เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 9 – ทะลวงผ่านพลังปราณสวรรค์ขั้นที่ 2
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- บทที่ 9 – ทะลวงผ่านพลังปราณสวรรค์ขั้นที่ 2
บทที่ 9 – ทะลวงผ่านพลังปราณสวรรค์ขั้นที่ 2
เวลาอีกหนึ่งปีได้ผ่านไป ตั้งแต่เวลาที่เขาท้าทายตัวเองให้ต้องยกหินหนัก800 จิน ชิงสุ่ย ยิ่งมั่นใจในประโยชน์ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ของเขา ทำให้เขายิ่งมุ่งมั่นที่จะมุ่งไปในเส้นทางนี้
สัญลักษณ์ หยิน – หยาง ยังคงหมุนอยู่ในทะเลแห่งปัญญาของเขาตลอดเวลา ปลดปล่อยพลังงาน บำรุงกระดูก และอวัยวะในร่างกายของเขา นอกจากการปรับกระดูกและอวัยวะของเขา สัญลักษณ์ หยิน – หยาง ยังคงเพิ่มระดับพลังงานปราณของเขาให้ถึงจุดสูงสุด และให้ชิงสุ่ยจะยิ่งเข้าใจในพลังมากยิ่งขึ้น . . . . . . .
หลังจาก 1 ปีผ่านไป ร่างกายของชิงสุ่ยไม่ได้ดูบอบบางและอ่อนแออีกต่อไป ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะมีกล้ามเนื้อที่เล็กกว่าเมื่อเทียบกับสมาชิกรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง แต่ถือได้ว่าร่างกายของเขามีความสมดุลสูงมาก
ชิงสุ่ยรู้ว่านี้คือผลประโยชน์ของ เคล็ดวิชากายาบรรพกาล และ สัญลักษณ์ หยิน-หยาง ในทะเลแห่งปัญญา ชิงสุ่ยรู้ว่าตัวของเขาเองนั้นได้สามารถยกก้อนหินที่หนักกว่า 1000 จิน ได้อย่างแน่นอน แต่เขาก็ตั้งใจที่จะซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาไว้เป็นความลับ และไม่มีใครจับได้
ในหนึ่งปีที่ผ่านไปนั้น ชิงสุ่ยได้ก้าวเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบขั้นที่ 2 แล้วสำหรับเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า ถึงแม้ว่าเขาจะสร้างพลังงานเข้มข้นได้ แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องนี้ ดังนั้น เขาจึงถูกจัดอยู่ในอาณาจักรพลังปราณฝึกหัดตามมาตรฐานของคนที่ไม่ได้ฝึกฝนมาอย่างน้อย 3 ปี
เยาวชน รุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ไม่มีใครล้อเขาอีกแล้ว ชิงสุ่ยไม่ใช้ขยะในสายตาของพวกเขาอีกต่อไป ชิงสุ่ยไม่ได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในการกระทำของพวกเขาหลังจากพวกเขาทั้งหมดเติบโตเป็นผู้ใหญ่ทุกๆ ด้าน ด้วยข้อยกเว้นทางด้านร่างกายของเขาและไม่เคยอนุญาตให้เยาะเย้ยและด่าว่ากระทบเขา
