เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที 29 – เส้นด้ายระหว่างความเป็น ความตาย
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- บทที 29 – เส้นด้ายระหว่างความเป็น ความตาย
บทที 29 – เส้นด้ายระหว่างความเป็น ความตาย
“ฮะ?” ชิงสุ่ยขยับศีรษะของเขาอย่างรวดเร็วพร้อมแสดงออกถึงสีหน้าที่เลวร้าย เงามหึมาบดบังท้องนภาและดวงตะวัน ลมที่ออกมาจากการกระพือปีกขนาดยักษ์แรงและทรงพลังมาก ก้อนหินขนาดใหญ่ไม่กี่ร้อยจิน กลิ้งตลบอบอวลไร้แรงโน้มถ่วงราวกับเป็นเพียงเม็ดฝุ่น
ชิงสุ่ยโคจรพลังปราณไปยังฝ่าเท้าของเขาเพื่อทรงตัวไว้บนพื้นดิน หินที่ซ่อนอยู่ภายในมือข้างขวาของเขาแน่นขึ้นเนื่องจากการโคจรพลังปราณผ่านเคล็ดวิชากายาบรรพกาล
ชิงสุ่ยสะบัดหินใส่ใส่ร่างขนาดมหึมาของสัตว์ยักษ์ที่กำลังบินอยู่และเขาก็ใช้งานเคล็ดหลบหนีไร้ทิศทางเพื่อถอยห่างอย่างรวดเร็ว
ชิงสุ่ยตัดสินใจเลือกโจมตีไปยังหัวใจของสัตว์ยักษ์ตัวนั้น เขารู้ว่าเขานั้นมีเพียงหินเล็กๆเป็นดั่งอาวุธ ไม่มีทางที่เข้าจะสร้างความเสียหายขนาดใหญ่แก่ศัตรูตัวนี้ได้ อย่างมากสุดก็ทำให้มันบาดเจ็บได้เพียงเล็กน้อย ดังนั้นวิธีเดียวที่ทำได้คือการโจมตีไปยังจุดที่อ่อนแอที่สุด
“ฟิ้ว!!!!!” หินสร้างเสียงน่ากลัวออกมาขณะที่มันแหวกผ่านอากาศเพื่อขึ้นสูงขึ้น ด้วยความเร็วของมัน มันรวดเร็วจนเกือบสร้างกำแพงเสียงออกมาได้
“เอริกกกก!!!” เสียงเจาะเขาที่หู สีหน้าแสดงถึงความอัปยศและความโกรธออกมาพร้อมกับการถอยขึ้นสูงขึ้นของสัตว์ยักษ์ตัวนั้น
ชิงสุ่ยรู้ว่าเขาพลาดการโจมตีที่หมายพุ่งเข้าสู่หัวใจ แต่เมื่อพิจารณาจากเลือดที่ไหลออกมาราวกับน้ำพุ เขารู้ว่าอย่างน้อยเขาก็สามารถทำร้ายมันได้
ปัจจุบันชิงสุ่ยถอยห่างเข้าสู่ระยะที่ปลอดภัย เขาใช้เวลาที่เหลือระบุถึงสัตว์ที่ทะยานข้ามท้องนภาแห่งนี้ เมื่อสังเกตอย่างใกล้ชิด ชิงสุ่ยต้องพบกับความน่าประหลาดใจ ปีนกตัวนี้นั้นกว่างถึง 30-40 เมตร หัวของมันคล้ายกับนกอินทรีย์หรือนกแร้ง ทั่วร่างของมันต่างถูกปกคลุมไปด้วยขนสีดำทมิฬมีเพียงสีขาวบางส่วนบนหัวมันเท่านั้น
“ระดับ 3 สัตว์อสูรไร้แก่น แร้งหยกขาวทมิฬ”ในที่สุดชิงสุ่ยก็สามารถระบุนกยักษ์ตัวนั้นได้
ตั้งแต่ครั้งที่ชิงไฮ่อธิบายเกี่ยวกับงานต่างๆเกี่ยวกับทวีปทั้ง 9 ให้เขาฟัง ชิงสุ่ยเคยรับรู้ถึงอาชีพนักฝึกสัตว์อสูรและยังมีข้อมูลรายละเอียดของสัตว์ที่อาศัยอยู่บนโลกใบนี้
พวกมันมีระดับอยู่ 4 ระดับ คือ ป่า<ดุร้าย<อสูรไร้แก่น<อสูร แต่ละระดับจะถูกแบ่งเป็นออก 9 ขั้น โดยรวมแล้วสัตว์พวกนี้จะถูกจัดอันดับจากขั้น 1 ไปถึงขั้นที่ 36 แร้งหยกขาวทมิฬอยู่ในขั้นที่ 21 ไม่น่าแปลกใจเลยที่มันปล่อยรัศมีความน่ากลัวออกมาได้ถึงเพียงนี้
