เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 249 - ถึงจะเป็นช่างตีเหล็กน่าสมเพช แต่มันก็ดีกว่าเจ้าที่ยอมกอดแขนไอ้หมูอ้วนเพียงเพราะเงินของมัน
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 249 - ถึงจะเป็นช่างตีเหล็กน่าสมเพช แต่มันก็ดีกว่าเจ้าที่ยอมกอดแขนไอ้หมูอ้วนเพียงเพราะเงินของมัน
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 249 – ถึงจะเป็นช่างตีเหล็กน่าสมเพช แต่มันก็ดีกว่าเจ้าที่ยอมกอดแขนไอ้หมูอ้วนเพียงเพราะเงินของมัน
" 1 ล้านเหรียญทอง"
ชิงสุ่ยเงยหน้าขึ้นมองชายหนุ่มวัยกลางคนรูปร่างอ้วน มือของเขากำลังโอบกอดหญิงสาวที่มีเสน่ห์ เมื่อจ้องมองดูเจ้าอ้วนคนนี้ที่เต็มไปด้วยความหยิ่งยโส ชิงสุ่ยยิ่งรู้สึกเกลียดไม่น่าจะหยิ่งยโสนั้นอย่างมาก
"จะ จะ เจ้า เจ้าขายนรกอะไรว่ะเนี้ย? ทำไมมันถึงแพงได้ขนาดนี้?"ใบหน้าชายอ้วนวัยกลางคนแปรเปลี่ยนไปความอับอายทันที หลังจากที่เขาพยายามขอให้ชิงสุ่ยเปิดเผยราคา แต่เขาไม่เคยคาดคิดเลยว่าชิงสุ่ยจะบอกตัวเลขที่ดูไร้สาระขนาดนี้ออกไป มันทำให้เขารู้สึกว่าชิงสุ่ยกำลังเล่นตลกกับเขาหรือเปล่า
"แน่นอน ข้าเคยบอกแล้วว่าถ้าไม่ขายสิ่งนี้เพื่อแลกกับเงิน แต่เหตุใดเจ้าถึงพยายามบังคับข้าให้ต้องตั้งราคาพวกมัน? อีกอย่างข้าก็ไม่ได้บังคับให้เช่าซื้อมันสักหน่อย"ชิงสุ่ยหัวเราะในการกระทำของเขา
"เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใคร? เจ้ามันก็แค่ช่างตีเหล็กน่าสมเพช"หญิงสาวเจ้าเสน่ห์ที่อยู่ข้างๆชายอ้วนกล่าวด้วยความรังเกียจ
" ถึงเขาจะเป็นช่างตีเหล็กน่าสมเพช แต่มันก็ดีกว่าเจ้าที่ยอมกอดแขนไอ้หมูอ้วนเพียงเพราะเงินของมัน"เสียงที่แสนงดงามและไพเราะดังขึ้น
เมื่อชิงสุ่ยกวาดสายตาไปมอง เขาก็พบกับห่าวหยุนลิ่วลี่และชางห่ายหมิงเยวี่ยกำลังเดินเข้ามาภายในร้าน ประโยคที่กล่าวมานั้นถูกกล่าวโดยห่าวหยุนลิ่วลี่ สายตาของเธอนั้นเต็มไปด้วยความน่ารังเกียจก่อนที่เธอจะหันไปมองชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยถูจมูกของเขาขณะที่มองไปยังหญิงสาวโฉมงามทั้งสอง ความรู้สึกของการถูกเหยียดหยามว่าเป็นช่างตีเหล็กน่าสมเพชกลางที่สาธารณะโดยหญิงงามที่ไร้ยางอายมันทำให้เขาถึงกับพูดไม่ออก
ในตอนแรก หญิงสาวเจ้าเสน่ห์ที่ยืนอยู่ข้างๆชายอ้วนต้องการที่จะโต้ตอบคำพูดของห่าวหยุนลิ่วลี่เพื่อโต้แย้งสิ่งที่กล่าวหาเธอ แต่หลังจากที่สายตาของเธอมองเห็นหญิงสาวที่มีความงามดุจนางอัปสร เธอทำได้เพียงยืนอึ้งตะลึง เธอรู้ดีว่าหญิงสาวทั้งสองคนนี้เป็นคนที่เธอไม่อาจโต้แย้งได้
ฝูงชนที่อยู่ภายในร้านต่างตกตะลึงในความงดงามของหญิงสาวทั้งสอง แม้ว่าคำพูดของเธอจะหย่ากันและสร้างความไม่พอใจ แต่เมื่อเทียบกับเสียงที่น่ารักและใบหน้าที่งดงามอันไร้ขีดจำกัดของเธอ ทุกคนจึงพยักหน้าเห็นด้วยอย่างไม่ได้นัดหมายกัน