อย่างไรก็ตาม เขาไม่ได้รังเกียจการมีปฏิสัมพันธ์กับเหล่าเยาวชนหนุ่มสาวเหล่านี้ เขาเข้าใจว่ามันเป็นลักษณะทางธรรมชาติที่จะเยาะเย้ยผู้ที่อ่อนแอกว่าโดยไร้ซึ่งเจตนาร้าย การมีปฏิสัมพันธ์กับเยาวชนเหล่านี้ทำให้ชิงสุ่ยได้รับโอกาสที่ปล่อยให้หัวใจของเขากลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ชิงสุ่ยยังคงไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับหลานชายคนโต ชิงจื่อและเยาวชนอัจฉริยะชิงหยู เพราะว่าทั้ง 2 คนนั้นไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการฝึกฝนประจำตระกูลชิง ในทางตรงกันข้าม เขาได้พบกับ ชิงหยางค่อนข้างบ่อย ตอนนี้ หยางชิง อายุ 16 ปี ลักษณะของปราณแห่งผู้แบกชะตาวีรบุรุษเริ่มเห็นจากตัวเขา เขาก็เริ่มที่จะแสดงกลิ่นอายของผู้ใหญ่ออกมา
ชิงหยางได้บรรลุเข้าสู่ อาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 6 ของเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า ก่อนเขาจะอายุ 16 ปี ในอนาคต เขาไม่จำเป็นต้องเข้าร่วมการฝึกฝนประจำตระกูลชิง
หลังจากชิงหยางสามารถบรรลุระดับพลังขั้นนี้ได้ ตระกูลชิงตัดสินใจที่จะจัดงานเลี้ยงฉลอง แต่ถ้าหากชิงหยางได้บรรลุระดับพลังได้ตอนอายุ 17 ก็อาจจะไร้ซึ่งงานเลี้ยงเหมือนคราวนี้
อายุ 16 ปีถือเป็นโชคที่ดี ถ้าชิงหยางได้บรรลุเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 6 หลังจาก อายุ 16 ปี ในชีวิตนี้ ศักยภาพของเขาจะช่วยให้เขาบรรลุสูงสุดได้เพียงอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ ขั้นที่ 8 มันแทบเป็นไปได้ยากมากที่จะไปถึงระดับ 9 และไม่ต้องพูดถึงระดับ 10 เลย หรือจุดสูงสุดของโฮว่เทียน(ใกล้ระดับเหนือมนุษย์)
อย่างไรก็ตาม ถ้าสามารถบรรลุพลังได้ก่อนอายุ 16 ปี เขาอาจจะบรรลุอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ ขั้นที่ 9 ตอนอายุ 40 หรือ 50 เขาอาจบรรลุขั้นที่ 10 ( จุดสูงสุดของโฮว่เทียน ) ต้องขึ้นอยู่กับโชคชะตาของบุคคลผู้นั้น
ภายในเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 คนที่มีพรสวรรค์มากที่สุด นอกจากอัจฉริยะชิงหยูและหลานชายคนโตชิงจือ ชิงหยางยังอาจถูกพิจารณาว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มนี้ ที่ทุกคนรู้จักกันดี
ชิงเป่ยมีศักยภาพสูงกว่าคนทั่วไป เพียงแต่ว่าเธอเกิดมาเป็นผู้หญิง ผู้หญิงมักจะมีข้อจำกัดในการบ่มเพาะพลังเมื่อเทียบกับผู้ชาย แต่เพื่อชดเชยข้อเสียเปรียบนี้ ชิงเป่ย จึงต้องใช้ทั้งสมุนไพรและยาทิพย์ต่างๆ
เมื่อแสงอรุณใกล้ขึ้น ณ เส้นขอบฟ้า หลังจากชิงสุ่ยฝึกฝนเสร็จตอนเช้าทุกวัน เขาจะกลับไปยัง บ้านของเขา ตั้งแต่เขาสามารถบ่มเพาะพลังได้ เขาจะพบว่า ชิงอี้แม่ของเขายิ้มบ่อยขึ้น ดวงตาก็ยิ่งปรากฏความรู้สึกแบ่งเบาภาระออกจากจิตใจ
