เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 31 – ข้อจำกัดแห่งดินแดนต่างมิติ
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- บทที่ 31 – ข้อจำกัดแห่งดินแดนต่างมิติ
บทที่ 31 – ข้อจำกัดแห่งดินแดนต่างมิติ
หลังจากที่ชิงสุ่ยรู้เคล็ดลับกลไกต่างในดินแดนหยกยุพราชอมตะ ช่วยไม่ได้ที่มันจะทำให้เขายิ้มอย่างมีความสุขแม้กระทั่งเวลานอน ตอนนี้เขานั้นเปรียบดั่งราชันย์ในดินแดนแห่งห่วงมิติอากาศ เขาหาได้มีความจำเป็นที่จะแบกกระเป๋าสะพานหลังไปไหนมาไหนอีก เขาสามารถจัดเก็บมันได้เปรียบดั่งแหวนห้วงมิติ ตอนนี้เขาไม่อาจกลั่นเสียงหัวเราะได้อีกแล้ว ดูเหมือนความโกรธ ความกังวลทั้งหมดจะถูกปลดปล่อยออกมาตามเสียงหัวเราที่ดังสนั่นของเขา
จากกระเป๋าสะพายไร้ประโยชน์ ชิงสุ่ยหยิบมีด หินไฟ เกลือ และถ้วยดินออกมา เขาหากิ่งไม้แห้งจากรอบๆตัว เพื่อใช้มันเป็นฟืน
“เจ้ามองหน้าหาบิดาเจ้ารึ เจ้าไก่โง่ ถ้าเจอยังกว่าฟื้นขึ้นมากอีก เจ้าก็ยังต้องตายเหมือนเดิม ดูเหมือนวันนี้เจ้าคงต้องถูกข้าเสียบทำบาร์บีคิวย่าง ดูเหมือนเส้นเอ็นและกล้ามเนื้อของเจ้านั้นช่างสมบูรณ์ยิ่งนัก หากข้ากินเจ้ามันคงบำรุงร่างกายข้าได้อย่างดีเยี่ยม” ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมทั้งถอนขนเจ้าแร้งเคราะห์ร้ายตัวนี้
ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ ชิงสุ่ยนั้นเหือบต้องตายจากการขาดน้ำ แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับแปรพลัน เขามีน้ำจำนวนมาก ชิงสุ่ยใช้น้ำจากดินแดนยุพราชอมตะ ในการล้างทำความล้างซากศพ มันช่วยไม่ได้ เขารู้สึกว่ามันเป็นการเสียของ เขาจำเป็นต้องใช้มันเพื่อกำจัดของเสียไปอย่างนั้นรึ? เขาทำได้เพียงสั่นหัว ชิงสุ่ยไม่แน่ใจว่าน้ำนี้จะถูกเติมเต็มอีกหรือไม่ เขาจึงทำเครื่องหมายเพื่อวัดระดับของน้ำ จากการสังเกตเบื้องต้นเขาพบว่าแหล่งน้ำแห่งนี้จุน้ำได้ถึง 800,000 ลิตร
ชิงสุ่ยตัวชิ้นเนื้อขนาดใหญ่จากด้านหลังขาของแร้งยักษ์และลงมือย่างมัน ก่อนหน้านี้เขาพยายามสังเกตเวลาที่สมาชิกในตระกูลชิงทำมัน เขาพยายามที่จะทำตามแต่ดูเหมือนมันจะไม่ง่ายเอาซะเลย
ผลจากการทดลองย่างครั้งแรก ไฟจากการปรุงของเขานั้นทำให้เนื้อข้างใดข้างนึงดำไหม้เกรียม แต่หลังจากที่เขาพยายามย่างอีกไม่กี่ครั้ง เขาก็ย่างมันได้สำเร็จจนกลายเป็นเนื้อที่ดูน่ากิน
