เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 253 – สร้อยคอนภาสัมฤทธิ์ ภัยพิบัติของความงาม
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 253 – สร้อยคอนภาสัมฤทธิ์ ภัยพิบัติของความงาม
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 253 – สร้อยคอนภาสัมฤทธิ์ ภัยพิบัติของความงาม
ชิงสุ่ยจมดิ่งลงสู่ความคิดของเขา เพราะเขาจำได้ว่าพิมพ์เขียวบางอันในโลกนี้มีลักษณะพิเศษที่ซ่อนอยู่ในตัว
สร้อยคอแวววาวไม่มีการตกแต่งใดๆและไม่เจือปนด้วยแร่โลหะอื่นๆ แรกเริ่มสำหรับการหลอมแร่สัมฤทธิ์พวกเขาจะต้องทำอย่างนุ่มนวล ชิงสุ่ยใช้เคล็ดเปลวเพลิงบรรพกาลหยิน-หยางของเขาเพื่อปรับแต่งพวกมัน เขาก็จะได้รับแก่นแท้สัมฤทธิ์จำนวนมากที่แข็งแรงและทนทานกว่าแร่สัมฤทธิ์เดิมๆหลายเท่า
เนื่องจากมันค่อนข้างหนาแน่นเป็นพิเศษจึงจำเป็นต้องใช้เทคนิคพันค้อนกัมปนาทในการทำและเห็นได้ชัดว่าสร้อยคอมีคุณภาพที่สูงมากเมื่อเทียบกับสร้อยคออื่นๆ
เขาลองใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์และค้นพบว่าสร้อยคออยู่ในระดับ 1 มันสามารถเพิ่มความเร็วขึ้นได้ 10 ส่วน!
เพียงความสามารถง่ายๆเช่นนี้ก็ทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก การเพิ่มความเร็วขึ้น 10 ส่วน ไม่ใช่เรื่องเล็กๆน้อยๆสำหรับวิหคเพลิงของเขา สำหรับเครื่องสวมใส่ระดับ 1 การเพิ่มประสิทธิภาพของตัวเองขึ้น 10 ส่วน เมื่อพิจารณาดูแล้วจะไม่ทำให้ชิงสุ่ยมีความสุขได้อย่างไร?
หากเทียบกับรองเท้าเหล็กกล้าเยือกเย็นแล้ว ทั้งสองชิ้นนี้ถือได้ว่าเป็นสุดยอดของทักษะการหลอมในปัจจุบันของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยหยิบสร้อยคอนภาสัมฤทธิ์และเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ เสียงวิหคกู่ร้องโหยหวนดังขึ้นขณะที่วิหคเพลิงบินมาหาชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยสวมสร้อยคอนภาสัมฤทธิ์ไว้ที่คอของมันอย่างแน่นหนา มันเหมือนกับว่าวิหคเพลิงสามารถรู้สึกถึงประสิทธิภาพและความสามารถเสริมของสร้อยคอได้ มันกระพือปีกอย่างตื่นเต้นและบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ปีกสีแดงขนาดยักษ์ที่กระพือออกมาตั้งตระหง่านอย่างงดงาม
หลังจากนั้นชิงสุ่ยก็ออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะและกลับไปที่ร้านตีเหล็กเพื่อเปิดกิจการใหม่อีกครั้ง
ปัจจุบันชิงสุ่ยมีอาวุธอยู่ 5 ชิ้น กระบี่มรกต 3 เล่มและกระบี่เสี้ยวมรกต 2 เล่ม