ชิงสุ่ยไม่ค่อยรู้เรื่องภาระใจจิตใจของชิงอี้ เขาต้องการจะกำจัดภาระนั้นออกไป แต่เขาเป็นเด็กอายุเพียง 8 ปี ตอนนี้เขาไม่มีพลังเพียงพอ ชิงสุ่ยสาบานกับตัวเองว่าเส้นทางชีวิตข้างหน้า ไม่ว่าจะยากเย็นแสนเข็นอย่างไร เขาจะบรรลุทุกความปราถนาของแม่ของเขาให้จงได้
” ชิงสุ่ย แม่ช้ามากแล้วที่ต้องกลับเขาไปที่เมืองประมาณครึ่งเดือน แม่จะต้องกลับไปยังเมืองหลังจากอาหารมื้อนี้ ในเวลานี้แม่จะไปต้องไปทำการค้าสมุนไพรและยาทิพย์กับคู่ค้าคนอื่นๆเพื่อตระกูลเรา สัญญากับแม่นะว่าลูกจะบ่มเพาะพลังและเคารพคำสั่งสอนของคนในตระกูลเรา ในอนาคต แม่คงต้องฝากความหวังไว้ในความแข็งแรงของลูกในการต่อสู้เพื่อสิทธิของเรากับเหล่าพวกคนกระหาย โลภมาก แสนน่ารังเกียจ ” ชิงอี้ลูบหัวชิงสุ่ยเบาๆ บอกว่า
ชิงสุ่ยพยักหน้า เล็กน้อย ความไม่เต็มใจปรากฏขึ้นในสายตาของชิงสุ่ย เขาไม่อยากจะแยกจากชิงอี้ แต่เขารู้ว่า เวลานี้เขาควรเพิ่มความสามารถในการบ่มเพาะของเขา หลังจากที่เขาได้รับความแข็งแกร่ง เขาจะสามารถช่วยแม่ของเขาได้ หลังจากเขาพบชิงอี้ดำรงชีวิตอยู่ได้โดยการซื้อขายเหล่าสมุรไพรต่างๆอีกทั้งแปรสภาพเหล่าสมุนไพรนั้นให้กลายเป็นยาทิยพ์ ชิงสุ่ยพึ่งระลึกว่าเขาไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้ ภายในทะเลแห่งปัญญาของเขา มีข้อมูลต่างๆเกี่ยวกับการแปรสภาพสมุรไพรและสามารถเข้าใจได้เป็นอย่างดี แต่ว่าในปัจจุบัน เขาก็ไม่มีที่จะบรรลุศักยภาพในการแปรสภาพยาได้ เพราะเขาไม่เคยได้ฝึกฝนทางด้านนี้ !
เริ่มแรกเขาได้วางแผนที่ไปการทำการค้าร่วมกับแม่ของเขา แต่เขาก็ไปเปลี่ยนความคิดตัวเอง เพราะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เขาเป็นได้เพียงภาระให้แกแม่ของเขา แม่ของเขาคงต้องแบ่งเวลาส่วนหนึ่งในการปกป้องเขา ชิงสุ่ยจึงยอมให้แม่ของเขาไปคนเดียว
” แม่ แม่ต้องระมัดระวังในการเดินทางให้มาก ความปลอดภัยของแม่นั้นสำคัญที่สุดนะ แม้ว่าธุรกิจจะเป็นยังไง แม่ยังมีคงลูกรอคอยอยู่ ให้เวลาลูกอีกไม่กี่ปีเท่านั้น ลูกก็จะทำให้แม่นั้นเป็นคนที่มีความสุขที่สุดในโลกให้จงได้ . ” เหตุผลที่ชิงสุ่ยกล่าวออกมานั้นทิ้งความประทับใจเข้าสู่ส่วนลึกในจิตใจของชิงอี้ เขาต้องการที่จะเตือนเธอว่า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม เธอจะต้องไม่ยอมให้ตัวเองถูกทำร้าย ความปลอดภัยของเธอ คือสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเธอยังคงมีเขาเป็นลูกชายของเธอ ! ถึงแม้ว่าเขายังหนุ่มอยู่ เมื่อเขาเติบโตขึ้นในที่สุด เขาจะสามารถปกป้องเธอได้อย่างแน่นอน