การที่เขาพยายามไม่กินมันสดๆเพราะกังวลถึงอันตราย หลังจากที่ได้เนื้อที่สวยงาม เขากินอาหารที่เตรียมไว้อย่างเอร็อร่อย หลังจากที่ความหิวของเขาถูกเติมเต็ม เขามองไปยังซากศพของแร้งยักษ์ แม้การปรุงอาหารก่อนหน้านี้ของเขาจะทดลองไปหลายครั้ง แต่ที่เห็นได้ชัดคือ มวลของมันนั้นแทบไม่ลดลงเลย ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจเก็บมันเข้าไปในดินแดนหยกยุพราชอมตะ
ช่วยไม่ได้ที่ชิงสุ่ยต้องอุทานออกมา“อ่า นี้ต้องโชคชะตาที่สวรรค์ต้องการให้ข้าเป็นแน่ จี้ที่ข้าเก็บมานั้น มันต้องเป็นสมบัติจากสวรรค์อย่างแน่นอน ไม่มีสิ่งใดจะที่จะทำให้ข้ามีความสุขได้เพียงนี้” แม้ว่าชิงสุ่ยจะไม่เคยได้ริมลองความสุขจากสตรี เขาไม่รีบร้อน เพราะเขารู้ว่าโลกใบนี้ความแข็งแกร่งและอำนาจเปรียบดั่งทุกสิ่ง หากวันใดเขานั้นแข็งแกร่งมากพอ หากเขาบังคับขื่นใจสตรี จะมีสตรีผู้ใด กล้าขัดใจเขา หากเปรียบเทียบกับจี้หอยคอ คนบางคนอาจต้องใช้โชคทั้งชีวิตก็ไม่เพียงพอที่จะได้รับมัน
ในตอนที่เขาเริ่มสติร่องลอยจากอาการบาดเจ็บ เขาได้รับคำเตือนจากจี้ห้อยคอ “ให้ตายเถอะ ในอนาคตหากข้าต้องหลั่งเลือดทดสอบมันอีกครั้ง ใครจะรู้ว่าสิ่งที่จะปรากฏอาจจะเป็นสมบัติสวรรค์ชิ้นอื่นๆก็เป็นได้”
หลังจากสู้รบกับแร้งยักษ์และการปรุงอาหารได้เสร็จสิ้น ดวงอาทิตย์เริ่มขึ้น ณ เส้นขอบฟ้า แสงอันรุ่งโรจน์ท่อประกายไปทั่วอาณาจักร ตามภูเขาเรืองแสงประกายสีทอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภูเขาบางลูกนั้นท่องแสงประกายสีทองโชติช่วงราวกับรูปปั้นพระพุทธรูป
ปัจจุบันชิงสุ่ยไม่เคยตื่นเต้นเท่านี้มาก่อนเลย สถานะปัจจุบันของเขานั้นมีบางอย่างเปลี่ยนไป “เข้าสู่ขั้นที่ 2 แห่งการหยั่งรู้ที่แท้จริง พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ก่อนภาวนา เห็นภูเขาเป็นภูเขา และแม่น้ำยังคงเป็นแม่น้ำ” แม้จะเติบโตท่ามกลางกองอุจจาระสุนัข พืชพันธุ์ยังคงเติบโตขึ้นอย่างสวยงาม
“ข้าลืมมันไปซะสนิทเลย ข้าจะต้องกลับไปบ่มเพาะพลังในดินแดนยุพราชอมตะ ในอัตราส่วนเวลา 100:1 ข้าจะต้องได้รับผลประโยชน์จากมันมากที่สุด” ชิงสุ่ยเคลื่อนย้ายตนเองไปยังห้วงมิติตามความต้องการของเขา ตอนนี้บรรยากาศช่างสงบยิ่งนัก อากาศในห่วงมิตินี้มีความหนาแน่นของพลังปราณวิญญาณมาก มากซะยิ่งกว่าโลกภายนอกเสียอีก
ชิงสุ่ยนั่งลงแล้วเข้าสู่การทำสมาธิพร้อมเปิดใช้เคล็ดวิชากายาบรรพกาล
ปราณโคจรรอบที่ 1 ปราณโคจรรอบที่ 2………… 5 ปีที่ผ่านมา เขาโคจรเพิ่มขึ้นเป็น 48 รอบ เวลานี้เขาได้เปิดใช้เคล็ดวิชาอย่างสมบูรณ์ มันโคจรจนถึงจุดสูงสุด 48 รอบแล้ว ความเร็วการโคจรลดลงเล็กน้อย ชิงสุ่ยไม่ได้รับความรู้สึกกังวล หลังจากนั้นชิงสุ่ยค่อยโคจรปราณจนก้าวข้ามรอบที่ 48 ไป เขาไม่ได้เพิ่มความรีบเร่งเพราะผลของมันอาจทำให้พลังปราณบาดเจ็บได้
เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านไป ชิงสุ่ยบ่มเพาะพลังอย่างช้าๆไม่รีบเร่ง เมื่อใดที่เขารู้สึกเหนื่อยเขาก็จะหยุด เมื่อใดที่เขากระหายน้ำ เขาก็จะดื่มมันเพียงเล็กน้อย วัฎจักรชีวิตของชิงสุ่ยยังคงดำเนินไปเช่นนี้ ความมุ่งมั่นในการบ่มเพาะพลังของเขานั้นราวกับคนบ้า นอกจากนี้เขายังฝึกฝนก้าวไร้วิญญาณ หมัดอสูรสันโดษ และเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งชิงสุ่ยนั้นได้อ่านหนังสือทางด้านการแพทย์ทั้ง 3 เล่มอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน แม้เขาจะใช้เวลาในการฝึกฝนมากมาย แต่เมื่ออยู่ในห่วงเวลาที่ช้ากว่า 100 เท่า เวลาที่เขาสูญเสียไปนั้นช่างเล็กน้อยยิ่ง
ชิงสุ่ยใช้เวลาไปมากในการบ่มเพาะในดินแดนหยกยุพราชอมตะ จนเขาไม่แน่ใจว่ามันผ่านไปยาวนานเท่าใด ทั้งหมดที่เขารู้คือ เนื้อเกือบทั้งหมดนั้นถูกเขาย่างกิน แต่ยังคงมีเสบียงอาหารแห้งที่เขานำมาจากตระกูลชิงเหลืออยู่
หลังจากเขากินเสบียงที่เตรียมไว้ ชิงสุ่ยตัดสินใจที่จะออกจากดินแดนห่วงมิติแห่งนี้เพื่อเตรียมล่าเนื้อสำหรับย่างอีกครั้ง นอกจากนี้ชิงสุ่ยยังค้นพบความลับบางอย่างนั้นคือ อาหารจะยังคงสดใหม่เสมอและไม่สูญสลายตราบใดที่ยังอยู่ในห้วงมิตินั้น
หลังจากที่ชิงสุ่ยเตรียมเนื้อเสร็จและเตรียมที่จะกลับเข้าดินแดนห้วงมิตินั้นอีกครั้ง เขากลับหยุดและตกตะลึง ด้วยเหตุผลบางประการ เขาค้นพบว่าเขาไม่สามารถกลับเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตพได้อีก!!!
“ฮือ ทำไมข้าถึงเข้าไปไม่ได้” ชิงสุ่ยปฎิเสธที่จะเชื่อมัน เขาพยายามจะกลับเข้าไป เมื่อมองไปบนฟ้า ชิงสุ่ยรับรู้ว่าเวลานั้นผ่านไปกว่า 2 ชั่วโมงแล้ว และเขาได้พยายามกลับเข้าไปกว่า 1000 ครั้ง ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางเลือกอีกแล้ว มันจะต้องมีเงื่อนไขบางสิ่งบางอย่างที่ถูกกำหนดให้สามารถเข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะเป็นแน่
ทุกๆ 2 ชั่วโมงที่เขาเสียไปในโลกภายนอก จะเท่ากับ 16 วันในดินแดนห้วงมิติ(ผู้แปลเองก็ไม่ทราบว่า ทำไมอัตราถึงเป็น 192:1 ซะงั้น) ในระหว่างที่เขาดื่มน้ำจากบ่อน้ำ เขาจองมองไปยังจุดสีม่วงที่ตั้งอยู่กลางรหว่างคิ้วของเขา เขารู้อยู่แล้วว่ามันคือจี้ที่ถูกย่อส่วน แต่เมื่อพิจารณาดูดีๆแล้ว มันช่วยไม่ได้ที่เขาจะต้องขมวดคิ้ว เพราะมันทำให้คนภายนอกพิจารณว่าเขานั้นสวยมีเสน่ห์
