เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 250 – คุณสมบัติเพิ่มเติม : พิษเยือกแข็ง เมฆพายุถาโถม
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 250 – คุณสมบัติเพิ่มเติม : พิษเยือกแข็ง เมฆพายุถาโถม
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 250 – คุณสมบัติเพิ่มเติม : พิษเยือกแข็ง เมฆพายุถาโถม
"เออ…… ข้าจะบอกว่า ถ้าหากวันใดที่ข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตระกูลชางห่ายของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมปกป้องเยวี่ยเยวี่ยแทนข้า" ชางห่ายถอนหายใจ ความเศร้าโศกในตอนนี้เอ่อล้นจนสามารถมองเห็นได้ผ่านสายตา
"ท่านพ่อมีอะไรผิดพลาดหรือ?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยหน้าซีด ขณะที่เธอจ้องไปที่ชางห่าย ความตื่นตระหนกกำลังสั่นไหวอยู่ในดวงตาที่มืดสนิทของเธอ
"เยวี่ยเยวี่ย ข้าก็แค่บอกว่าถ้าเท่านั้น เจ้าไม่ต้องเป็นห่วง!" ชางห่ายจ้องมองอย่างจริงจังไปที่ชางห่ายหมิงเยวี่ย
แม้ว่าท่าทีของชิงสุ่ยยังคงเหมือนเดิม แต่หัวใจของเขาก็คล้ายกับคลื่นลูกใหญ่โตที่ถาโถมพลุ่งพล่านขึ้นมา ชิงสุ่ยรู้ดีว่าตั้งแต่ชางห่ายได้พูดอย่างนั้นมันก็หมายความว่าสิ่งที่ไม่ดีจะเกิดขึ้นกับเขาเร็วๆนี้
สิ่งแรกที่ชิงสุ่ยคิดคือนิกายเทพกระบี่ อย่างไรก็ตามหลังจากที่เขาสงบลงก็จำขึ้นมาได้ว่า ชางห่ายไม่ได้สนใจและไม่คิดว่านิกายเทพกระบี่อยู่ในสายตาของเขาเลย เขามองพวกนั้นด้วยความชิงชัง
ชางห่ายมองไปที่ชิงสุ่ยอย่างเงียบๆและรอคำตอบของเขา ชิงสุ่ยกำลังคิดอยู่ในใจของเขา ถ้ามีอะไรบางอย่างที่แม้แต่ชางห่ายก็ยังไม่สามารถจัดการได้ เขาจะจัดการกับมันได้อย่างไร? แต่เมื่อได้เห็นการจ้องมองอย่างเด็ดเดี่ยวของผู้เป็นพ่อต่อหมิงเยวี่ย ชิงสุ่ยก็เข้าใจได้ในทันทีแม้ว่าเขาจะไม่มีพ่อ เขารับรู้ถึงความรู้สึกนั้น หลังจากที่เขาเคยเป็นพ่อให้กับลูกบุญธรรมของเขา
"ข้าสัญญา ข้าจะทำอย่างดีที่สุดเพื่อดูแลลูกสาวของท่าน" ชิงสุ่ยกล่าวด้วยเสียงที่หนักแน่นและเต็มไปด้วยความละเอียดอ่อน คำมั่นสัญญานั้นรู้สึกได้ถึงความเข้มแข็งในคำพูดของเขา
ชิงสุ่ยจะไม่พูดอะไรเช่นข้าจะทำ…. ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ เพราะมันเหมือนกับไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิตและเขาจะไม่ไปถามชางห่ายว่าเกิดอะไรขึ้น เขารู้ว่าถ้าชางห่ายต้องการหรืออยากจะพูดมัน เขาก็จะทำเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ตามชิงสุ่ยยังกังวลอยู่บ้าง เขารู้ว่าถ้าไม่มีชางห่ายเขาก็จะไม่ได้รับการสนับสนุนในเมืองทักษิณอีกต่อไป เมื่อศัตรูจู่โจมขึ้นมาในอนาคต เขาก็จำเป็นจะต้องหลบหนีออกจากที่นี่ไป
บรรยากาศในห้องเริ่มหนักหน่วงขึ้นเมื่อดวงตาของชางห่ายหมิงเยวี่ยเริ่มแดง นี่เป็นครั้งแรกที่ชิงสุ่ยเห็นเธออยู่ในสภาพที่บอบบางเช่นนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะสถานการณ์ในปัจจุบัน ชิงสุ่ยก็คงไม่คิดว่าชางห่ายหมิงเยวี่ยจะยังคงมีมุมมองด้านนี้ของเธอ
