรีทมิฬกาล ซึ่งอยู่ห่างออกไปไม่ถึงพันเมตร
"เราคงต้องยอมรับในชะตากรรม!" ชิงสุ่ย หัวเราะเบา ๆ
คำพูดของชิงสุ่ยไม่ใช่คำหลอกลวงใดๆ พวกเขาถูกฝ่ายตรงข้ามจับพวกเขาต้องตายเป็นแน่ พวกเขาทำได้แค่ยอมรับชะตากรรมเท่านั้น อย่างไรก็ตามรอยยิ้มและน้ำเสียงของเขา ทำให้พวกเธอทั้งสองรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก
หัวใจที่เต้นด้วยความกังวลได้สงบลงแล้ว! วิหกเพลิงยังคงบินด้วยความเร็วที่อัศจรรย์และห่างออกไปจากคู่ต่อสู้ บนตัวของวิหกเพลิงได้สวมใส่สร้อยคอวิหคเพลิงซึ่งมันสามารเพิ่มความเร็วขึ้นอีก10% แต่ว่าราชาอินทรีทมิฬกาลก็ยังไล่ตามาติดๆ ในตอนนี้มันได้ห่างออกไปประมาณ 800 เมตรเท่านั้น
"ชิงสุ่ย เจ้ากลัวความตายหรือไม่?" หมิงเยวี่ย กล่าวเบา ๆ และจ้องมองไปข้างหน้า
"ข้ากลัว ข้ากลัวมันมาก!" ชิงสุ่ยกล่าวโดยไม่ลังเล
น้ำตาร่วงลงมาจากดวงตาของ หมิงเยวี่ย เมื่อได้ยินคำตอบของ ชิงสุ่ย "แล้วทำไมเจ้าถึงได้ผลักข้าและลิ่วลี่ออกไปในช่วงเวลานั้นละ? เจ้าไม่รู้หรือว่ามันจะทำให้เจ้าตกอยู่ในอันตราย? "
"ถึงข้าจะกลัวความตาย แต่ข้าก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครตายได้" ชิงสุ่ยยิ้มกว้าง
"ชิงสุ่ยนั้นให้ข้าจัดการทุกอย่างในตอนนี้เถอะ!" ชางห่าย หมิงเยวี่ย ค่อยๆลุกขึ้นยืน
ชิงสุ่ยค่อยๆส่ายหน้าของเขาและมองไปที่ หมิงเยวี่ย: "ตราบใดที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้ผู้หญิงของข้า ถูกแตะต้องแม้แต่ปลายนิ้ว "เขาหัวเราะ
หญิงสาวทั้งสองคนรู้สึกอบอุ่นอย่างมากโดยเฉพาะ หมิงเยวี่ย เธอรู้สึกแปลกใจ เมื่อได้ยินเสียงที่อบอุ่นและคำพูดที่อ่อนโอนเหล่านั้นจากชิงสุ่ย ในขณะนี้เธอไม่รู้สึกเจตนาหยอกล้อจากเขา เธอสัมผัสได้ถึงการเอาใจใส่และความอบอุ่นเท่านั้น
และนั่นเป็นความตั้งใจที่แท้จริงของเขา หมิงเยวี่ยในตอนนี้อยู่ในช่วงเวลาที่อ่อนแอที่สุด เธอต้องการกำลังใจจากครอบครัวมากกว่าครั้งไหนๆ แต่เขานั้นไม่ใช่ครอบครัวของเธอดังนั้นเขาจึงตัดสินใจใช้สถานะของคนรักซึ่งใกล้เคียงกับครอบครัวของเธอที่สุดเพื่อปลอบโยนเธอ
ราชาอินทรีทมิฬกาลได้พุ่งมาด้วยความเร็วตอนนี้มันห่างกับพวกเขาเพียง500เมตรเท่านั้น พวกเขาสามารถสัมผัสได้ถึงแรงกดดันและรังสีที่รุนแรงได้
"หมิงเยวี่ย, ลิ่วลี่, ช่วยสนัยสนุนข้าที" แม้ว่าชิงสุ่ยจะยืนขึ้นได้ แต่เขาก็ไม่สามารถทนต่อแรงลมกระโชกในอากาศได้
"ชิงสุ่ย …… "
หญิงสาวทั้งสองคนพูดอย่างเบา ๆ ดวงตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความโศกเศร้า
"ข้าสบายได้ดีเพียงแค่ช่วยจับข้าเอาไว้เท่านั้น ข้าจะพยายามจัดการกับเจ้านกยักษ์ตัวนั้น "ชิงสุ่ยยิ้มให้
หมิงเยวี่ยได้พูดออกมา "นกยักษ์"! เธอจะไม่มีวันลืมได้แน่ ว่าเธอได้เคยเธอพูดคำพูดที่น่าอับอายนี้ออกมา มันทำให้เธอโกรธและเขินอายมากพอที่จะทำให้เธอนั้นอยากตาย
"ข้าชอบนกยักษ์ของเขาจริงๆ ……… "
เธอโกรธยิ่งกว่าเดิมเพื่อได้ยินเขาแกล้งใช้คำพูดที่ไรเดียงสาออกมาเพื่อทำให้เธอเขินอาย ผู้ชายช่างลามกจริงๆ แม้แต่เขาก็ไม่เว้น ……
ชิงสุ่ย ยิ้มอย่างขมขื่น ขณะที่แตะจมูกของเขาหลังจากที่ได้มองไปที่ใบหน้าของหมิงเยวี่ย เขาประเมินว่าระยะทางระหว่างเขากับราชาอินทรีทมิฬกาล อยู่ใกล้กว่า 400 เมตร
เขาได้หยิบระฆังสะท้านจิตจากดินแดนภายในออกมา
ระฆังสีม่วงขนาดเล็กที่ล้อมรอบด้วยแสงสีม่วงมีความสวยงามเป็นอย่างมาก ท้องฟ้าในบริเวณนั้นค่อยๆส่องสว่างขึ้นเป็นแสงสีม่วง แสงสีม่วงที่เกิดจากระฆังสะท้านจิตมันช่างลึกลับอย่างมาก
"ชิงสุ่ยระฆังเล็กๆนี้คืออะไรกัน " ชางห่าย หมิงเยวี่ย ถาม
"มันคือสิ่งที่นกยักษ์หวาดกลัว"
หมิงเยวี่ย "……………………… "
ชิงสุ่ย ได้เขย่าระฆังสะท้านจิตขึ้น ขณะที่ราชาอินทรีทมิฬกาลกำลังใกล้เข้ามา และเมื่อมันเข้ามาใกล้ในรัศมี 300 เมตร เขาได้ถ่ายปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลในทันที
“อึก!”