ชิงสุ่ยรู้เพียงว่าชิงอีเป็นแม่ค้าสมุนไพร เมื่อเธอต้องการเผยให้เขารู้ นอกจากนี้เขายังสามารถสรุปได้ว่าคู่ค้าทางธุรกิจของแม่ของเขาอยู่เบื่องหลังของตระกูลอื่น ๆ และตระกูลที่มีอำนาจยิ่งใหญ่กว่าตระกูลชิง แม่ว้าพวกมันจะแบ่งกำไรให้ชิงอี้น้อยมาก แม้ว่าคู่ค้าของเธอจะเอากำไรจากเธอไปมากกว่าครึ่งนึง แต่กำไรส่วนที่เหลือยังคงสามารถกล่าวได้ว่าเป็นจำนวนมาก แม้จะไม่มีคนภายในตระกูลชิงต้องการที่จะมาทำการค้าด้วย แม้เธอจะย่อแท้ขนาดไหน เธอตัดสินใจที่จะอดทนต่อไป
ถ้าชิงสุ่ยเริ่มทำความเข้าใจในการแปรสภาพเหล่าสมุรไพร เขาจะสามารถแปรสภาพและคัดสรรเหล่ายาทิพย์ จำพวก ยาฟื้นฟูขนาดเล็ก ยาบำรุงหยกทอง ยาสรรสร้างเสน่ห์หา แม้กระทั่งตาระดับตำนานเช่น ยารากฐานเสริมสร้างพุทธคุณ ยา9 ชีพฟื้นคืน ถ้าเขาสามารถเขาสู่ทางนี้ได้ ไม่ว่าผู้หญิง อำนาจ ความร่ำรวย จะตกสู่เขาทั้งหมด ชิงสุ่ยตั้งหน้าตั้งตาคอยให้วันนั้นมาถึง
ชิงอี้ ได้เริ่มออกเดินทางไป อาจจะกล่าวว่าเป็นแหล่งรายได้ส่วนใหญ่ของตระกูลชิงมีที่มามากกว่าครึ่งหนึ่งเป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจสมุนไพรของชิงอี้ นอกจากนี้ยังมีเพียงไม่กี่คนในตระกูลมาช่วยเหลือเธอ หากไม่มีพวกเขามันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยสำหรับเธอที่จะกลับไปเป็นหาชิงสุ่ยภายใน 10 วัน
ชิงสุ่ยก็หมุนเวียนพลังปราณภายในเส้นชีพรของเขาตามเคล็ดวิชากายาบรรพกาล โดยเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว เขาไม่เคยหยุดการบ่มเพาะพลังของเขาเลยแม้แต่น้อย แม้ว่าตระกูลชิงค่อนข้างเข้มงวดเกี่ยวกับการฝึกฝนเหล่าสมาชิกตระกูลรุ่นที่ 3 แต่พวกเขาให้อิสระที่จะทำสิ่งที่พวกเขาต้องการ นอกเหนือเวลาในการฝึก
แม้ว่าชิงสุ่ยจะอายุเพียง 8-9 ขวบ ในแง่ของจิตใจ เขาเป็นผู้ใหญ่อย่างเต็มตัว เขาเห็นได้ชัดว่าถึงความสำคัญของพลังปราณในโลกนี้ กับขนาดร่างกายขนาดเล็กของเขายังไม่สามารถบรรลุความปรารถนาของชิงอี้ได้ ดังนั้นเขาจึงต้องใช้เวลาทั้งหมด รวมทั้งความพยายามทั้งหมดของเขา เพื่อใช้ในการบ่มเพาะพลังของเขา
ในร่างกายของเขา กระแสพลังของปราณเส้นสีฟ้าและปราณเส้นสีเหลืองยังคงมาบรรจบกัน และหนากว่าเส้นผมเพียงเล็กน้อย สำหรับในปีที่ผ่านมา ชิงสุ่ยได้เพียรพยายามบ่มเพาะเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าและได้บรรลุผ่านอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 2 แล้ว
