เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 27-28 : เผชิญเทือกเขาล้านลี้
- หน้าแรก
- เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique
- บทที่ 27-28 : เผชิญเทือกเขาล้านลี้
บทที่ 27-28 : เผชิญเทือกเขาล้านลี้
เช้าวันที่สอง ชิงสุ่ยลืมตาขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ชิงสุ่ยสำเร็จการหมุนเวียนปราณ 48 รอบเพื่อทดสอบพลังจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาล รูขุมขนรอบตัวเข้าสั่นอย่างมีความสุข
ตั้งแต่ที่เวลาผ่านไปนับ 5 ปี ชิงสุ่ยยังคงติดอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นที่ 3 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ตลอด 5 ปีที่ผ่านมานั้นเขาได้พยายามบ่มเพาะแถบทุกวันและมันก็พัฒนาขึ้นมาก เมื่อเขาติดอยู่ที่จุดสูงสุดขั้นที่ 3 หลังจากเปิดใช้งานเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ชิงสุ่ยสามารถหมุนเวียนพลังปราณได้ 36 ครั้ง แต่ตอนนี้แม้จะติดอยู่ที่เดิน เขากลับสามารถหมุนเวียนได้มากกว่า 48 ครั้งทุกครั้งที่ใช้งานมัน
หลังจากความพยายาม ชิงสุ่ยพบว่าทุกครั้งที่รอบการหมุนเวียนปราณเพิ่มขึ้น ความแข็งแกร่งก็เพิ่มขึ้นด้วย นี้อาจจะเป็นเพียงคำปลอมใจสำหรับการที่ไม่สามารถผ่านเคล็ดวิชากายาบรรพกาลขั้นที่ 4 ไปได้ ใครจะรู้ว่าการเพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายของเขา อาจจะก้าวข้ามจุดเดิมได้ ก็เป็นไปได้
ตลอด 5 ปีที่ผ่านมากว่าชิงสุ่ยจะพัฒนาจาก 36 รอบไปเป็น 48 รอบได้นั้นเขาต้องพยายามมากกว่าผู้อื่นถึง 100 เท่า เพียงแค่การโคจรปราณเพียง 12 รอบนั้นทำให้พลังในการยกเพิ่มได้ถึง 10000 ถึง 13000 จิน นับว่าเพียง 30% ของพลังทั้งหมด ถ้าหากเขาสามารถโคจรปราณได้ถึง 108 รอบขึ้นไป ชิงสุ่ยไม่กล้าที่จะจินตนาการถึงพลังนั้นได้เลย และดูเหมือนว่าทันจะไม่มีข้อจำกัดในการเพิ่มการโคจรพลัง แต่เขาใช้เวลาถึง 5 ปี เพื่อโคจรพลังได้เพิ่มขึ้น 12 รอบ เขาไม่อาจคำนวณถึงเวลาที่จะสามารถใช้เพิ่มอัตราโคจรพลังให้เกินกว่า 108 รอบจะต้องใช้เวลาเท่าใด
น่าเสียดายที่เขาไม่สามารถก้าวข้ามเคล็ดวิชากายาบรรพกาลขั้นที่ 3 ไปได้เขาทำได้เพียงเพิ่มการโคจรเท่านั้น หากเข้าก้าวข้ามไปยังขั้นที่4 ได้นั้นเขาอาจจะได้รับพลังความแข็งแกร่งระดับมหาศาล เนื่องจากดินแดนที่ 4 นับว่าเป็นดินแดนชั้นกลาง มันเป็นดินแดนที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับดินแดนก่อนหน้านี้
