เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - AST บทที่ 229 – การฝึกฝนอย่างลึกซึ้งของชิงสุ่ย
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- AST บทที่ 229 – การฝึกฝนอย่างลึกซึ้งของชิงสุ่ย
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 229 – การฝึกฝนอย่างลึกซึ้งของชิงสุ่ย
ทำไมเขาถึงไม่ใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์เพื่อดูมันตั้งแต่แรก…?
"ดูเหมือนว่าข้าจะต้องใช้เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์บ่อยๆบ้างแล้วในตอนนี้!"
ไม่เพียงแต่เคล็ดวิชาเบิกเนตรสวรรค์เท่านั้นที่สามารถมองเห็นรายละเอียดภายในของร่างกายของผู้อื่นได้ เนื่องจากชิงสุ่ยได้ค้นพบความมหัศจรรย์ของจิตรกรรมราชวังใบไม้ผลิและจิตแก่นแท้เหล็กกล้า มันคงจะเป็นเรื่องโกหกที่จะบอกว่าเขาไม่ได้ตื่นเต้น เขามีจิตแก่นแท้เหล็กกล้าที่มีระดับมากกว่าของชายวัยกลางคน เมื่อคิดถึงเรื่องนี้มันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น
ความคิดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้บอกกับห่าวหยุนลิ่วลี่เกี่ยวกับความสุขในวันนี้ มันไม่ใช่ความสุขสำหรับเขาตอนนี้ ชิงสุ่ยมองไปที่จิตแก่นแท้เหล็กกล้าในมือของเขาและหัวเราะกับตัวเอง
ความสุขถูกสร้างขึ้นจากความสามารถของคนๆหนึ่งหรือมากกว่านั้นเล็กน้อยและเขาจะมีความสุขมากหากได้รับหรือตระหนักถึงอะไรบางอย่าง มีความคาดหวังสูงเกินไปอาจส่งผลให้เกิดความรู้สึกผิดหวัง แต่ความตระหนักในความคาดหวังดังกล่าวน่าจะเป็นเรื่องของความประหลาดใจมากกว่า
การใช้เคล็ดเปลวเพลิงบรรพกาลหยิน-หยางเพื่อปรับแต่งจิตแก่นแท้เหล็กกล้าทำให้เผยให้เห็นผิวสีเงินของมัน ชิงสุ่ยจ้องไปที่จิตแก่นแท้เหล็กกล้าสองอันที่อยู่ในระดับ 30 และหนึ่งอันที่อยู่ในระดับ 50
ชิงสุ่ยรู้สึกถึงคุณภาพของพวกมันและเขาก็พบว่าองค์ประกอบของจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 30 เป็น 3 เท่าของระดับ 10 และระดับ 50 เป็น 5 เท่าของระดับ 10
ชิงสุ่ยทำการหลอมและหลอมอีกครั้ง เขารู้ว่าจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 30 อาจคล้ายกับการหลอมอัญมณี จิตแก่นแท้เหล็กกล้าสองอันระดับ 10 อาจจะถูกหลอมเป็นจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 20 ในขณะที่ความล้มเหลวจะทำให้สูญเสียจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 ทั้งสองอัน
จิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 20 สองอัน สามารถหลอมเป็นจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 30 เขาคาดการณ์ว่าจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 30 น่าจะเป็นการหลอมจากจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 จำนวนสี่อัน
จิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 50 น่าจะเป็นจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 จำนวนสิบหกอัน ซึ่งยังไม่นับอันที่ล้มเหลวและเสียหาย ชิงสุ่ยตกตะลึงเล็กน้อยที่ตอนนี้เขาถือจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 50 อยู่ในมือ
"ใครจะรู้ได้ว่าหินระดับใด ที่ชายคนนั้นซื้อไป!" ชิงสุ่ยนึกถึงการแสดงออกของชายคนนั้นเมื่อวานนี้ ถึงแม้จะเป็นจิตแก่นแท้เหล็กกล้าระดับ 10 แต่มันก็ยังมีค่ามาก
ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะถามหาแหล่งที่มาของจิตแก่นแท้ในครั้งต่อไปที่เขาพบกับชายชราและเขาก็มั่นใจว่าชายวัยกลางคนเองก็จะถามเช่นกัน ดังนั้นเขาจึงให้ชายชรารีบจากไปก่อนที่จะเกิดอะไรขึ้นกับเขา
เคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้านของชิงสุ่ยก็ยังคงหยุดนิ่งอยู่ที่สะท้านที่สาม แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีความชำนาญมากขึ้นในการใช้มัน ส่วนเคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์พันสะท้านมีความซับซ้อนมากเกินไปและชิงสุ่ยสามารถเข้าใจมันได้บางส่วนเท่านั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชิงสุ่ยเข้าใจถึงการเคลื่อนไหวของสะท้านที่สาม
เขาชอบความสามารถของเคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้าน แต่จากประสบการณ์ของเขา ชิงสุ่ยรู้ว่ามันไม่ได้ใช้งานได้ง่ายๆ
อย่างน้อยเขาก็จะไม่ใช้มันต่อหน้าฝูงชนเมื่อมันยังใช้งานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เขานำกระบี่ดารายุพฆาตออกมาและฝึกซ้อมทุกวันเพื่อช่วยให้ชิงสุ่ยบรรลุขั้นสูงสุดของดินแดนกระบี่แห่งสัจธรรม แม้แต่ขั้นดินแดนไร้ขอบเขต ในตอนนี้ตัวเขาเองก็ยังไม่อาจก้าวถึงมันเลย
เคล็ดกระบี่พื้นฐาน เป็นเคล็ดวิชากระบี่เดียวที่ชิงสุ่ยรู้จัก เขารู้สึกได้ว่าเคล็ดกระบี่ไทเก๊กที่กวัดแกว่งนั้นจะปลดปล่อยพลังได้ 70 ส่วน ซึ่งจากความรู้ของเขา เขารู้ดีว่าหากผนวกมันเข้ากับกระบี่ี่ชั้นยอดมันจะต้องแสดงอิทธิฤทธิ์ขั้นสูงสุดออกมาได้
การแทงและทะลวงของกระบี่ ไม่มีใครรู้ว่าเขาฝึกซ้อมมันไปกี่ครั้ง มันเงียบและความเร็วของมันก็เป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าปกติ ด้วยความเรียบง่ายของท่วงท่า ชิงสุ่ยปลอดโปร่งมากที่สุดเมื่อเขาได้ฝึกท่วงท่านี้และเขาฝึกฝนมาเป็นเวลานาน
หลังจากฝึกฝนนับครั้งไม่ถ้วน!
ชิงสุ่ยทะลวงอีกครั้งและไม่มีเสียงของอากาศที่ถูกแทงออกไป มันเหมือนกับปลาว่ายน้ำอย่างรวดเร็วโดยไม่เกิดการกระทบกระเทือนใดๆบริเวณพื้นผิวที่เงียบสงบของน้ำ ราวกับไม่มีพลังงานใดถูกปล่อยออกมา
มันดูเหมือนจะไม่มีพลังโจมตีจากกระบี่ แต่ชิงสุ่ยรู้ได้ในทันทีที่ได้สัมผัสกับเป้าหมาย การปะทุของแรงโจมตีจะกระหน่ำเข้าใส่ในทันที
ดินแดนผสานลักษณ์! ทั้งหมดนี้ อาจถูกครอบคลุมโดยดินแดนผสานลักษณ์ เฉกเช่นเดียวกับรูปแบบดินแดนไร้ขอบเขตที่อยู่เหนือดินแดนแห่งสัจธรรม!
ดินแดนไร้ขอบเขต!