ชิงสุ่ยมองไปยังพิมพ์เขียวของเครื่องสวมใส่ เขาเตรียมที่จะสร้างชุดเกราะปราการศึกขึ้นมาชุดหนึ่ง การป้องกันของชุดเกราะนี้จะต้องเป็นอะไรที่น่าสะพรึงกลัวและสามารถป้องกันการฟันและทักษะทั่วๆไปของกระบี่หรือดาบได้
ยังคงมีเหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี หลงเหลืออยู่บางส่วน อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยอยากจะใช้พวกมันเพื่อหลอมรองเท้าสำหรับคู่ผัวเมียชางห่าย ครั้งนี้พวกเขาจำเป็นจะต้องใช้มันหากต้องการที่จะอยู่รอดจากการโดนห้อมล้อมโดยนิกายเทพกระบี่
แม้เขาจะนึกถึงเรื่องนี้แต่กลับไม่มีความหวั่นไหวหรือความหวาดกลัวอยู่ภายในใจเลย จะมีก็เพียงแต่ความตื่นเต้นและมุ่งมั่นที่จะต่อสู้ ชิงสุ่ยรู้สึกตกใจกับอารมณ์ของตัวเอง บางครั้งเขาก็ไม่รู้ว่าทำไมเค้าถึงรู้สึกแบบนี้
ชิงสุ่ยมองไปที่ผิวหนังของราชันย์อสรพิษวงแหวนทองคำและอสรพิษหยกมรกตในดินแดนหยกยุพราชอมตะ สายตาของเขาหันไปจิตแก่นแท้เหล็กกล้าที่เขาไม่ได้มีโอกาสใช้เลย
คราวนี้ชิงสุ่ยตัดสินใจว่าจะใช้มัน น่าเสียดายที่ระดับการหลอมของเขาไม่สูงพอที่จะสามารถใช้จิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 ได้
"ถ้าข้าผลักดันตัวเองไปจนถึงขีดจำกัด ข้าอาจจะสามารถจัดการกับจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 20 ได้ ข้ามีจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 จำนวน 8 ชิ้น ข้าสามารถปรับแต่งพวกมัน 6 ชิ้น ให้กลายเป็นจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 20 จำนวน 3 ชิ้นได้ เช่นเดียวกับหลักการของการปรับแต่งอัญมณี
ชิงสุ่ยรีบนำจิตแก่นแท้เหล็กกล้าออกมาและเริ่มต้นการปรับแต่งมัน ผู้คนต่างแวะเวียนเข้ามาเลือกซื้อสินค้าร้านตีเหล็กของเขา เมื่อได้เห็นชายหนุ่มและหญิงสาวที่คุ้นเคยเดินเข้ามาและมองหาสินค้า ชิงสุ่ยก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
หลังจากวันนั้นเขาก็ไม่คิดว่าจะได้เจอกับกลุ่มของพวกอันธพาลที่เขาไล่กลับไปด้วยการแสดงทักษะกระบี่ของเขา เขาครุ่นคิดว่าเพราะอะไรพวกเขาถึงยังกล้าที่จะกลับมา ชิงสุ่ยยังคงทำสิ่งที่เขาคิดอยู่ในใจว่าตราบเท่าที่พวกเขาไม่เป็นปัญหาให้กับเขา เขาก็ไม่คิดที่จะมีเรื่องกับพวกเขาที่นี่
"หนุ่มน้อยช่างตีเหล็กคนนี้คือคนที่รังแกเจ้างั้นหรือ?" ชายหนุ่มรูปงามกล่าว
"ใช่แล้ว เจ้าต้องจัดการมันให้กับข้า”
ชิงสุ่ยรู้สึกหงุดหงิด เขาไม่มีเวลาและอารมณ์ที่จะมาจัดการกับชายหนุ่มที่ร่ำรวยจากตระกูลบางตระกูล เรื่องนี้จะต้องเป็นเพราะหญิงสาวที่คอยสุมไฟอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน และหากชิงสุ่ยต้องการจะทำร้ายเธอจริงๆ เขาก็คงไม่โง่พอที่จะทำแบบนั้นเพื่อที่จะต้องมาพบเจอกับเหตุการณ์ในวันนี้