"ท่านพ่อ พวกเราจะไปจากที่นี่ไหม? ถ้าพวกเราออกไปก็จะไม่มีอะไรเลวร้ายเกิดขึ้นใช่รึไม่?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยจับแขนของชางห่ายด้วยความกังวลใจ
"มันสายเกินไป ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลังจาก 30 ปีที่ผ่านมา" ชางห่ายหัวเราะอย่างขมขื่น
"ท่านพ่อ ใครกันที่พยายามจะจัดการกับท่าน?" น้ำตาไม่ได้ไหลหยดลงบนใบหน้าของชางห่ายหมิงเยวี่ยเลยแม้แต่น้อย เธอเป็นคนที่ระมัดระวังในความคิดของเธอ เธอเป็นคนที่ฉลากปราดเปรื่อง ดังนั้นเธอจะไม่เข้าใจถึงความกดดันของสถานการณ์ในขณะนี้ได้อย่างไร?
ในทางตรงกันข้ามแม่ของชางห่ายหมิงเยวี่ย มีรอยยิ้มจางๆบนใบหน้าของเธอ เธอพยายามที่จะปลอบโยนตัวเอง อย่างไรก็ตามไม่ว่าการแสดงออกของเธอจะดีเพียงใด เธอก็ไม่สามารถซ่อนความกังวลเล็กน้อยที่ปรากฏอยู่บนคิ้วของเธอได้
"นิกายเทพกระบี่ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าเพื่อนเก่าผู้โง่เขลาในนิกายเทพกระบี่จะมาแตกแยกกันได้หลังจากผ่านไป 30 ปีแล้ว" ชางห่ายแสดงสีหน้าไม่พอใจ
"ท่านผู้อาวุโสพวกเราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลยสักนิดหรือ?" ชิงสุ่ยขมวดคิ้ว ถ้าในตอนนี้เขาสามารถบรรลุระฆังสะท้านจิตขั้นที่ 4 ได้ เขาจะมีความมั่นใจในการหลบหนีไปกับสัตว์อสูรที่บินได้
"ไร้ประโยชน์ ตราบเท่าที่คู่หูของผู้อาวุโสคนนั้นเป็น ‘ราชันย์เวหาเหยี่ยวทมิฬ’ ความเร็วของมันนั้นช่างหน้าอัศจรรย์ ไม่มีสัตว์อสูรบินได้ธรรมดาทั่วไปตนใดที่จะหลบเลี่ยงจากการไล่ล่าของมันได้
ชิงสุ่ยเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับสัตว์อสูรตัวนี้มาก่อน สัตว์อสูรที่มีชื่อเรียกว่าราชันย์ ราชา หรือจักรพรรติ มักจะมีความแข็งแกร่งมากกว่าสัตว์อสูรตัวอื่นๆอย่างไม่น่าเชื่อ
"ท่านผู้อาวุโสเรามีเวลานานเท่าไหร่" ชิงสุ่ยยังคิดถึงเรื่องระฆังสะท้านจิตในดินแดนห้วงมิติของเขา น่าเสียดายที่เวลานั้นสั้นเกินไป
"ข้าคิดว่าประมาณหนึ่งเดือน เพื่อนเก่าคนนี้ต้องการที่จะจับกุมตระกูลชางห่ายให้ได้ทั้งหมดและเจ้าก็ติดร่างแหด้วยเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เขา ข้าก็คงจะหลบหนีไปนานแล้ว" ชางห่ายตอบ
"ท่านอาวุโส ท่านต้องพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด มันอาจจะยังมีปาฏิหาริย์" ชิงสุ่ยพูดอย่างจริงจัง เขารู้ตั้งแต่ตอนที่ชางห่ายขอให้เขาดูแลลูกสาวให้ ชางห่ายมุ่งมั่นที่จะต่อสู้แม้ต้องแลกด้วยชีวิตเพื่อถ่วงเวลาให้มากขึ้นสำหรับการหลบหนีของครอบครัวของเขา
"ท่านพ่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะเรื่องของเยวี่ยเยวี่ยเมื่อก่อนหน้านี้หรือไม่?" ชางห่ายหมิงเยวี่ยนึกถึงเด็กหนุ่มจากตระกูลเฟิงและสองผู้อาวุโสที่ได้รับบาดเจ็บ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยก็จำได้เช่นกันเมื่อตอนที่ชิงสุ่ยได้ลูบคมเจ้าอ้วนจากนิกายกระบี่สวรรค์อมตะ เธอไม่รู้ว่าสิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกันหรือไม่ แต่เธอรู้สึกเศร้ามากและอยู่สภาพจิตใจค่อนข้างสับสน ความรู้สึกของการไร้ความสามารถค่อยๆบุกรุกเข้าไปในหัวใจของเธอ เธอไม่กล้าที่จะจินตนาการการถึงคืนวันที่เธอใช้ชีวิตโดยปราศจากพ่อ ซึ่งเขานั้นเป็นเสาหลักที่คอยค้ำจุนความรู้สึกของเธอ!