ชิงสุ่ยมีข้อสงสัยเล็กน้อยเกี่ยวกับกระบี่ในมือของเขา ดินแดนกระบี่แห่งสัจธรรมของเขาไม่ได้รับการยกระดับขึ้น แต่มันก็หยุดนิ่งอยู่ที่ขั้นสูงสุดของดินแดนแห่งสัจธรรม มันไม่สามารถทะลวงขึ้นไปมากกว่านั้น นอกจากนี้เรื่องของดินแดนนั้นมักจะเต็มไปด้วยปัญหา ซึ่งแน่นอนว่านอกเหนือจากความเข้าใจแล้ว เรื่องของโชคนั้นก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น
ชิงสุ่ยไม่แน่ใจ เขารู้สึกวูบวาบในขณะฝึกซ้อม ความรู้สึกนั้นดูเหมือนจะเป็นมาเวลานานแล้ว เขาสับสนว่าเขาเข้าไปสู่ดินแดนไร้ขอบเขตหรือไม่
ดินแดนแห่งสัจธรรมเป็นที่ที่เราสามารถมองเห็นสิ่งที่อยู่ภายในของบางสิ่งบางอย่าง ซึ่งสิ่งที่สามารถมองเห็นได้จะต้องอยู่ในกฎและเงื่อนไข
ดินแดนไร้ขอบเขตเมื่อเทียบกับดินแดนแห่งสัจธรรม มันเปรียบดั่งระดับขั้นที่เหนือกว่า เหมือนปลาที่ไม่รู้สึกตัวเองในน้ำและปรับตัวให้เข้ากับสภาพอากาศที่ไม่สมบูรณ์
ดินแดนไร้ขอบเขตจะช่วยให้สามารถใช้พลังปราณได้อย่างไม่สิ้นเปลือง สำหรับคนทั่วไปหรือจอมยุทธ ตราบใดที่พวกเขาไม่อาจบรรลุในระดับดินแดนไร้ขอบเขต พลังปราณของพวกเขาจะเกิดการรั่วไหลคืนสู่ธรรมชาติ ผ่านอากาศ ดังนั้นดินแดนไร้ขอบเขตจึงสามารถกักเก็บพลังปราณเพื่อนำมาให้ในยามขับขันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จอมยุทธที่บรรลุขั้นดินแดนไร้ขอบเขต จะยังคงเหมือนมนุษย์ทั่วไป เพียงแต่การปลดปล่อยพลังปราณนั้นทำได้โดยง่าย และในยามต่อสู้ พวกเขาสามารถฟื้นพลังปราณและรวบรวมมันเพื่อมุ่งเป้าไปสู่ศัตรูได้อย่างง่ายดาย
แน่นอนว่าหากความสามารถของทั้งสองฝ่ายมีความคล้ายคลึงกันหรือจอมยุทธอีกฝ่ายเข้มแข็งกว่าก็จะสามารถตรวจจับความสามารถของผู้อ่อนแอกว่าได้ ดังนั้นคนผู้หนึ่งจะรู้ว่าอีกคนหนึ่งแข็งแกร่งหรืออ่อนแอกว่าตนได้ด้วยการตรวจจับพลังลมปราณ
ชิงสุ่ยสามารถรวบรวมพลังลมปราณได้อย่างสมบูรณ์แบบ นี่คือเหตุผลที่ชางห่ายหมิงเยวี่ยและคู่ผัวเมียชางห่ายรู้สึกตกใจเมื่อเห็นเขา โดยเฉพาะชางห่ายที่มีพลังในระดับปราณเทวะกษัตริย์ เขาประหลาดใจอย่างไม่อาจคาดเดาได้ว่าชิงสุ่ยสามารถบรรจุพลังในระดับขอบเขตเดียวกันกับเขา