รางก่ายของชิงสุ่ยสั่นสะท้าน และพ่นเลือดออกมา เลือดนั้นได้สาดส่องลงบน ระฆังสะท้านจิตสีม่วงและในขณะนั้น ระฆังสะท้านจิตได้ส่องแสงสีม่วงเรืองรองมากกว่าเก่า ร่องรอยคาบเลือดบนมันได้จางหายไปอย่างรวดเร็ว
"ชิงสุ่ย … "
"ข้าสบายดี!"
ในตอนนั้นระยะห่างระหว่างพวกเขากับราชาอินรทรีทมิฬกาลลดลงเหลือเพียง200เมตร
"ยังจะหนีกล้าหนีอีกรึ?ข้าจะดูว่าพวกเจ้าจะสามารถหลบหนีไปได้อีกนานเท่าไร " ชายวัยกลางคนกล่าวอย่างเยือกเย็น
“ไม่มีที่ให้พวกเจ้าหลบหนีอีกแล้ว” พวกเขาอยู่ระดับที่สูงขึ้นไปกว่าหมื่นเมตรไม่ต้องพูดถึงเฒ่าตาบอดเลย แม้ขนาดคนที่อยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณนักบุญพิโรธที่หากตกจากความสูงขนาดนี้ ก็ไม่สามารถมีชีวิตรอดไปได้ ยกเว้นกรณีที่โชคดีตกลงไปในมหาสมุทรหรือทะเลสาบเท่านั้น สำหรับคนส่วนใหญ่ที่อยู่ในอาณาจักรพลังปราณเทวะกษัตริย์ระดับห้า หากตกลงไปแทบจะไม่มีชีวิตรอดกลับมา
"หลบหนี? ทำไมต้องหลบหนีด้วยละ? เจ้าตั้งหากที่กำลังจะก้าวไปสู่ความตายและข้าจะส่งเจ้าไปเอง! "ชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาไปยัง ระฆังสะท้านจิตและ เขย่ามันไปทางราชาอินทรีทมิฬกาล
มีเพียงกลุ่มควันสีม่วงกระจายออกมา และมันก็โดนเข้ากับมงกุฎของ ราชาอินทรีทมิฬกาล ในระยะเวลาสั้น ๆ ระฆังสะท้านจิตได้เปล่งเสียงทำนองไพเราะออกมา
เสียงนี้คืออะไร?
ชิงสุ่ยได้ถ่ายทอดปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลของเขาไปยัง ระฆังสะท้านจิต รางก่ายของเขากำลังสั่นไหว ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นซีดเซียว จนแทบไม่มีเลือด
แต่ชิงสุ่ยไม่สนใจกับเรื่องนั้น เพราะเขากำลังเฝ้าดูฉากที่ทำให้เขาเต็มไปด้วยความสุข ที่กำลังจะเกิด ในขณะนั้นหมอกสีม่วงได้เข้าประทะกับราชาอินทรีทมิฬกาล มันได้จะปล่อยเสียงร้องโหยหวนและกระพือปีกของมันอย่างแรง
ผู้นำนิกายของกระบี่อมตะได้ถูกโยนออกไปโดยความบังเอิญจากด้านหลังของราชาอินทรีทมิฬกาล ไม่เพียงแค่นั้นเขาก็เห็นปีกคู่มหึมาที่สามารถปกคลุมท้องฟ้าและสามารถปิดกั้นแสงดวงอาทิตย์ได้ของราชาอินทรีทมิฬกาล พร้อมด้วยกรงเล็บซึ่งสามารถทำลายภูเขาได้ทั้งลูก ได้มุ่งตรงไปทางเขา
ผู้นำนิกายที่อยู่ทามกลางอากาศ มีความคิดที่หวาดกลัวความตายหากเขาตกลงมาจากที่สูงขนาดนั้น เขาจึงหวังว่าเขาจะสามารถกลับไปที่ด้านหลังของราชาอินทรีทมิฬกาล ได้
แต่เขาไม่เคยคิดว่านักยักษ์ที่แสนเชื่องของเขา จะพุ่งกรงเล็บอันแหลมคมมาทางเขา เขาไม่สามารถต่อสู้ได้เลยกลางอากาศนี้
เขาคงจะไม่เกรงกลัวว่าจะมีกรงเล็บที่ร้ายกาจเหล่านี้เป็นแน่ถ้าเขาอยู่บนพื้นดิน แต่ที่ด้านบนท้องฟ้าเข้าไม่สามารถที่จะทำอะไรได้เลย เขาทำได้แค่ป้องกันและต่อยไปที่ปีกคู่นั้นที่ เขาได้ล่วงลงอย่างรวดเร็วจากความสูงของหมื่นเมตรกลางอากาศ เสียงกรีดร้องที่ไม่เต็มใจเปล่งออกมามัน เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง