เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 8 - พลังอันศักดิ์สิทธิ์
บทที่ 8 พลังอันศักดิ์สิทธิ์
วันนี้ ชิงสุ่ยได้เข้าการฝึกฝนการต่อสู้ประจำวันของเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง นี้คือสิ่งที่ชิงสุ่ยเคยวาดฝันเอาไว้นับไม่ถ้วน ในอดีตที่ผ่านทุกครั้งที่เขาเดินผ่านลานฝึก เขาได้แต่มองดูการฝึกฝนการต่อสู้อยากพากเพียรของเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง จากที่ไกลๆ
เมื่อเขาได้รับพลังคืนมา สิ่งแรกที่เขาตัดสินใจทำคือการเริ่มต้นบ่มเพาะพลัง และสิ่งที่สองที่ตัดสินใจทำ คือ การเข้าร่วมฝึกฝนการต่อสู้ประจำวันของเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ผู้อาวุโสที่ดูแลควบคุมการฝึกฝน มีนามว่า ชิงไฮ เขาคือบุตรชายคนที่ 4 ชิงหลัว และเป็นบิดาของเพื่อนสนิทของเขาชิงฮู
การบ่มเพาะเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า จะนับเฉพาะผู้ที่มีพลังบรรลุตั้งแต่ขั้นอาณาจักรพลังปราณนักรบ อาณาจักรพลังปราณปราบฟ้า ไปจนถึงขั้นอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ และยังแบ่งย่อยๆอีก 10 ระดับ เหล่าเยาวชนสมาชิกตระกูลชิง จะถูกแบ่งเป็น 3 ระดับ ขั้นต่ำ ขั้นกลาง และขั้นยอดยุทธ
สำหรับผู้ฝึกซ้อมที่อยู่ในขั้นตอนอาณาจักรพลังปราณฝึกหัด ไม่ต้องถูกแบ่งแยกเป็น 10 ระดับ หลังจากที่ฝึกฝนอยู่ในระดับอาณาจักรพลังปราณฝึกหัดเป็นเวลาอย่างน้อย 3 ปี หากสามารถสร้างรูปแบบของพลังปราณได้ เขาจะอยู่ในอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 1 ทันที อย่างน้อยก็เป็นระดับที่ต่ำสุด
หลังจากชิงสุ่ย สร้างรูปแบบเส้นพลังปราณได้นั้น เขาย่อมรับว่าเขาอยู่แค่เพียงอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 1 เขาถือเป็นหนึ่งพวกที่อ่อนแอที่สุดในเหล่าสมาชิกรุ่นเยาว์ทั้ง 3 รุ่น แต่เขากลับมีความสุขมากที่สุด และมั่นใจมากที่สุดในหมู่เยาวชนทั้งหมด
“ชิงสุ่ยข้าขอแสดงความยินดีด้วย ในที่สุดเจ้าเองบรรลุความปรารถนาของเจ้าแล้ว!” ชิงฮูเพื่อนสนิทชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับ ยิ้ม.
ชิงสุ่ยพยักหน้า วันนี้เป็นแรกที่เขาเข้ามาฝึกอย่างเป็นทางการ ณ สนามฝึกของตระกูล เมื่อชิงสุ่ยเข้าสู่สนามฝึก เขาค่อยๆสำรวจสถานที่แห่งนี้ สถานที่แห่งนี้พื้นถูกปูด้วยกระเบื้องมหาศาลที่สร้างขึ้นมาจากชิ้นส่วนของหินสีฟ้าและหลังคามีรูปทรงคล้ายกับศาลา
ทุกคนที่มาฝึกฝนที่นี้คือผู้บ่มเพาะ พวกเขามาพร้อมกับจุดประสงค์เพียงหนึ่งเดียว พวกเขาให้ความสำคัญในการบ่มเพาะโดยไม่คำนึงถึงสิ่งอื่น
การบ่มเพาะเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าจะต้องฝึกฝนในชั้นใต้ดิน ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เขาจะได้รับห้องใต้ดินส่วนตัว เพื่อใช้ฝึกฝน ส่วนสนามฝึกซ้อม ใช้สำหรับเพิ่มพลังความแข็งแกร่ง และใช้ปรับปรุงเคล็ดวิชาป้องกันตัว รวมทั้งฝึกทักษะการต่อสู้ตัวต่อตัว ซึ่งตามธรรมเนียมของตระกูลชิง จะอนุญาตให้เฉพาะเหล่าเยาวชนเท่านั้นเข้าฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้หลังจากที่เยาวชนเหล่านี้ได้ฝึกฝนพื้นฐานมากแล้ว
ในสนามฝึกซ้อมตอนนี้ เหล่าเยาวชนกำลังฝึกฝนกันอย่างแข็งขัน สำหรับเหล่าผู้ที่อยู่ในขั้นต่ำ ต่างฝึกฝนเคล็ดวิชาออกกำปั้นง่ายๆเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของร่างกาย
โดยปกติเยาวชนที่จะสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ได้ก็ต่อเมื่อเขาได้ฝึกฝนเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าจนเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 6!!!
