เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 5 – การบ่มเพาะพลัง ชิงสุ่ย
บทที่ 5 – การบ่มเพาะพลัง ชิงสุ่ย
วันนี้เป็นวันที่เงียบสงบมาก แต่ความจริงที่ว่าชิงสุ่ยไม่สามารถสร้างรูปแบบพลังชีลำดับแรกได้นั้นยิ่งผลักดันให้เขาฝึกเคล็ดวิชากายาบรรพกาล เขาเชื่อว่าเขาจะประสบความสำเร็จเร็วๆนี้
ส่วนสัญลักษณ์ หยิน – หยาง ในทะเลแห่งปัญญาได้ปลดปล่อยพลังเพื่อเสริมสร้างร่างกายตลอดเวลา ชิงสุ่ยรู้สึกการบ่มเพาะพลังปราณค่อยๆเพิ่มพูนขึ้น การปรับปรุงที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงแค่กล้ามเนื้อแต่รวมถึงกระดูกและอวัยวะต่างๆที่ได้รับการปรับปรุงอย่างรุนแรง
ชิงสุ่ยยังคงดูอ่อนแอและบอบบาง อย่างไรก็ตาม ภายในร่างที่อ่อนแอและบอบบางตอนนี้เขาสามารถสัมผัสถึงหวงของพลังที่ไม่เคยมีมาก่อน.
ชิงสุ่ยรู้ว่าเขาควรเปิดเผยความสามารถของตัวเองในปัจจุบัน เขาได้สร้างรากฐานของพลังและเริ่มฝึกเคล็ควิชาการต่อสู้ ตอนแรก ชิงสุ่ยวางแผนที่จะเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่เขาอยากให้แม่ของเขาตระหนักได้ว่าความหวังที่เป็นจริงแล้ว ดังนั้น ชิงสุ่ยตัดสินใจบอกเรื่องนี้แก่แม่ของเขา ชิงอี้!!!
ในขณะที่เขากลับมาจากภูเขา ภายในสวนของบ้านตระกูลชิง สมาชิกตระกูลทั้ง 3 รุ่น กำลังฝึกฝนเคล็ควิชาของตระกูลชิง อย่างขยันขันแข็ง เคล็ควิชานั้นคือ ดอกบัวปราณฟ้า
เนื่องจากชิงสุ่ยไม่สามารถฝึกฝนพลังยุทธมาเป็นเวลาหลายปี ตอนนี้ระยะห่างระหว่างพลังของเขากับเยาวชนตระกูลชิงคนอื่นๆนั้นมีช่องว่างขนาดใหญ่มาก ดังนั้น เยาวชนตระกูลชิงมักจะไม่ใส่ใจเมื่อเห็น “ขยะ” เดินผ่าน
ในส่วนในสุดของที่พักตระกูลชิง ชิงอี้ก็มายืนรออยู่ในบ้าน นี้เป็นสถานที่ที่ทั้งแม่และลูกอยู่ทั้งหมดในชีวิตของพวกใช้ชีวิตอันเรียบง่ายอยู่ด้วยกัน ที่แห่งนี้มีสวนเล็กๆ ที่นี่ เต็มไปด้วยต้นไม้ และดอกไม้ แหล่งน้ำคล้ายทะเลสาบขนาดกลางกับปลาคาร์พสีฟ้าว่ายวนอย่างสบายใจ มันให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายขณะที่พวกเขาจ้องมองไปที่สวนแห่งนี้
ชิงอี้ยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบ ใบหน้าอันงดงามรวมกับความอ่อนโยน แม้แต่นกที่โผบินผ่านยังต้องหันมามองจนลืมวิธีการบิน ปลาที่ว่ายแทบจะลืมวิธีว่ายน้ำทันทีทันใด(สำนวนจีนเปรียบเทียบหญิงงาม) ตอนนี้ อี้ชิงเปรียบเหมือนภาพของความงามที่สมบูรณ์แบบ! อย่างไรก็ตาม มีบางครั้งที่เธอได้ปลดปล่อยสัมผัสแห่งความเศร้าออกจากจิตใจของเธอ