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่สามารถเข้าถึงดินแดนไร้ขอบเขตได้ ความยากลำบากของเคล็ดกระบี่นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายกว่าเคล็ดพลัง นอกจากนี้ในโลก 9 มหาทวีปเคล็ดวิชาที่เสริมพลังจะนิยมมากกว่า เพราะมันไร้ประโยชน์ที่จะฝึกทักษะโดยปราศจากการฝึกความแข็งแกร่ง ความแข็งแกร่งจึงเป็นที่ต้องการแน่นอน
ดินแดนไร้ขอบเขตไม่เพียงแต่จะช่วยให้รวบรวมพลังลมปราณได้เท่านั้น แต่มันยังช่วยในการจัดการกับแรงโจมตี เช่นเดียวกับการเคลื่อนไหวกระบี่ของชิงสุ่ย มันก็สงบและธรรมชาติ ไม่ได้พลังลมปราณรั่วไหลออกมา เพราะพลังลมปราณนั้นอยู่ในกระบี่โดยไม่มีการรั่วไหลออกมา เมื่อใช้พลังลมปราณอย่าวเต็มกำลังอำนาจการทำลายล้างอาจจะเพิ่มขึ้น 80% หรือ 50% แต่ผู้ที่บรรลุดินแดนไร้ขอบเขตจะสามารถเสริมพลังได้ถึง 100% และอาจจะเพิ่มขึ้นเล็กน้อยหากพลังลมปราณนั้นเต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
นี่คือข้อได้เปรียบของดินแดนไร้ขอบเขต มันไม่เพียงแต่จะปกปิดพลังของพวกเขา มันไม่ได้มีความแตกต่างและไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรภายนอกเป็นพิเศษ หากมีความเชื่อมั่นมากขึ้นในเคล็ดวิชากระบี่ มันก็จะสามารถควบคุมการใช้งานได้อย่างน่าพึงพอใจ
ชิงสุ่ยยังคงไม่เชื่อว่าเขาได้เข้าสู่ดินแดนไร้ขอบเขต ไม่มีความแตกต่างและการเปลี่ยนแปลงเป็นพิเศษ เขามีความมั่นใจมากขึ้นในการใช้เคล็ดกระบี่และความสามารถในการควบคุมก็เป็นสิ่งที่น่าพึงพอใจ
ถึงแม้จะเป็นแค่การแทงเขาก็สามารถใช้เคล็ดวิชาอื่นๆได้สำเร็จด้วยความพยายามเพียงน้อยนิด ดินแดนไร้ขอบเขตที่มองไม่เห็นจะช่วยให้เขาสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็วและบรรลุระดับอื่นๆภายในระยะเวลาสั้นๆ
ชิงสุ่ยยังคงฝึกฝนการแทงอย่างอดทนและฝึกฝนเคล็ดวิชาดังกล่าวในดินแดนหยกยุพราชอมตะเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับดินแดนไร้ขอบเขต
หลังจากนั้นเขาก็บรรลุได้สำเร็จ ในเวลาประมาณ 10 วัน นอกเหนือจากการกินและพักผ่อน ชิงสุ่ยใช้เวลาไปกับการแทงตลอดเวลาและรู้สึกพอใจกับผลงานใน 10 วัน
การแทงด้วยกระบี่เป็นสิ่งที่เรียบง่ายภายใต้จังหวะอันสงบและความสง่างามที่เรียบง่าย ชิงสุ่ยรู้ว่าการบรรลุเป้าหมายของเขาเกี่ยวกับดินแดนไร้ขอบเขตเชื่อมโยงกับฉากกั้นห้องอันงดงามและน่าอัศจรรย์ การรับรู้ถึงท่วงทำนองอันสง่างามและความเข้าใจมีผลต่อการพัฒนามาก