ท่ามกลางเหล่าเยาวชนะรุ่นใหม่ตระกูลชิง มีเพียงชิงจือและชิงหยูเท่านั้น ที่มีคุณสมบัติมาพอที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาการต่อสู้ ที่เหลือไม่มีคุณสมบัติเพียงพอที่จะได้รับอนุญาตให้ฝึกฝน สมาชิกที่เหลือทำได้เพียงเฝ้ารอคอยวันนั้นจะมาถึง
นอกจากนี้ พวกเขาไม่อาจรอช้าได้ ทุกคนเร่งฝึกฝนเพื่อให้ดอกบัวกลีบแรกปรากฎตัวขึ้นมา แต่คนส่วนใหญ่ดอกบัวจะปรากฏกลีบแรกก็ต่อเมื่อบรรลุในระดับอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ขั้นที่ 7 เมื่อดอกบัวกลีบแรกปรากฏขึ้นเขาผู้นั้นจะได้ความสามารถทั้งด้านป้องกันและการจู่โจม
ในตระกูลชิงผู้ที่บรรลุอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 6 สามารถเข้าฝึกฝน หรือไม่เข้าร่วมก็ได้ ดังนั้นชิงสุ่ยจึงไม่ได้พบกลับหลานคนโต ชิงหยู หรือจะเป็นยอดอัจฉริยะแห่งตระกูลชิง ชิงจือ
ขณะนี้ชิงสุ่ยกำลังมองดูชิงฮูทดสอบยกหินที่มีน้ำหนักประมาณ 200 จิน ในตอนแรกชิงสุ่ยต้องการที่จะทดสอบยกหินดู แต่เมื่อพิจารณาระดับของชิงฮูแล้ว เขาละทิ้งความคิดนั้นทันที
ชิ่งสุยแสดงออกในอารมณ์แบบผู้ใหญ่ เขาไม่ได้กลัวเสียหน้าเลย แต่เขาคิดวิเคราะห์ถึงระดับตัวเองเมื่อเทียบกับเหล่าเยาวชนคนอื่น เด็กอายุเพียงแค่ 8 ปี สามารถยกหินหนัก 20 จินได้ มันถือได้ว่าเป็นคนพิเศษมากในโลกใบเก่าของเขา
ชิงสุ่ยมองไปรอบ ๆ และตัดสินใจที่จะทดสอบความแข็งแรงของเขาโดยการยกหิน 50 จิน แม้เขาจะมีร่างกายขนาดเล็ก เขาสามารถเสริมความแข็งแรงให้แก่ร่างกายเขาโดยใช้เคล็ดวิชากายาบรรพกาล เขาจึงสามารถเค้นระดับพลังงานที่สูงกว่าคนอื่นได้
ชิงสุ่ยวางมือรอบหินใช้กำลังความสามารถทั้งหมดที่เขามี พยายามที่จะยกมัน หลังจากนั้นก็มีเสียงหัวเราะจำนวนมากดังขึ้น และดังขึ้น ในสถานที่ฝึกซ้อม เพราะชิงสุ่ยทำท่าที่พยายามยกหินที่หนักและดูเหมือนชิงสุ่นจะล้มลง
เมื่อเขาพยายามที่จะยกหิน 50 จินเขากลับไม่รู้สึกถึงน้ำหนักของมัน แต่ที่เขาล้มลงเพราะเขาพยายามออกแรงไม่คงที จนเขาไม่สามารถควบคุมศูนย์ถ่วงระหว่างร่างกายของเขาได้ และแล้วเสียงที่หัวเราะดูถูกของพวกเขาก็เงียบลงทันที
“พวกเจ้าหัวเราะอะไรกัน? กลับไปทำสิ่งที่พวกเจ้าต้องทำซะ ” เสียงคำรามอันน่ากลัวออกจากเด็กหนุ่มที่ห้าวหาญวัย 14-15 ปี เท่านั้น
ชิงฮูเศร้าใจเป็นอย่างมากเมื่อมองดูสายตาเหยียดหยามที่ส่งมาให้ชิงสุ่ย
ชิงฮูรีบเดินไปที่ด้านข้างของชิงสุ่ย
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหมชิงสุ่ย? บางทีมันอาจจะดีกว่าถ้าเจ้าเริ่มต้นด้วยสิ่งที่เล็กกว่านี้ ? “ชิงฮู กล่าวพร้อมแสดงออกถึงสายตาที่เป็นกังวล