ต่อให้หญิงสาวโฉมงามทั้งสองกระทำผิด แม้แต่พระเจ้าเองยังยอมยกโทษให้กับพวกเธอ นับประสาอะไรกับคนกลุ่มนี้ คำพูดของเธอนั้นสะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่ผู้คนมากมายคิดอยู่ภายในใจ เพียงแต่พวกเขาไม่อาจกล่าวมันออกมาได้
"กลับบ้านกันเถอะ เหตุใดเจ้าจึงต้องมายืนอยู่ที่แห่งนี้และต้องมาดูความทุกข์ทรมานของผู้อื่น?"ชางห่ายหมิงเยวี่ยยิ้ม สีหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกอ่อนโยนที่มีผลต่อผู้ที่กำลังจ้องมอง
ชิงสุ่ยขยับเล็กน้อย คำพูดของห่าวหยุนลิ่วลี่และชางห่ายหมิงเยวี่ยทำให้ชิงสุ่ยร้อนรน
สายตาของชุมชนในตอนนี้เต็มไปด้วยความอิจฉาริษยา บรรยากาศภายในห้องถูกเติมเต็มไปด้วยความหึงหวง
"ท่านช่างตีเหล็กช่างเป็นคนที่โชคดีจริงๆ ในเมื่อท่านมีโฉมงามทั้งสองเป็นภรรยา ท่านก็ควรเอาใจใส่พวกนางก่อนที่จะปล่อยให้ผู้ตั้งอยู่ตามลำพัง ขณะที่ท่านออกมาอย่างร้านช่างตีเหล็กแห่งนี้"
"นักปราชญ์ที่แท้จริง มักไม่แสดงไพ่ทุกใบในมือ ปราชญ์เดินผ่านทุ่งดอกไม้ เขาคงไม่ยอมที่จะให้กลีบดอกไม้เปรอะเปรื้อนโคลน"
……………………………
หลังจากที่ได้ยินคำสนทนาของฝูงชน ห่าวหยุนลิ่วลี่และชางห่ายหมิงเยวี่ยถึงกับหน้าแดง โดยเฉพาะอย่างยิ่งชางห่ายหมิงเยวี่ยที่กำลังมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความโกรธ เธอรู้ดีว่าทุกครั้งที่ต้องโต้เถียงกับชิงสุ่ยเธอมักจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบเสมอ
ถ้าไม่ใช่เพราะคำเรียกร้องของห่าวหยุนลิ่วลี่เธอก็คงไม่ออกมาในวันนี้ ที่เธอตัดสินใจออกมา การที่เธอได้เห็นชิงสุ่ยอยู่ร่วมกับหญิงคนอื่นในวันนั้น มันก็แย่มากพอแล้ว
แต่ในขณะที่พวกเธอเดินเข้ามา พวกเธอก็เห็นหญิงสาวคนหนึ่งกำลังด่าทอชิงสุ่ยก็เป็นช่างตีเหล็กที่ไม่ดี เธอจึงเริ่มรู้สึกบางสิ่งบางอย่างในจิตใจ เธอรู้ว่าชิงสุ่ยนั้นไม่ใช่คนที่จะหาประโยชน์จากเขาได้ง่าย แต่เธอเองก็รู้สึกเจ็บปวดเมื่อเห็นคนกำลังดูถูกเขาอยู่
"ทุกคนออกไปเดี๋ยวนี้ ร้านปิดแล้ว"ชิงสุ่ยยิ้มอย่างข่มขืนขณะมองดูลูกค้าที่เหลืออยู่
ลูกค้าแต่ละคนหันมามองพร้อมทั้งยิ้มและจากไป
"ชิงสุ่ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เมื่อข้าเห็นเจ้าเป็นเช่นนี้ ถ้ารู้สึกเจ็บปวดใจมาก ถ้าหากเป็นข้าพวกเขาคงลงไปนอนอยู่บนพื้นไปนานแล้ว"ห่าวหยุนลิ่วลี่เดินไปข้างๆชิงสุ่ยพร้อมทั้งกล่าวเบาๆ
"พ่อแม่ของข้าอยากให้เจ้าไปทานอาหารเย็นที่บ้าน"ชางห่ายหมิงเยวี่ยกล่าวเสริม
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างข่มขืนในขณะที่เขาเดินตรงไปที่ชั้นวาง "มาลองดูนี่ก่อนสิ พวกเจ้าจะต้องประหลาดใจที่มันจะทำให้พวกเจ้าเคลื่อนไหวได้อย่างว่องไวยิ่งขึ้น"
หญิงสาวทั้งสองคน "…………."