เฉพาะสัตว์อสูรที่สร้างแก่นปีศาจออกมาได้เท่านั้นที่จะได้รับการเลื่อนไปสู่ขอบเขตสัตว์ปีศาจ แม้จะเป็นสัตว์ปีศาจที่อ่อนแอที่สุดมันก็เทียบได้กับการบ่มเพาะระดับปราณเทวะเซียนเทียน อีกทั้งพวกมันจะมีอายุที่ยืนยาวและแข็งแกร่งขึ้น ความแตกต่างระหว่างสัตว์ปีศาจกับสัตว์ระดับอื่นนั้นเปรียบได้ดั่งสวรรค์กับปฐพี
ชิงสุ่ยมองแร้งหยกขาวทมิฬโฉบไปมากลางเวหา ร่างกายของมันใหญ่จนเหลือเชื่อ เพียงขาของมันก็เท่ากับมนุษย์ที่เติบโตเต็มที่
จากการศึกษาเขาจำได้ว่าแร้งหยกขาวทมิฬนั้นมีความแค้นพยาบาทสูงมาก อาการบาดเจ็บที่ชิงสุ่ยสร้างนั้นเล็กน้อยมาก แต่ชิงสุ่ยนั้นกลับภาคภูมิใจในบาดแผลนั้นมาก จากแววตาที่เย็นชาและชั่วร้ายที่แร้งหยกขาวทมิฬแสดงออกมานั้น ชิงสุ่ยรู้ว่าตราบใดที่มันยังมีชีวิต มันจะต้องไม่ให้เขาขึ้นไปบนเขาเป็นแน่ มันเพียงแค่รอโอกาสตอนนั้นเพื่อจับชิงสุ่ย
การถ่ายโอนหินจากมือซ้ายไปขวาเริ่มอีกครั้ง ชิงสุ่ยจองมองแร้งหยกขาวทมิฬ หินในมือของชิงสุ่ยถูกปล่อยออกไปทำให้แร้งยักษ์หยุดและระวังตัว ก่อนหน้านี้แร้งตัวนี้รู้สึกถึงความแข็งแกร่งที่ผิดแปลกจากธรรมชาติที่ส่งผ่านหินนั้น ครั้งแรกมันคิดว่าเป็นเพียงสัตว์เล็กกัด ครั้งที่สองทำให้มันรู้แล้วว่าเกิดจากความแข็งแกร่งของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยรู้สึกกระหายน้ำอย่างมาก เขาไม่ได้ดื่มน้ำใดๆเลยเป็นเวลากว่า 3 วันแล้ว ทั้ง 3 วันที่ผ่านมานั้น ไร้ซึ่งร่องรอบแม้กระทั่งสัตว์ปีก ตอนนี้ชิงสุ่ยรู้แล้วว่าทำไม มันเป็นเพราะเจ้าแร้งยักษ์ด้านหน้าของเขา เป็นเพราะมัน สัตว์ นักล่าต่างๆเลยหวาดกลัวและหนีไป
เขากระหายน้ำมาก เขาต้องการน้ำเพื่อดำรงชีพ ถ้ามีสัตวอื่นๆ เขาคงจะดื่มเลือดมันแล้ว อาการเย็นชาทอประกายผ่านสายตาของเขา “ดีล่ะ ดูเหมือนวันนี้จะยังไม่เกิดอะไรขึ้น ข้าต้องหาวิธีที่ทำให้เจ้าแร้งตัวนี้ไม่หนีไปไหน”
แม้ขนาดตัวของมันจะมีขนาดใหญ่ แต่มันกลับเคลื่อนไหวได้ดั่งปลาในน้ำ ทั้งที่อยู่บนอากาศ มันเป็นความเร็วที่ไม่น่าเป็นไปได้เลย คลื่นพลังกดดันถูกปลดปล่อยออกมา ตัวมันเองนั้นถือครองพลังแห่งความแข็งแกร่ง กรงเล็กของมันสามารถฟัดภูผาและโขดหินให้แยกจากกันได้โดยง่าย นอกจากนี้ปีกคู่ดำของมันยังสามารถบดขยี้สิ่งต่างๆให้กลายเป็นฝุ่นได้ในทันที นอกจากนี้จะงอยปากของมันนั้น เพียงตัดผ่านเบาๆก็สามารถแยกร่างของมนุษย์ในกลายเป็นสองซีกได้เลย
สิ่งที่ปรากฏตัวต่อหน้าเขานั้น แข็งแกร่งมากเกินไป ขณะที่เขากำลังไตร่ตรองวิธีเอาชนะที่ดีที่สุดที่เป็นไปได้ เหงื่อของชิงสุ่ยไหลราวกับเป็นสายธาร
ชิงสุ่ยค่อนข้างจะกระวนกระวาย แต่เขาไม่เคยคิดกลัว หากไม่สามารถเอาชนะมันได้ในวันนี้นั้นก็หมายความว่าโชคชะตาได้กำหนดให้เขาต้องตาย ณ ที่แห่งนี้ “หากข้าไม่สามารถเอาชนะไก่บินได้ระดับไร้แก่นอสูรนี้ได้ ข้าจะมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร? สัญญาที่ข้าได้บอกแก่ท่านแม่ไปมันคงเป็นได้แค่คำร่องลอยบนอากาศเป็นแน่”
“ไอ้สารเลว นกน่าเกลียดตัวนี้ช่างน่ารำคาญยิ่งนัก ถ้าเจ้าต้องการสู้กับข้านักลงมานี้ซะ ข้าจะให้เจ้ามีความสุขก่อนเจ้าจะได้ไปเฝ้าประตูนรก ถ้าเจ้าไม่ต้องการมัน เจ้าควรไสหัวไปซะ ทำไมเจ้าถึงทำโง่ๆโฉบไปโฉบมาอยู่ได้” ชิงสุ่ยสาปแช่ง
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนคำสาปแช่งของชิงสุ่ยนั้นไม่ได้ผล
ชิงสุ่ยรู้ว่าการกระทำนี้หาได้ใช่การแก้ปัญหา เขาไม่สามารถยืนโง่รอความตายได้
หลังจากการคิดช่วงสั้นๆ ชิงสุ่ยตัดสินใจนอนราบลงกับพื้น เศษหิน 100 จินถูกทำความสะอาดจากแรงลมพายุที่เกิดจากแร้งหยกขาวทมิฬ ซึ่งเป็นผลจากการโจมของชิ่งสุ่ยก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ตามทันทีที่เขานอนลง เขาได้ซ่อนหินเล็กๆไว้ในมือซ้ายของเขาด้วย
ชิงสุ่ยปิดตาของเขาลงและยอมรับความเสี่ยงทั้งหมด เขาไม่อยากเชื่อว่าร่างกายปัจจุบันของเขานั้นจะมีพลังเพียงขั้นที่ 3 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล แม้จะเป็นชิงสุ่ย เขาก็ยังคงไม่อาจทนทานการโจมตีของกรงเล็บและจะงอยปากอันแหลมคมได้แม้แต่ครั้งเดียว ความอดทนของเขานั้นมีขีดจำกัด เขาพยายามอดทนเท่าที่เขาจะทนได้
เวลาผ่านล่วงเลยไปนานนับนาที ชิงสุ่ยเหลือบตามอง ร่างกายของเขาเกร็งขึ้น ชิงสุ่ยนั้นรอโอกาสที่ดีที่สุดทำบางอย่างสิ่งบางอย่างหมายที่จะสังหาร!!!
“ไอ้สารเลว เจ้าไม่สนใจที่จะต่อสู้อย่างนั้นรึ? ไอ้นรกเอ้ย เจ้ายังคิดจะอยู่บนนั้นอีก ลงมาซะ” ชิงสุ่ยสาปแช่ง
อาจจะเป็นเพราะพระเจ้าได้ยินคำขอ การกระทำของเจ้านกตัวนั้นก็เปลี่ยนไป แร้งหยกขาวทมิฬเริ่มเคลื่อนที่เป็นวงกลมใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
“ไอ้นกเจ้าเลห์ แม้จะต้องรอ ข้าก็จะจับเจ้า” ชิงสุ่ยพึมพำออกมาด้วยความเกลียดชัง
แร้งหยกขาวทมิฬนั้นไม่ได้โง่นัก มันบินเข้าใกล้และบินออกห่างอย่างซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อตัดสินใจบางอย่าง ทันใดนั้นมันก็ระเบิดความป่านสายฟ้าพุ่งเข้าหาชิงสุ่ย
นี้คือช่วงเวลาที่เขารอคอย ดวงตาของชิงสุ่ยเปิดขึ้น พร้อมทั้งสะบัดหินในมือของเขา เล็งไปที่ดวงตาของแร้งหยกขาวทมิฬ!!!