เธอจึงตระหนักว่าทำไมพ่อของเธอต้องการให้ชิงสุ่ยเพื่อดูแลเธอ ………..
"เด็กโง่ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเจ้า เมื่อ 30 ปีที่แล้วพ่อของเจ้าได้ทำให้ตาข้างหนึ่งของเพื่อนเก่าบอด เมื่อเราตัดสินใจแล้วว่าข้าหรือเขาต้องตาย พวกเราก็ไม่สามารถอยู่ร่วมใต้ฟ้าสวรรค์เดียวกันได้ อย่างไรก็ตามพื้นฐานการฝึกตนของพวกเรามีความคล้ายคลึงกัน แต่ข้าก็มีฝีมือมากขึ้นกว่าแต่ก่อน ใครจะคิดว่าคนตาบอดที่โง่เขลากล้าที่จะลองเหยียบย่ำโชคชะตา?" ชางห่ายหัวเราะ เขาพยายามที่จะทำให้บรรยากาศดีขึ้น
ชิงสุ่ยคาดการณ์ในใจของเขา เดิมทีเขาเดาว่าพื้นฐานการฝึกตนของชางห่ายน่าจะอยู่ที่จุดสูงสุดของระดับปราณเทวะกษัตริย์ อย่างไรก็ตามหลังจากได้ยินคำพูดของเขา ชิงสุ่ยอนุมานได้ว่าทั้งชางห่ายและเพื่อนเก่าที่ตาบอดจากนิกายเทพกระบี่น่าจะบรรลุถึงพลังปราณระดับต่อไปแล้ว ความรู้สึกของชิงสุ่ยเป็นสิ่งที่พิเศษมากและรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของพวกเขา ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจปล่อยมันออกมาก็ตาม
ถ้าเขาต้องการหลบหนีก็คงจะมีความหวังอยู่บ้าง สร้อยคอของชิงสุ่ยสามารถเพิ่มความเร็วให้กับวิหคเพลิงได้ ในขั้นต้นความเร็วของวิหคเพลิงจะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับราชันย์เวหาเหยี่ยวทมิฬ และไม่ต้องพูดถึงหลังจากที่มันได้กินผลเสริมความว่องไว ผลเสริมปราณ ต้นเสริมปราการ และยาฟื้นฟูขนาดเล็กสองเม็ด
ตอนแรกเขาคิดว่าการอยู่กับชางห่ายที่นี่จะทำให้เขาสามารถอาศัยอยู่ได้อย่างสงบสุขเป็นระยะเวลานาน ใครจะคิดว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้น ชิงสุ่ยไม่เคยคิดที่จะหันหลังกลับไปยังเมืองร้อยไมล์ เขาไม่ต้องการนำความยากลำบากกลับไปให้ตระกูลของเขา แม้ว่าก่อนหน้านี้ชางห่ายจะบอกเขาว่ามันไม่ได้เกิดจากการกระทำของเขา ชิงสุ่ยมีความรู้สึกเล็กน้อยว่ามีความเป็นไปได้สูงมากที่การกระทำของเขาก่อให้เกิดสิ่งนี้ทั้งหมด
การเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะของเขา สิ่งแรกที่เขาอยากทำคือการยกระดับพลังระฆังสะท้านจิตของเขาขึ้น หลังจากนั้นเขาก็จะใช้เคล็ดเสริมกายาบรรพกาลและเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับของเขา เขารู้ดีว่าการต่อสู้กับใครบางคนในระดับที่สูงกว่าแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะชนะได้โดยไม่ต้องมีเทคนิคซ่อนไว้ สายตาของเขาปรากฏประกายแวววาวเมื่อเขาคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง
เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี!