ชิงสุ่ยพึงพอใจมากขณะที่เขารู้สึกได้ถึงความจริงใจของชิงฮู สำหรับเสียงหัวเราะเยาะเย้ยที่สะท้อนออกมาก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยไม่ได้ให้ความสนใจเกี่ยวกับมันเลยแม้แต่น้อย
“ข้าไม่เป็นไร ขอบคุณเจ้ามากชิงฮู” ชิงสุ่ยยิ้ม
เยาวชนที่เปล่งเสียงอันกล้าหาญเดินเข้าไปหาชิงสุ่ย
“ชิงสุ่ยเจ้าไม่เป็นไรใช่หรือไม่ ? อันดับแรกเจ้าควรอบอุ่นร่างกายของเจ้าโดยการวิ่งออกกำลังกาย หรือฝึกฝนเคล็ดวิชาออกกำปั้นเพื่อเสริมสร้างความยืดหยุ่นของร่างกายเจ้าก่อนที่จะทดสอบยกหินหนัก 50 จิน” เยาวชนคนนั้นกล่าวสั่งสอน
” ขอบคุณท่านมากสำหรับคำชี้แนะ ” ชิงสุ่ยตอบพร้อมกับรอยยิ้ม ชิงสุ่ยรู้ว่าเยาวชนที่ช่วยเขามีนามว่า “ชิงหยาง” ในสมาชิกตระกูลชิงรุ่นที่ 3 เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งรองจากชิงจือ และชิงหยู ระดับพลังปัจจุบันของเขาได้ก้าวไปยังจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 5!!! ในอดีตที่ผ่านมาเขาไม่เคยหัวเราะเยาะเย้ยชิงสุ่ยเลยรวมทั้งเขายังช่วยเหลือชิงสุ่ยในบางครั้ง ดังนั้นชิงสุ่ยจึงค่อนข้างมองเขาในแง่ดี
ชิงหยางยังคงยิ้ม ไม่นานก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้เตือนชิงสุ่ยให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้น.
ในสถานที่ฝึกซ้อมแห่งนี้ จำนวนคนที่เข้าร่วมการฝึกนับได้รวมแล้ว 16 คน โดยเฉลี่ยแล้วตระกลูชิงส่วนใหญ่จะเป็นบุตรชาย ยกเว้นครอบครัวของชิงฮู ที่ส่วนใหญ่จะมีแต่บุตรธิดา โดยเฉลี่ยนทุกครอบครัวในตระกูลชิงจะมีบุตรชาย4คนต่อครอบครัว
ชิงฮูมีน้องสาวชื่อว่าชิงเป่ย เธอเป็นผู้หญิงที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 3
” พี่ชิงจุ่ย พี่ต้องดูแลเส้นชีพจรของพี่ให้ดีนะ อย่าทำให้ป้าอี้เป็นกังวลใจในเรื่องของพี่อีกนะ ” ชิงเป่ย เปิดตากว้างและพยายามที่จะถ่ายทอดความรู้สึกเป็นห่วงขณะที่เธอพูดด้วยน้ำเสียงที่แสนน่าเอ็นดูออกมา
ชิงสุ่ยมองไปที่สาวน้อยน่ารักในด้านหน้าของเขาอย่างจริงจังพร้อมกับพยักหน้าเธอ
ชิงสุ่ยเกือบลืมไปแล้วว่าเขาเองก็อายุเพียง 8 ปีเท่านั้น
หลังจากความล้มเหลวครั้งแรกสิ้นสุดลง ชิงสุ่ยก็พยายามอีกโดยเขาค่อยๆปรับแรงให้สมดุล เขาค่อยๆยกหินหนัก 50 จิน จนสำเร็จ ! ! ! เขารู้สึกว่า หินน้ำหนัก 50 จิน เบาราวกับขนนกเลยที่เดียว หลังจากนั้นเขาค่อยเริ่มยกหินที่หนักขึ้นไปถึง 80 จิน และเพิ่มขึ้นเป็น 100 จิน 180 จิน . . .