"โอ้ นายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลฉีเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก!" หญิงสาวที่แต่งกายเย้ายวนกล่าว
"หญิงโสมม!" ทันใดนั้นก็มีเสียงบุคคลลึกลับตะโกนออกมาจากผู้คนที่แออัดภายนอกร้าน
"ใครเป็นคนพูด ถ้าเจ้ายังมีความกล้าหาญก็ออกมาและมาดูกันว่าข้าจะตีเจ้าให้ตายอย่างไร!" หญิงสาวผู้ที่แต่งตัวเย้ายวนและผูกผมหางม้าตะโกนออกมาในขณะที่แสดงท่าทางองอาจ
ทุกคน "… "
ชิงสุ่ยตกใจมากเมื่อได้ยินเสียงนั้น ในตอนแรกเขาคิดเพียงแค่ว่าหญิงสาวผู้นี้ช่างแต่งกายน่าเย้ายวนและไม่เคยคิดเลยว่าคำพูดที่แข็งกร้าวดังกล่าวจะออกมาจากปากของเธอ ถ้าชายคนใดได้เห็นเรือนร่างของเธอก็คงจะเต็มใจที่จะถูกตีด้วยมือของเธอ แต่ตอนนี้คำพูดของเธอกลับทำให้กลุ่มคนที่แออัดระเบิดเสียงหัวเราะเยาะเย้ยออกมา
ชิงสุ่ยรู้สึกได้ว่านายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลฉีหันมาจ้องมองเขา การแสดงออกที่อ่อนโยนในสายตาของเขาเปลี่ยนไปเหมือนดั่งกระบี่ที่คมกริบ ชิงสุ่ยเงยศีรษะขึ้นมองชายหนุ่มผู้ที่อยู่ในขั้นระดับพลังปราณเทวะเซียนเทียน ดวงตาของเขาไม่มีความรู้สึกใดๆ เขาไม่ได้ให้ความสำคัญอะไร ชิงสุ่ยไม่ได้สนใจต่อการรุกรานของผู้คนเหล่านี้
"โอ้ ชิงสุ่ย ดูเหมือนว่าเจ้าจะกำลังยุ่งอยู่นะ เจ้าต้องการความช่วยเหลือจากพวกเราหรือไม่?" เสียงอันแสนมีเสน่ห์ของห่าวหยุนลิ่วลี่ลอยขึ้นมาอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยเอียงศีรษะขณะที่เขาสังเกตเห็นห่าวหยุนลิ่วลี่และชางห่ายหมิงเยวี่ยเดินมาพร้อมกับรอยยิ้มบนใบหน้าของพวกเธอ
"แม่นางชางห่าย ข้ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้พบเจ้าที่นี่" เขาไม่ได้สนใจท่าทางแปลกใจบนใบหน้าของชิงสุ่ย นายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลฉียิ้มขณะที่เดินไปหาชางห่ายหมิงเยวี่ย
"อืม เจ้ามาทำอะไรที่นี่?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยตอบอย่างไม่แยแสหรือยิ้มใดๆ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอตอนที่เธอเดินเข้ามามีให้กับเฉพาะชิงสุ่ยเท่านั้น
"เทียนปิง คนผู้นี้เป็นใคร? ทำไมเจ้าถึงไม่แนะนำนางให้ข้ารู้จัก?" หญิงสาวคนนี้รีบวิ่งไปข้างหน้าของชายหนุ่มและกอดแขนของเขาเอาไว้
เธอเต็มไปด้วยความอิจฉาและความหึงหวงเมื่อเธอเห็นว่าเขาจ้องมองไปที่หญิงสาวสองคนที่เพิ่งมาถึง เธอไม่เคยเห็นนายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลฉี มองหญิงสาวด้วยสายตาแบบนี้มาก่อน
“เร็ว!”
“ไปซิ!”