หลังจากที่เขามีช่างตีเหล็กแล้ว ชิงสุ่ยก็ตระหนักทันทีว่าเขาควรจะเริ่มหลอมอาวุธลับไว้บ้าง เขาตัดสินใจที่จะใช้เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี เพื่อสร้างชุดเข็มเยือกเย็น มันมีขนาดคล้ายกับเข็มทองคำที่เขาใช้งาน
แค่คิดมันก็ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขายังมีแม่พิมพ์ที่ใช้ในการหลอมเข็มทองก่อนหน้านี้ เขากลัวว่าเขาจะไม่ประสบความสำเร็จในการลองทำครั้งแรก จึงต้องซื้อพวกมันมามากขึ้น
ชิงสุ่ยกลั่นเศษเล็กเศษน้อยของมันโดยใช้เคล็ดเปลวเพลิงบรรพกาลหยิน-หยางของเขาและเทเศษของเหลวเหล็กกล้าเหมันต์ลงไปในแม่พิมพ์ ในขั้นตอนนี้ ชิงสุ่ยใช้ฝ่ามือศักดิ์สิทธิ์ของเขาควบคู่ไปกับลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลซึ่งทำให้มันชุ่มโชกไปด้วยแก่นแท้แห่งเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลที่ไหลเวียนอยู่ภายในเข็มของเขา หลังจากนั้นเขาได้ใช้เทคนิคพันค้อนกัมปนาท ชิงสุ่ยอยากจะเห็นว่าของชิ้นนี้จะมีคุณสมบัติมากขนาดไหน หากว่าโลหะที่ใช้เป็นของอื่นที่ไม่ใช่เหล็กกล้าเหมันต์ 1,000 ปี!
หลังจากเสร็จสิ้นการสร้างแล้ว มันเป็นเข็มยาว 9 นิ้ว ชิงสุ่ยวางมันไว้ในมือของเขา มันเป็นเรื่องยากอย่างเหลือเชื่อที่จะระบุตำแหน่งของมัน เพราะมันเรืองแสงจนเกือบจะโปร่งใสและไอเย็นที่ปล่อยออกมายังส่งผลให้คนที่อยู่ใกล้ๆเกิดอาการสั่นไหว
หลังจากนั้นเขาก็เริ่มพยายามยกระดับระฆังสะท้านจิต จากการทดลองของเขา ชิงสุ่ยรู้ว่าระฆังสะท้านจิตจะสามารถปรับแต่งได้ 10 ครั้งต่อวัน และทุกครั้งในระหว่างการปรับแต่งแสงสีม่วงจางๆจะเล็ดลอดออกมาจากมัน หลังจาก 10 ครั้ง แสงสีม่วงจะหายไปและนั่นเป็นวิธีการที่ชิงสุ่ยคิดออกมาพร้อมกับการคาดเดาของเขา เขารู้ว่าถ้าเขาต้องการที่จะยกระดับระฆังสะท้านจิต เขาต้องปรับแต่งมันอย่างไม่ลดละกับขีดจำกัดนั้นทุกๆโอกาสที่เขามีอยู่
หลังจากนั้นเขาก็ฝึกฝนด้วยอาวุธลับอันใหม่ของเขาในดินแดนห้วงมิติขณะที่เขากำลังประหลาดใจกับข้อจำกัดพลังของมัน เนื่องจากมันบางเกินไปจึงมีข้อจำกัดในด้านของพลังโจมตี ดังนั้นชิงสุ่ยจึงต้องมุ่งเป้าหมายไปที่หัวใจหรือดวงตาของศัตรูเท่านั้น เขาหมกมุ่นอยู่กับการฝึกซ้อม ไม่นานหลังจากนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาลืมที่จะทำสิ่งที่สำคัญมากไป
"อ๊ากกกก ข้าลืมมันไปได้อย่างไร?" ชิงสุ่ยรีบใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์ทันทีและศึกษาเข็มเยือกเย็น หลังจากอ่านข้อมูลเพิ่มเติมแล้วเขาก็ตะลึงและนิ่งเงียบไป
คุณสมบัติเพิ่มเติม : พิษเยือกแข็ง!