ดูเหมือนเวลาจะล่วงเลยมานาน ดังนั้นชิงสุ่ยจึงอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนออกมาจากดินแดนหยกยุพราชอมตะเขามองไปที่จิตแก่นแท้เหล็กกล้าจำนวน 10 อัน หากจะออกเดินทางเขาวางแผนที่จะรอจนกว่าเขาจะสามารถหลอมพวกมันได้และค่อยนำไปใช้ทำอย่างอื่น
มันเป็นคืนที่ไม่มีวันหลับฝัน ชิงสุ่ยขยายเวลาการฝึกของเขาในดินแดนหยกยุพราชอมตะจนกระทั่งเขาหมดแรงก่อนออกไป ดังนั้นเขาจึงนอนหลับทันทีหลังจากที่ก้าวออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะ
เขารู้สึกสดชื่นในตอนเช้าและชอบอากาศข้างนอกดินแดน เนื่องจากดินแดนหยกยุพราชอมตะมีความรู้สึกเหมือนอยู่ในป่าลึกอันเก่าแก่ที่ถูกตัดขาดจากส่วนที่เหลือของโลก
ชิงสุ่ยยังคงมีนิสัยในการฝึกไทเก๊กทุกเช้าและฝึกฝนตามที่เขาพอใจ ชิงสุ่ยไม่ได้สัมผัสกับประสบการณ์ที่เลวร้ายมานาน แต่เขาก็ยังฝึกฝนอย่างสม่ำเสมอ เขาฝึกซ้อมการเคลื่อนไหวเหมือนคนธรรมดาโดยไม่ได้ใช้พลังใดๆ แม้ลมปราณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาลที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติก็ถูกปกปิดเอาไว้
เขาค่อยๆฝึกซ้อมไทเก็กอย่างช้าๆ ชิงสุ่ยดูเหมือนจะพอใจในขณะที่สามารถเข้าถึงดินแดนไร้ขอบเขต จิตใจของเขาอยู่ในสภาวะที่สงบและพึงพอใจ
ชิงสุ่ยได้ฝึกไทเก๊กนับครั้งไม่ถ้วน แต่นี่เป็นเพียงแค่ส่วนเดียว!
ชิงสุ่ยตกตะลึง เขาไม่ได้ใช้ลมปาณจากเคล็ดเสริมกายาบรรพกาล และแม้แต่พละกำลังที่เขาใช้ฝึกก็เหมือนกับของคนทั่วไป
ในขณะนั้นคู่ผัวเมียชางห่ายที่อยู่ห่างออกไปต่างก็ตกใจ พวกเขาเคยเห็นชิงสุ่ยฝึกซ้อมจากทางหน้าต่างทุกเช้า
แต่วันนี้เมื่อชิงสุ่ยปรากฏตัวในวันนี้ สายตาของชางห่ายก็เดินเข้าไปในช่องของการรั่วไหลของพลังลมปราณอัรเล็กน้อยที่เขารู้สึก ถ้าเขาไม่รู้ว่าชิงสุ่ยมีระดับพลังอยู่ในขั้นเกือบจะสูงสุดของเทวะเซียนเทียน เขาก็คงจะคิดว่ามันเป็นความผิดพลาดมาจากกากฝึกซ้อม
"รู่ตง มันเป็นความจริงหรือแค่ความสับสน เขาได้บรรลุถึงดินแดนไร้ขอบเขต" ชางห่ายกล่าวด้วยความรู้สึกที่ไม่ชัดเจน
"ใช่ ข้ากลัวว่ามันยากที่จะบอกว่าใครจะเป็นผู้ชนะ หากข้าจะต้องต่อสู้กับเขา" เธอยิ้มอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากสีแดงของเธอช่างมีเสน่ห์และน่าสนใจ บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยความงดงามของเธอ ทำให้ชางห่ายเกิดความงึนงงเพิ่มขึ้น