ตอนนี้เขาได้เพิ่มน้ำหนักมาถึง 200 จิน เยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง ได้จับจองสายตาทั้งหมดมายังที่ชิงสุ่ย รวมทั้งชิงหยางก็เริ่มจับตาดูชิงสุ่ยพร้อมทั้งแสดงออกถึงความน่ากลัว ถ้าชิงไฮ พ่อของชิงฮูยังคงอยู่เขาคงมองด้วยสายตาที่ประหลาดใจอย่างแน่นอน
ชิงสุ่ย พยายามยกหินหนัก 200 จินขึ้น ปรากฏว่าเขาต้องใช้พลังงานมากขึ้นแต่มันก็ยังคงสำเร็จ ! ! ! ความสำเร็จของเขาทำให้ทุกคนตกใจและเกิดความเงียบสงัดขึ้นชั่วขณะ
ชิงสุ่ยรู้สึกตื้นตันใจมาก เพราะเมื่อเขายกหินที่หนักถึง 180 จินนั้นเขาเกือบทำพลาด เพราะเขายังไม่เข้มแข็งพอ อย่างไรก็ตาม ในตอนนั้น พลังปราณเส้นสีเหลืองจากเคล็ดพลังกายาบรรพกลา เริ่มหมุนเวียนโดยไม่ได้ตั้งใจ ชิงสุ่ยอาจรู้สึกพลังที่ไหลเวียนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จึงทำให้เขายกก้อนหินหนัก 180 จินได้
เมื่อเขายกหินที่หนักถึง 200 จินได้ เขาไม่ต้องการให้ทุกคนสับสนและทำให้คนที่เห็นคิดว่าเขาเป็นปีศาจ เพราะเขาไม่สามารถอธิบายถึงความแข็งแกร่งโดยฉับพลันแบบนี้ได้ แต่อย่างไรก็ตามเขาก็สามารถยกหินหนัก 200 จินนี้ได้
” ชิงสุ่ย! ภายใต้รูปร่างที่บอบบางของเจ้า แต่เจ้ากลับแข็งแกร่งขนาดนี้” เมื่อตอนข้ายกหินหนัก 200 จิน ข้าต้องใช้ถึงเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าเพื่อช่วยข้า แต่ เจ้า. . . . . เจ้าสามารถยกมันขึ้นได้ โดยใช้เพียงร่างกายที่แข็งแรงของเจ้า ” ชิงฮู ชื่นชมออกมาโดยไร้ซึ่งความอิจฉาแม้แต่น้อย
ชิงสุ่ยยิ้มอย่างเขิลอายๆ แล้วบอกว่า ” หลังจากนี่ก็ไม่ไหวแล้วล่ะ เกิดขีดจำกัดของข้าแล้ว “
และแล้วการฝึกซ้อมก็สิ้นสุดลง ทุกคนค่อยๆเดินออกไป ตอนแรก ชิงฮูจะไปส่งชิงสุ่ย แต่ชิงสุ่ยปฏิเสธพร้อมบอกว่า เขายังต้องการที่จะฝึกเพิ่มเติมอีก
เมื่อชิงสุ่ยก็อยู่คนเดียวในสนามซ้อม เขาเดินตรงไปยังหินใหญ่ที่สุดในกลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 3 หินก้อนนี้หนักประมาณ 800 เฉพาะผู้ที่อยู่จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบ ขั้นที่ 5!!!! เท่านั้นที่จะยกได้