อย่างไรก็ตาม สำหรับเคล็ดวิชากายาบรรพกาล มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาด มันเหมือนกับว่า ทันทีที่เขาก้าวเข้าประตูชั้นสวรรค์ในการบรรลุขั้นพลัง เขาจะได้รับการชำระล้างร่างกาย และได้รับประโยชน์มากมายที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
แม้เขาจะใช้ความพยายามทั้งหมด และความพากเพียรในการบ่มเพาะเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ในปีที่ผ่านมา เขาเพิ่งจะไปถึงจุดสูงสุดของระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 2 ไม่ไม่สามารถบรรลุขั้นถัดไปได้
ในปีที่ผ่านมานี้ เขาไม่ทราบว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ หรือ เป็นเพราะเคล็ดวิชากายาบรรพกาล คอยสนับสนุนในการพัฒนา ชิงสุ่ย รู้โดยบังเอิญว่า เขามักจะเปิดใช้งานทั้งเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าและเคล็ดวิชากายาบรรพกาล พร้อมกัน การค้นพบนี้ทำให้เขามีความสุขที่สุด เปรียบได้กับการฝึกฝนเร็วขึ้น 2 เท่า
ชิงสุ่ยยังคงบ่มเพาะพลังอย่างเงียบๆ ในชั้นใต้ดินของเขา หมุนเวียนปราณทั่วร่างกายของเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก เขาจะรู้สึกว่าเขากำลังจะบรรลุ แต่ดูเหมือนจะขาดบางสิ่งบางอย่างไป . . . . . . . เขารู้สึกว่าเขาอยู่ในจุดสุดท้ายก่อนบรรลุแล้ว แต่เมื่อใดก็ตามที่เขาพยายามเอาชนะอุปสรรคสุดท้าย เขามักจะล้มเหลว ลำธารแห่งเหงื่อ ไหลลงใบหน้าของเขา มันแสดงออกถึงความพยายามที่เขาต้องจ่ายมันออกไป
” ข้าต้องก้าวหน้าให้มากกว่านี้ เพื่อประโยชน์สูงสุดของแม่ข้าและข้า ข้าจะไม่มีวันยอมแพ้ ข้าจะต้องเข้มแข็งกว่านี้ ข้าไม่อยากถูกตราหน้าว่าเป็นขยะอีกแล้ว ข้าจะต้องยืนอยู่ในจุดสูงสุดของโลกใบนี้ให้จงได้ อ๊ากกกกกกกกกกกก ”
กาลเวลาไหลผ่านไปอย่างยาวนาน และแสงสีขาวจ่างๆก็ปรากฏในท้องฟ้าตะวันออก ” เพร่งงง ! ” เสียงคล้ายกับเสียงของจุกไม้ก๊อกถูกดึงออก ดังขึ้น ชิงสุ่ยสามารถรู้สึกถึง สะดวกสบายและพลังงานจำนวนมากที่ไหลผ่านร่างกายทั้งหมดของเขา ทั้งหมดของ 360 จุด และ รูขุมขนบนร่างกายของเขาสั่นเทาราวกับอยู่ในความสุข
เส้นพลังปราณ หลังจากที่ชิงสุ่ยได้ทะลวงผ่าน ขั้นที่ 2 ไปได้แล้วนั้น เส้นพลังปราณก็หนาขึ้นกว่า 10 เท่า มันหนาราวกับเส้นผ้าขนสัตว์แล้ว
หลังจากนั้นเขาค่อยๆหมุนเวียนพลังปราณรอบร่างกายของเขาอีกราว 36 รอบ ชิงสุ่ยรู้สึกเหมือนพลังงานจะระเบิดในร่างกายของเขา เขาเริ่มมีเข้าใจลึกซึ้งมากขึ้น เขาดูเหมือนจะเห็นโลกชัดเจนขึ้น เขาสามารถมองเห็นมดเดินบนพื้นดินได้อย่างชัดเจนมากจากที่ไกล ในรัศมี 10 เมตรเขาสามารถได้ยินทุกอย่างแจ่มแจ้ง