"รองเท้าคู่นี้งดงามเหลือเกิน ข้าชอบมันมาก"ห่าวหยุนลิ่วลี่กล่าวพร้อมทั้งยอมรับมัน
ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ยอมรับมันมา เธอยังคงจ้องมองชิงสุ่ยด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม
"รองเท้าทั้งสองคู่นี้ถูกสร้างมาเพื่อเจ้าทั้งสองคน แม้ว่าจะเป็นของชั่วคราว แต่มันก็เป็นของที่มีคุณภาพ และผลรับของมันก็ค่อนข้างดี พวกเจ้าลองดูก่อนเถิดแล้วพวกเจ้าจะรู้เอง"ชิงสุ่ยกล่าว
"ข้าจะสวมใส่มันตอนนี้เลย"ห่าวหยุนลิ่วลี่อุทานด้วยความตื่นเต้น
ชิงสุ่ยหันมาจ้องมองชางห่ายหมิงเยวี่ย สายตาของเธอนั้นยังคงแข็งกร้าว
"อย่าได้กังวลไปเลย ข้าเพียงต้องการมอบมันเป็นของขวัญแก่พวกเจ้าทั้งสอง ข้ามิได้คาดหวังสิ่งตอบแทนใดๆทั้งสิ้น"ชิงสุ่ยถูจมูกของเขาและหัวเราะอย่างเฉื่อยชา มันคงไม่ดีนะถ้าหากหญิงสาวคนหนึ่งจะปฏิเสธสิ่งของบางสิ่งบางอย่างที่ผู้ชายคนนึงพยายามอย่างหนักเพื่อมอบมันเป็นของขวัญจากเธอ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยจึงยอมยื่นมือออกไปรับรองเท้าจากชิงสุ่ย เธอไม่อาจปิดบังความรู้สึกที่แสนอบอุ่นจากหัวใจของเธอเองได้ เมื่อคิดถึงข้อเท็จจริงที่ว่ารองเท้าคู่นี้ถูกสร้างขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อมอบให้กับเธอ
"โอ้ มันช่วยเพิ่มความเร็วให้กับจริงหรือเนี้ย?"ห่าวหยุนลิ่วลี่ร้องตะโกนด้วยความประหลาดใจ ชิงสุ่ยหันหน้าไปทางลิ่วลี่พร้อมกับพยักหน้า เมื่อเห็นเรียวขาของเธอที่กำลังใส่รองเท้าคู่นั้นอยู่ มันช่างเป็นสิ่งของที่คู่ควรกับหญิงสาวอย่างแท้จริง
"ข้าคิดว่ามันน่าจะเพิ่มความเร็วให้กับข้าได้ประมาณ 10% ไม่น่าเชื่อ เจ้าสร้างสิ่งนี้ได้อย่างไรกันชิงสุ่ย?"ห่าวหยุนลิ่วลี่ เริ่มลองเคลื่อนไหวไปตามท่าทางของการฝึกกระบี่
"พี่สาวหมิงเยวี่ย ดูนี้สิข้าสามารถทำมันได้แล้ว"
กระบี่ที่ห่าวหยุนลิ่วลี่ใช้อยู่ในตอนนี้ ก็เป็นกระบี่เล่มแรกที่ชิงสุ่ยหลอมขึ้นมา ร่างกายที่สง่างามกำลังเคลื่อนไหวดุจปุ้ยเมฆ กระบี่ของเธอกำลังฟาดฟันราวกับมังกรที่กำลังทะเย้อทะยานขึ้นสู่ท้องนภา การเคลื่อนไหวดุจพญาอสรพิษที่กำลังเคลื่อนไหวไปตามพื้นหญ้า ทุกท่วงท่าการเคลื่อนไหวเต็มไปด้วยความแข็งแกร่งและอ่อนโยน!!!