ชุ่ยสุ่ยส่ายหัวของเขาอยู่ครึ่งวันและยังงุนงงอยู่ว่าเขาสามารถประสบความสำเร็จได้อย่างไร แต่จากถ้อยคำเขาก็รู้ได้ว่าการโจมตีของอาวุธจะรวมเอาผลกระทบจากพิษของความหนาวเย็นเอาไว้ด้วย นั่นเป็นเพียงสิ่งที่เขาทราบ เขาไม่รู้ขอบเขตของมัน
เขาไม่เข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขารู้ดีว่านี่เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ยิ่งพิษมากขึ้นเท่าไรก็ยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ ถ้าเขาใช้เข็มเยือกเย็น นี่จะการลอบโจมตีที่อาจทำให้ฝ่ายตรงข้ามถึงตายได้
ช่วงเวลาที่เหลือชิงสุ่ยได้ลองใช้เทคนิคการต่อสู้แบบอื่นๆของเขา
เขายังคงติดอยู่ที่คลื่นสะท้านที่สามของฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้าน เป็นความจริงที่ว่าเทคนิคนี้มพลังล้นหลาม แต่เขาได้ฝึกฝนให้จนมาถึงขีดจำกัดแล้ว เขาไม่รู้ว่าเมื่อไรเขาจะมีช่วงเวลาแห่งความศักดิ์สิทธิ์เพื่อก้าวสู่ระดับต่อไป เทคนิคนี้เป็นเรื่องที่ยั่วยวนใจชิงสุ่ยอย่างมาก เขารู้ว่าถ้าเขาสามารถบรรลุไปถึงคลื่นสะท้านที่ห้าแล้วล่ะก็ แม้กระทั่งชางห่ายก็จะไม่กล้าที่จะทำอะไรเขา พลังอันล้นหลามช่างมีมากเกินไป
สำหรับความสำเร็จขั้นเริ่มต้นของรูปลักษณ์กระเรียนยังมีระยะทางพอสมควรก่อนที่เขาจะสามารถเข้าถึงขั้นสมบูรณ์ที่ยิ่งใหญ่ได้ โชคดีที่ชิงสุ่ยปรับตัวได้ดีขึ้นทุกวัน แม้ว่ามันจะชะลอลงบ้างก็ตาม นี้เป็นสิ่งที่ดีพอสำหรับเขาหลังจากเรื่องทุกอย่าง มันไม่สามารถบังคับเร่งรีบมากเกินไปได้ มันจะต้องค่อยๆประสบความสำเร็จไปทีละขั้นตอน!
เมฆพายุกำลังใกล้เข้ามา! ชิงสุ่ยรู้สึกว่าระดับความอันตรายนั้นไม่น้อยไปกว่าเรื่องที่เขาเคยพบเจอมา กงหยางเสวียนตงวนเวียนไปทั่วเมืองร้อยไมล์เพื่อต้องการจะทำลายล้างเขาและตระกูล ก่อนหน้านี้อาจารย์เทพธิดาและไป๋ลี่จิงเว่ยได้ช่วยเขาไว้ อย่างไรก็ตามใครจะเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขาในครั้งนี้?