ชิงสุ่ยแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาของเขา นายน้อยที่ 3 แห่งตระกูลฉี เป็นคนที่เจ้าชู้ซึ่งส่งผลให้เธอต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่น่าตกอับ
"แม่นางชางห่ายนี่เป็นความผิดของผู้หญิงโง่เง่าคนนี้ เจ้าควรรู้ไว้ว่าผู้หญิงโง่ๆมักจะแสดงพฤติกรรมเช่นนี้เสมอ เธอกล้าคิดว่าข้าจะหลงเสน่ห์เธอ ข้าเทียนปิง ไม่ได้เป็นพวกที่หมกมุ่นอยู่แต่กับเรื่องบ้ากาม"
ชิงสุ่ยรู้อย่างแท้จริงว่าชายหนุ่มคนนี้วางแผนอะไร เขากำลังวางแผนที่จะแสดงความชอบธรรมของเขาต่อหน้าชางห่ายหมิงเยวี่ย ชิงสุ่ยคิดว่าหลังจากที่ชายหนุ่มเห็นชางห่ายหมิงเยวี่ย เขาก็รู้สึกได้ในทันทีว่าความงามของผู้หญิงคนนั้นเปรียบดั่งสุนัขข้างถนนเมื่อเทียบกับชางห่ายหมิงเยวี่ยและตัดสินใจที่จะผลักไสไล่ส่งเธอออกไปเพราะกลัวความเข้าใจผิด
ตอนนี้ห่าวหยุนนั้นมายืนอยู่ข้างๆชิงสุ่ยแล้ว ในสายตาของเธอมีความกังวลเล็กน้อย ชิงสุ่ยรู้สึกขอบคุณมากสำหรับความกังวลเงียบๆของห่าวหยุน ในตอนแรกเขาคิดว่าลักษณะนิสัยของเธอเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะกังวลอย่างจริงจังเกี่ยวกับเรื่องของคนอื่นๆ ซึ่งเขาก็ประหลาดใจที่พบว่าเขาคิดผิด
มีผู้คนจำนวนมากที่แออัดกันอยู่ซึ่งถูกดึงดูดความสนใจโดยชิงสุ่ยและห่าวหยุนลิ่วลี่ แม้กระทั่งชางห่ายหมิงเยวี่ยก็ค่อนข้างว้าวุ่นใจเมื่อเห็นว่าพวกเขาดูเหมาะสมกันดี
ไม่มีใครในฝูงชนสังเกตเห็นว่าหญิงผมหางม้ากำลังมีเลือดไหลออกมาจากปากของเธอ เธอมีความเกลียดชังในสายตาของเธอขณะที่เธอจ้องมองไปที่ฉีเทียนปิง ชิงสุ่ย และชางห่ายหมิงเยวี่ย ก่อนที่เธอจะออกจากที่นี่ไปอย่างเงียบๆ
"แม่นางชางห่าย ข้าสงสัยว่าข้ามีเกียรติพอที่จะชวนเจ้าไปรับประทานอาหารกลางวันด้วยกันได้หรือไม่" ฉีเทียนปิงยักไหล่ของเขาอย่างไม่ระมัดระวังขณะที่เขายิ้มให้กับชางห่ายหมิงเยวี่ย
ชางห่ายหมิงเยวี่ยจ้องมองเขาอย่างเงียบๆ ไม่มีสีหน้าท่าทางใดๆแสดงออกมาในสายตาของเธอ ขณะที่ปรากฏกลิ่นอายอันทรงพลังออกมาแทน เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้ฉีเทียนปิงตัวเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ ท่าทางที่ไร้ความกังวลก่อนหน้านี้ของเขาหายไปอย่างสิ้นเชิง ขณะที่เขาอยากจะหลบหนีออกไปด้วยความตื่นตระหนก นี่เป็นสิ่งที่ผู้ชายทุกคนต้องเผชิญนั้นคือการถูกปฏิเสธ ดังนั้นปกติในโลกนี้ผู้ชายมักจะต้องมาหาหญิงสาวที่มีระดับพลังใกล้เคียงกันหรือคนที่อ่อนแอกว่าพวกเขา
ชิงสุ่ยเหลือบมองไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยด้วยอารมณ์ขัน มีผู้ชายเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่กล้าที่จะเผชิญหน้ากับชางห่ายหมิงเยวี่ย และนี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นชายคนหนึ่งที่อยู่ในสภาพที่น่าสงสารและถูกปฏิเสธโดยชางห่ายหมิงเยวี่ย
และเมื่อได้เห็นการหัวเราะในดวงตาของชิงสุ่ย หญิงสาวผู้ที่เคยกล่าวอ้างเรื่องความรักของพวกเธอก็ได้หันหางกลับไปในทันทีและวิ่งหนีไปพร้อมกับนายน้อยที่ 3 จากตระกูลฉี หลังจากนั้นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มุงดูเพราะความตื่นเต้นและส่วนที่เหลืออีกสองสามคนภายในร้านต่างก็หันไปมองที่ศาสตราวุธระดับพระเจ้า