ชิงสุ่ยจ้องมองชางห่ายหมิงเยวี่ยที่กำลังมองดูห่าวหยุนลิ่วลี่ด้วยสายตาที่จริงจัง หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่หนึ่ง เธอก็หันมามองรองเท้าที่แสนปราณีตในมือของเธอ
อีกไม่กี่อึดใจ ห่าวหยุนลิ่วลี่ที่กำลังร่ายรำกระบี่ก็หยุดลงพร้อมกับเหงื่อที่เต็มใบหน้า หลังจากที่เธอสบตากับชิงสุ่ย เธอก็ไม่รู้ว่าเธอควรจะตื่นเต้นหรือเขินอายมากกว่า
"ในอนาคตข้าจะจัดเตรียมสิ่งที่ดีกว่านี้ให้กับแม่นางทั้งสอง"ชิงสุ่ยกล่าวออกมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ขณะที่เขาเดินตรงไปที่ทางออก
"ดูเหมือนเจ้าคงจะต้องพบเจอกับคนที่มีลักษณะเหมือนคนในวันนี้ในทุกๆวันสินะ"ชางห่ายหมิงเยวี่ยไม่ใช่คนที่พูดมากนัก ดูเหมือนว่านี่คือประโยคที่สาม หลังจากที่เธอก้าวเข้ามาภายในร้านแห่งนี้
"แน่นอน เจ้าก็น่าจะรู้นะว่าข้าไม่ใช่คนที่ผู้อื่นจะมาใช้ประโยชน์ได้ง่ายๆ แต่ข้าก็ขอขอบคุณที่เจ้าแสดงความเป็นห่วงเป็นใยข้า" ชิงสุ่ยหัวเราะ
ชางห่ายหมิงเยวี่ยมองดูชิงสุ่ยที่กำลังหัวเราะโดยไม่พูดจาใดๆออกมา มันเป็นเสียงหัวเราะที่ค่อนข้างอึดอัดใจ ไปจากสายตาของชางห่ายหมิงเยวี่ย ชิงสุ่ยก็รู้สึกตัวได้ทันทีว่าสายตานี้เป็นสายตาที่เปลี่ยนไป
เขาอยากจะย้อนเวลากลับไปเมื่อวันวาน ตอนที่เขายังคงสามารถกลั่นแกล้งเธอได้ ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้สึกได้ถึงระยะห่างที่มากขึ้นระหว่างเธอกับเขา แต่เขาคงไม่อาจย้อนอดีตกลับไปเมื่อวันวานได้อีกแล้ว
…………….…………….…………….…………….…………….
ร้านช่างตีเหล็กอยู่ห่างจากคฤหาสน์ชางห่ายเพียงแค่ครึ่งถนน ห่าวหยุนลิ่วลี่เดินนำหน้า โดยในบางครั้งเธอก็วิ่งสลับกับเดิน เพื่อทดสอบผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นจากรองเท้าคู่ใหม่
คู่สามีภรรยาชางห่ายมีความสุขอย่างยิ่งเมื่อได้เห็นหน้าชิงสุ่ย อย่างไรก็ตาม พวกเขาก็สังเกตเห็นความเย็นชาที่แพร่ออกมาจากตัวลูกสาวของพวกเขาที่มีต่อชิงสุ่ย ซึ่งมันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่อาจทำอะไรได้เลย
"ชิงสุ่ยเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เหตุใดเจ้าถึงไม่แวะเวียนมาเยี่ยมเยียนพวกเราบ้างเลย?"ภรรยาของชางห่ายค่อยๆเอ้ยปากถาม
ชิงสุ่ยทำได้เพียงแค่ลูบศีรษะและหัวเราะ การค้าหมอกเขานั้นทำให้ชางห่ายหมิงเยวี่ยถึงกับหันมามอง เด็กหนุ่มคนนี้มักจะแสดงท่าทางที่บ่งบอกว่าเป็นคนซื่อตรงต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ
อาหารอร่อยๆมากมายถูกจัดเตรียมโดยภรรยาของชางห่าย ซึ่งชางห่ายผู้เป็นสามีก็ได้นำสุราวิศิษฎ์พิสุทธิที่ชิงสุ่ยได้มอบให้กับเขาก่อนจากไปออกมา และได้เริ่มดื่มด่ำรสชาติของมันจนเริ่มมึนเมา ใบหน้าของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง พร้อมทั้งคุยกับชิงสุ่ยในเรื่องต่างๆนานาทั้งเรื่องที่เขาได้เดินทางมากมาย และเรื่องที่เขาสนใจ
หลังจากวันนั้นบรรยากาศก็เริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างกะทันหันเมื่อชางห่ายผู้เป็นสามีถอนหายใจ
"ชิงสุ่ย แท้จริงแล้วข้ายังมีเรื่องที่ข้าต้องการจะทำ แต่มันอาจทำให้เจ้าลำบากใจ"ชางห่ายเกล้าด้วยน้ำเสียงที่เคร่งครึม
"ท่านอาวุโส โปรดกล่าวมาเถิด ถ้าหากข้าสามารถทำได้ ข้าก็ยินดีที่จะทำ"ชิงสุ่ยกล่าวตอบอย่างจริงจัง
แม้แต่ชางห่ายหมิงเยวี่ยเองก็ตั้งใจฟังอย่างจริงจังเพราะเธอรู้ว่าการที่พ่อของเธอจะขอใครช่วยสักคนมันเป็นเรื่องที่ยากมาก
"เออ…… ข้าจะบอกว่า ถ้าหากวันใดที่ข้าไม่แข็งแกร่งพอที่จะปกป้องตระกูลชางห่ายของข้า ข้าหวังว่าเจ้าจะยอมปกป้องเยวี่ยเยวี่ยแทนข้า" ชางห่ายถอนหายใจ ความเศร้าโศกในตอนนี้เอ่อล้นจนสามารถมองเห็นได้ผ่านสายตา