ชิงสุ่ย จ้องมองแม่ของเขาจากสถานที่ที่ไกลออกไป หลายครั้งหลายคา เขายังคงเห็นชิงอี้ที่ยืนอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เดียวกันแน่นอน
“เฮ้อ . . . . . . . ข้าสามารถทำอะไรได้บ้างตอนนี้ ?” เพื่อให้บรรลุความต้องการของท่านแม่ ข้าจะต้องเข้มแข็ง …….. ข้าจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่าตอนนี้
ชิงสุ่ยแอบลักลอบเข้าไปหาแม่ของเขาพร้อมตะโกนเสียงดัง “แม่ลูกกลับมา ลูกสบายดีแล้ว ” เขาไม่ต้องการให้แม่ของเขาต้องจมอยู่กับความสิ้นหวัง ชิงสุ่ยตัดสินใจประกาศการมาถึงของเขาเพื่อให้แม่ของเขาสังเกตเห็นเขา
และมันเป็นอย่างที่เขาคิด เมื่อชิงอี้ได้ยินเสียงของเขาเธอเปลี่ยนสีหน้าทันที ทักทายเขาด้วยรอยยิ้มราวกับความเศร้าไม่เคยมีอยู่เลย
ชิงสุ่ย รู้สึกถึงความเจ็บปวดข้างในจิตใจของเขา แม่ต้องทนอยู่กับความเศร้าและความลำบาก แต่เพื่อไม่ให้ข้าเป็นกังวล แม่จึงต้องแกล้งทำเป็นมีความสุขต่อหน้าข้า แต่เมื่อถึงเวลากลางคืน เวลาซึ่งไร้ผู้คน แม่มักจะร้องไห้ออกมา .
“ท่านแม่ ตอนนี้ร่างกายหายดีแล้ว ! ตอนนี้ลูกสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้แล้ว ! ” ชิงสุ่ยยิ้มอย่างความสุข
ชิงสุ่ยอยากเห็นร่องรอยแห่งความสุขจากใบหน้าของแม่ของเขา และต้องการให้ความหวังที่ส่งมาจากสายตาของเธอนั้นเป็นความจริงขึ้นมา
” ลูกแม่ไปทำอะไรผิดมาใช่ไหม อย่าให้แม่ต้องเป็นกังวลนะ แม่อยากให้ลูกมีแต่ความสุข ” ชิงอี้ ดุด่าชิงสุ่ยเล็กน้อย เพราะมันแทบเป็นไปไม่ได้เลยเนื่องจากผู้เชี่ยวชาญทุกคนลงความเห็นว่าชิงสุ่ยไม่มีทางที่จะบ่มเพาะพลังได้อีกแล้ว เพราะร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจของเขาอ่อนแอมากเกินจะรับไหว
ชิงสุ่ยรู้ว่าไม่มีทางที่แม่ของเขาจะเชื่อเขาง่ายๆ
“ท่านแม่ มันคือเรื่องจริงนะ ช่วงนี้ท่านปู่สกัดซุปโสมสีม่วงมาให้ลูกกิน ท่านปู่บอกว่าโสมพวกนี้อายุมากถึง 100 ปีเชียว!” ชิงสุ่ยพูดอย่างตื่นเต้น ในลักษณะแบบเด็กๆ
หลังจากได้ฟังเรื่องนี้ ชิงอี้รู้สึกว่ามีโอกาสเป็นไปได้น้อยมากที่ชิงสุ่ยจะสามารถบ่มเพาะพลังได้จริง ๆ ! เธอให้ชิงสุ่ย บอกรายละเอียดทุกอย่างว่าเกิดอะไรขึ้น เธอต้องการความชัดเจนก่อนการตัดสินใจเชื่อ