“ให้ตายเถอ ข้าจะต้องดูเป็นผู้ชายมากกว่านี้ หากไม่ ผู้คนอาจคิดว่าข้านั้นจะเป็นดั่งสาวน้อยเป็นแน่ ฮู้ๆ แต่ไม่เป็นไร อย่างน้อยหากคิดอีกแบบ ยามที่ข้าอดอยาก ข้าอาจจะใช้รูปลักษณ์นี้ในการขออาหารก็เป็นได้” ชิงสุ่ยหัวเราะออกมาเมื่อเขาจินตนาการถึงสถานการณ์แบบนั้น
“อ้ากกก ข้าไม่ได้มีเวลามาตลกเรื่องแบบนี้หรอกนะ” ชิงสุ่ยยังคงพยายามที่จะกลับเข้าไปในห้วงมิติแต่มันก็ไร้ประโยชน์ เหงื่อที่ไหลราวกับลำธารปรากฏขึ้น
“ไอ้สารเลว หยุดล้อเล่นกับข้า หากข้ายังไม่สามารถกลับเข้าไปได้ ข้าจะกระโดดหน้าผาให้เจ้าดู” ชิงสุ่ยสบถออกมา
หลังจากตะวันลับขอบฟ้า ท้องฟ้าทั้งหมดมืดลง ชิงสุ่ยยังคงไม่ละทิ้งความพยายามจนเวลานั้นล่วงเลยไปถึงยามจื้อ(ยามจื้อคือเวลา 23.00-01.00 นาฬิกา)
ยามราตรีนี้พระจันทร์เต็มดวง ทอแสงสีขาวลงมา ให้ความสว่างแก่เหล่าภูเขาน้อยใหญ่ น่าเสียดายที่ชิงสุ่ยนั้นไม่ได้อยู่ในอารมณ์ที่จะชื่นชมทัศนียภาพเหล่านั้น เขาวิตกกังวลกับสถานการณ์ปัจจุบันจนแทบคลั่ง มือของเขานั้นขยายไปจับระหว่างคิ้วเพื่อยืนยันถึงการมีอยู่ของจี้หยกอันนั้น
ในชั่วโมงต่อมา ชิงสุ่ยยังคงพยายามที่จะเข้าไปยังดินแดนนั้นเช่นเคย แต่ก็ยังไม่อาจเข้าไปได้ ไม่ว่าเขาจะทำสิ่งใด มันก็ไม่อาจทำให้จิตใจของเขาสงบได้
หลังจากที่ยามจื้อผ่านพ้นไป ชิงสุ่ยพยายามอีกครั้ง เขากลับต้องประหลาดใจ ในที่สุดความพยายามของเขาก็สำเร็จ ทันทีที่เขาได้เข้าสู่ดินแดนหยกยุพราชอมตะ น้ำตาของเขาก็ไหลออกมาทันที่ ในที่สุดเขาก็ประสบความสำเร็จเสียที
“กลับสู่ดินแดน”
“ออกจากดินแดน”
“กลับสู่ดินแดน”
“ออกจากดินแดน”
จากความล้มเหลวทั้งหมดที่เขาได้รับก่อนหน้านี้ ทำให้ชิงสุ่ยทดลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลังจากนั้นเพียงไม่กี่วัน ในที่สุดชิงสุ่ยก็ค้นพบเหตุผลที่แท้จริงว่าระยะเวลาที่ยาวนานที่สุดที่จะสามารถอยู่ได้ในดินแดนหยกยุพราชอมตะนั้นจะอยู่ได้ประมาณ 15-16 วันเท่านั้นหรือเทียบเท่ากับ 2 ชั่วโมงในโลกภายนอกและในทุกๆคืนหลังจากยามจื้อผ่านพ้นไป วัฎจักรทั้งหมดจะเริ่มต้นใหม่
“ทำไมไอ้วัฎจักรนี้ถึงไม่ได้จารึกไว้บนอนุสรหินนั้นมันทำให้ข้าต้องเป็นกังลว” หลังจากที่เขาค้นพบเหตุผล เขาก็ผ่อนคลายมากขึ้น
ในอีกไม่กี่ถัดไป ชิงสุ่ยมักจะอยู่ในดินแดนห้วงมิติอย่างเต็มทีในทุกๆวัน เขาใช้ประโยชน์จากเวลาในการทบทวนและจดจำเหล่าเนื้อหาในหนังสือทางการแพทย์ทั้ง 3 เล่ม ซึ่งพวกมันได้นำให้ร่างกายของเขามีการเปลี่ยนแปลงรวมทั้งสัญลักษณ์หยินหยางในทะเลแห่งปัญญาของเขาด้วย ชิงสุ่ยพบว่าพลังในการจดจำและการรับรู้เข้าใจของเขานั้นก้าวถึงขั้นที่น่ากลัว และตอนนี้เขาเริ่มศึกษา หนังสือเคล็ดกระบี่พื้นฐาน