ระยะ 10 เมตรถูกปกคลุมด้วยฝุ่นทันที! ในขณะที่เขาสะบัดหินออกไปนั้น เขาขดตัวของเขา เพื่อรับแรงกระแทกของพลังปราณที่เกิดจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาลจากร่างของเขา
“เอริกกกกกก” เสียงร้องโหยหวนออกมาด้วยความตกใจ แต่ร่างกายที่ใหญ่โตของแร้งหยกขาวทมิฬไม่แม้แต่จะช้าลงเลย มันกลับพุ่งด้วยความเร็วที่มากกว่าเดิม
จากผลกระทบของพลัง ร่างกายของชิงสุ่ยคล้ายกับปลาคราฟที่กระโดดขึ้นจากน้ำ เขารวบรวมพลังปราณไปยังแขนขาของเขาและยืมแรงที่เกิดจากการกระแทกก่อนหน้า ผลักตัวเขาให้กระเด็นไปไกล การฟื้นตัวของเขาเป็นการฟื้นตัวที่น่าทึ่งมาก แม้แขนทั้งสองข้างของเขายังรู้สึกเหมือนถูกทำลายก็ตาม แต่ผลของมันทำให้สามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย
เมื่อนกแร้งตัวนั้น โจมตีผิดพลาด มันกรีดร้องออกมาด้วยความไม่พอใจ
ชิงสุ่ยมองลงไปที่หน้าอกของเขา ก็พบกับรอยเลือดสีแดงชาด มันเป็นแผลที่ยาวพอๆกับฝาเท้า เลือดหลั่งไหลออกมาจากแผลนั้นอย่างต่อเนื่อง แม้เขาจะพยายามหลีกเลี่ยงอันตราย และหลบอย่างเต็มกำลังแล้วก็ตาม เพียงแค่ปลายเล็บของเจ้าแร้งตัวนั้นก็ทำให้เขาบาดเจ็บลึกไปถึงกระดูก! อาการบาดเจ็บนั้นถือว่าหนักหนามาก!
เลือดจากแผลหน้าอกที่เปิดออกยังคงไม่หยุดไหล ชิงสุ่ยพยายามฝืนกลั่นความเจ็บปวดเอาไว้ เป็นไปได้ว่าเขานั้นอาจจะต้องสูญสิ้นชีวิตภายในวันนี้ หลายสิ่งหลายอย่างถูกย้อนกลับมาผ่านสายตา โดยเฉพาะเมื่อคิดถึงชิงอี้ ก่อนที่เขาจะจากมา ชิงสุ่ยพูดย้ำอย่างมั่นใจซ้ำๆว่าเขาจะดูแลเธอเองให้ได้ แล้วเขาจะเต็มใจที่จะตายตอนนี้ได้อย่างนั้นรึ!
ชิงสุ่ยนั้นไม่เคยให้ชิงอี้ได้รับทุกอย่างตามที่เขาเคยสัญญาไว้ เขาไม่ควรจะมาตาย ณ ที่แห่งนี้ ถ้าหากเขาตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับชิงอี้? เธอจะต้องเสียใจเป็นที่สุด เพราะคนที่รักต่างจากเธอไป เพียงแค่จินตนาการสิ่งที่จะเกิดขึ้น ความเจ็บปวดที่ได้รับนั้นก็มากกว่าแผลเล็กน้อยนี้แล้ว จะเกิดอะไรขึ้นหากมีคนค่อยเหยียบให้เธอต้องทุกข์ทรมาน? ไม่ ไม่ ชิงสุ่ยกัดฟัน ข้าต้องไม่ตายที่นี้
แม้สติของชิงสุ่ยจะเริ่มลืมเลือน เลือดที่ไหลจากอกย้อมร่างกายจนเป็นสีแดง ในเวลาเดียวกันเลือดยังสาดไปยังเครื่องสวมใส่ที่ขาดออกจากกัน รวมทั้งจี้หยินหยางที่สวมบนคอของเขา……….