” เมื่อสองวันก่อน หลังจากลูกดื่มโสม 100 ปี ลูกรู้สึกเต็มไปด้วยพลัง มันทำให้ปัญหาโรคหอบของลูกหายไป แม่เคยห้ามไม่ให้ลูกวิ่งเพราะการทำงานของหัวใจอ่อนแอเกินกว่าจะรับไหว อย่างไรก็ตาม ตอนนั้น ลูกอาจจะรู้สึกถึงพลังงานอันไร้ขอบเขตภายในร่างกายลูก ดังนั้น ลูกจึงวิ่งเร็วขึ้น และเร็วขึ้น วิ่งขึ้นเขาและวิ่งกลับลงมาที่บ้านแห่งนี้ แต่ร่างกายลูกก็ไม่มีผลกระทบแต่อย่างใดเลย ” ชิงสุ่ยรีบอธิบาย
” นี้คือเรื่องจริงเหรอ . . . ? ชัวเอ๋อ เจ้าพูดเรื่องจริงใช่ไหม ! ” ชิงอี้กล่าวพร้อมกับดวงตาเปี่ยมไปด้วยน้ำตา
” นี้คือเรื่องจริงท่านแม่ แม้แต่ท่านปู่ก็รู้เรื่องนี้ ท่านปู่ตรวจสอบชีพจรของลูกแล้ว และบอกว่าชีพจรลูกถูกปรับแต่งแล้ว เขาต้องการพาฉันกับหมอวู ลูกเลยมาชวนท่านแม่ไปด้วย ! ” ชิงสุ่ย ดึงที่แขนของแม่ของเขาเล็กน้อย
ตามที่เขาพูด ” เอาล่ะ ! งั้นเราไปด้วยกันเถอะ ! ” ชิงอี้ยิ้มอย่างมีความสุข พร้อมจูงมือของชิงสุ่ยไปด้วย เธอพยายามลดความตื่นเต้นแต่หัวใจของเธอเต้นอย่างรุนแรง ชิงสุ่ยรู้สึกได้ ตอนนี้อาจเป็นเพียงความสุขชั่วคราว แต่ในอนาคต ลูกจะทำให้แน่ใจว่า ท่านแม่จะต้องมีความสุขตลอดไป !
” ยินดีด้วยขอรับท่านผู้นำตระกูลชิง ! ร่างกายของคุณชายชิงสุ่ยนั้นทำงานเป็นปกติดี อันที่จริงแล้ว อวัยวะภายในของคุณชายชิงสุ่ยนั้นยังแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปเสียอีก แถมอัตราการบ่มเพาะอยู่ในขั้นที่น่าอัศจรรย์จริงๆ ! ” หมออู๋กระตือรือร้นตอบ
เพียงแค่ไม่กี่ประโยค จากหมอวูที่ยืนยันการฟื้นตัวของชิงสุ่ย ทำให้ชิงอี้หลั่งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ เธอกอดชิงสุ่ยไว้อย่างแนบแน่น ชิงสุ่ยยิ้มขณะที่เขารู้ว่าน้ำตาเหล่านี้มิไม่ได้เกิดจากความเจ็บปวด แต่มาจากความสุขที่แท้จริง
” แม่สุดที่รักของลูกได้โปรดหยุดร้องไห้เถิดนะ ” ชิงสุ่ย ค่อย ๆเช็ดน้ำตาออกจากใบหน้าของเธอ
หลังจากพาคุณหมอวู กลับตำหนักไป ชิงหลัวแสดงสีหน้าอันแปลกประหยาดใจขึ้นบนใบหน้าของเขา
ตอนแรก ชิงสุ่ยพลังการบ่มเพาะรวมทั้งร่างกายที่อ่อนแอมาก ไม่เหมาะสมกับการฝึกเคล็ดวิชาการต่อสู้ ยิ่งชิงสุ่ยเป็นถึงบุตรชายของบุตรสาวที่เขารักยิ่ง ชิงหลัวเสียใจเป็นอย่างมากอย่างไรก็ตาม หลังจากที่หมอวูกล่าวมานั้น หลังจากนี้หลานของเขาย่อมจะต้องแข็งแกร่งกว่าคนที่อยู่ในระดับพลังเดียวกันเป็นแน่แท้ ถ้าหลานของข้าเติบใหญ่ขึ้น เขาจะต้องกลายเป็นยอดอัจฉริยะอย่างแน่นอน เขาจะต้องแก้แค้นให้แก่แม่ของเขาอย่างแน่นอนในอนาคต เฮ้อ หรือว่านี่คงเป็นกรรมที่ฟ้าลิขิต .
” ท่านปู่ ท่านแม่ ลูกต้องการบ่มเพาะฝึกฝนพลัง ! ” จากคำกล่าวของชิงสุ่ยทำให้ทั้งชิงหลัวและชิงอี้ ตกใจเป็นอย่างมาก