เมื่อมองไปที่ชางห่าย เธอก็ค่อยๆจับมือของชางห่ายเอาไว้ ความสัมพันธ์อันยาวนานนับปีของคู่ผัวเมียช่างห่ายช่างลึกซึ่งยิ่งกว่าใต้ทะเลลึก
"ข้าไม่ต้องการให้เยวี่ยเยวี่ยคิดถึงเรื่องความสัมพันธ์กับเขา เพราะข้ากลัวว่าเยวี่ยเยวี่ยจะไม่ค่อยชื่นชอบเขา" ชางห่ายกล่าวอย่างขมขื่น
"เจ้าพูดถึงเรื่องอะไรกัน ลูกสาวของพวกเราเก่งที่สุดมิใช่หรือ? เจ้ากล้าที่จะพนันหรือเปล่า?" รู่ตงเงยศรีษะขึ้นเล็กน้อยและยิ้มแย้มแจ่มใส
"ทำการเดิมพัน? อะไร?" ชางห่ายยิ้มอย่างขมขื่นไปที่ภรรยาของเขา ความสวยงามของเธอดูเหมือนจะไม่ลดลงเลย เขาไม่เคยชนะเดิมพันมาตลอดหลายปีมาแล้ว
"ฮ่าฮ่า เจ้าไม่เคยชนะการพนันมาก่อนเลย" รู่ตงมองไปที่ชางห่ายอย่างไม่เกรงใจ ก่อนที่เสียงหัวเราะจะจางลง ตาอันเป็นประกายและฟันสีขาวของเธอช่างมีเสน่ห์จริงๆ
"เดิมพันกับสิ่งใด ข้าจะต้องชนะการเดิมพันในครั้งนี้แน่นอน" ชางห่ายมองไปที่การแสดงออกที่น่าสนใจของภรรยาของเขา ดั่งกับมีไฟลุกโชนขึ้นมาในจิตใจของเขา เขาจับรู่ตงเข้ามาไว้ในอ้อมแขนอย่างแน่นหนาพร้อมกับร่างกายอันเรียวเล็ก
"เวลากลางวันแสกๆ เจ้าจะทำอะไร!" รู่ตงพูดอย่างเขินอายและจำได้ว่าพวกเขาสานสัมพันธ์รักกันสองถึงสามครั้งในแต่ละคืน ต้องขอบคุณสำหรับสุราวิศิษฎ์พิสุทธิ
"พวกเราเป็นคู่รักที่อยู่กันมานาน มันก็ดีแล้วที่เราจะกอดกัน มันมีอะไรที่แปลกตรงไหน" ชางห่ายจ้องมองไปที่ใบหน้าอันงดงามของภรรยาและจูบเธออย่างเร้าร้อน
"พนันกันว่าเยวี่ยเยวี่ยและชิงสุ่ยจะตกลงปลงใจกันหรือไม่?" รู่ตงตอบอย่างไม่อาย
"เราจะเดิมพันกันอย่างไร?" การพูดถึงชางห่ายหมิงเยวี่ยและชิงสุ่ยทำให้เขาสนใจ
"ข้าเดิมพันว่าเยวี่ยเยวี่ยและชิงสุ่ยจะชอบพอรักกันในอีก 5 ปี แล้วถ้าเจ้าคิดแบบเดียวกัน พวกเราก็จะไม่พนัน" รู่ตงระยิบตาอันเย้ายวนของเธอเบาๆ
"ข้าอาจจะแพ้เจ้าในเรื่องอื่นๆ แต่ข้าจะเดิมพันกับเจ้าเกี่ยวกับเรื่องนี้และข้าหวังว่าข้าจะแพ้ เราจะเดิมพันอะไรกัน?" ชางห่ายหัวเราะอย่างเบิกบาน
"เมื่อผลการเดิมพนันออกมา ผู้ที่ชนะจะสามารถขอบางสิ่งบางอย่างได้ แต่สิ่งนั้นต้องเป็นไปได้?" รู่ตงแนะนำอย่างน่าดึงดูด
"เอาล่ะข้าจะสัญญากับเจ้าทุกอย่างถ้าข้าแพ้ แต่เจ้าจะต้องแพ้!" ชางห่ายหัวเราะมือของเขาพุ่งตรงไปที่ก้นอันกลมกลึงของรู่ตงและคว้ามันไว้ทั้งสองข้าง
"ชายแก่ขี้เล่น…"