ชิงสุ่ยกระโดดออกจากเตียงนอน เปิดประตู เดินผ่านทางลานหลังบ้านไปสู่ทิศที่อาทิตย์ขึ้นสู่ท้องฟ้า นับตั้งแต่เขาฝึกฝนเคล็ดวิชากายาบรรพกาล เขานั้นทั้งขยันและทุ่มเมมากสุดในเหล่าผู้คนในตระกูลชิง
อาจเพราะการโคจรอย่างต่อเนื่องของเมล็ดหยิน-หยางที่อยู่ในทะเลปัญญาของเขา ค่อยปรับปรุงจิตและวิญญาณให้เขา แต่หากเทียบกับการฝึกฝน ชิงสุ่ยใช้เวลาพักผ่อนเพียง 2 ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น ส่วนเวลาที่เหลือเขานั้นทุ่มเทให้กับการฝึกฝน
อย่างไรก็ตามเขาก็ยังคงถูกตราหน้าว่าขยะ เพียงเพราะเขาไม่สามารถก้าวข้ามขั้นนั้นไปได้ แม้ความแข็งแกร่งปัจจุบันนั้นอาจเทียบได้กับจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณนักรบ แต่มันกับดูไม่เพียงพอในสายตาของเขา ตราบใดเท่าที่เขามีพลังอำนาจที่เพียงพอ เขาจะสามารถทำตามที่ปรารถนาและปกป้องคนที่เขาอยากปกป้องได้
การกลับชาติมาเกิด – ถูกตรวจสอบ
ความสามารถพิเศษ – ถูกตรวจสอบ
สติปัญญาความฉลาด – ถูกตรวจสอบ
การเผชิญโดยบังเอิญ – ถูกตรวจสอบ
ทำไมเขายังไม่ก้าวข้ามมันไปได้ล่ะ? มีเพียงเท่านี้อย่างนั้นรึ ที่เขาได้รับ? ชิงสุ่ยยิ้มอย่างขมขื่นขณะผ่านลานกว้าง ชิงสุ่ยคิดล่องลอยยามที่เขาเผชิญหน้ากับสิ่งต่างๆตั้งแต่ได้ฝึกฝนเคล็ดวิชากายาบรรพกาล
“หมัดอสูรสันโดษ”
ชิงสุ่ยรู้ว่าเคล็ดหมัดอสูรสันโดษเป็นเคล็ดวิชาต่อสู้ที่ลึกซึ้งมาก ความสามารถของเขาเมื่อรวมกับหมัดอสูรสันโดษมาที่ระดับสูงสุดหรือเกือบสมบูรณ์แบบแล้ว ต้องขอบคุณการหยั่งรู้ที่แท้จริงของเขา ถ้าหากไร้ซึ่งมัน แม้เขาใช้เวลามากกว่า 10 ปี คงยังอยู่ห่างไกลจากจุดนี้เป็นแน่ ชิงสุ่ยเชื่อมั่นในกระบวนท่านี้มาก ถ้าไม่อย่างนั้น ไม่มีทางที่ชิงอี้จะพ่ยแพ้จากการโจมตีครั้งเดียวครั้งนั้น ไม่ต้องพูดถึงเลยที่ว่าเขานั้นไม่ได้ใช้พลังปราณเลย หากเขาใช้พลังปราณร่วมด้วยมันจะต้องแข็งแกร่งเกินจินตนาการแล้ว
หมัดอสูรสันโดษนั้นลึกเกินจะหยั่งถึง แนวคิดของมันเป็นส่วนหนึ่งของเคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับ ทั้งสองต่างใช้รากฐานเหมือนกัน เคล็ดวิชาศาสตราวุธเล้นลับจะช่วยให้ผู้อ่อนแอ ล้มผู้ที่แข็งแกร่งกว่าได้
หลังจากเขาได้สะท้อนความคิดออกมา ชิงสุ่ยรู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากไปแล้ว เขากลับไปยังห้องของเขา พร้อมทั้งเก็บหนังสือโลกแห่งการรักษา หนังสือสารานุกรม 10,000 พันธุ์โอสถ หนังสือเสถียรภาพผสานโอสถและเคล็ดกระบี่พื้นฐาน และตัดสินใจเขียนจดหมายทิ้งไว้บนโต๊ะ เนื้อโดยรวมคือสร้างความมั่นใจให้ชิงอี้ว่าเขาจะกลับมาตามสัญญาพร้อมทั้งฝากอำลาผู้อาวุโสท่านอื่นแทนเขาด้วย
รอบๆตระกูลชิงนอกเหนือจากแม่น้ำทางทิศบูรพา(ตะวันออก)และทักษิณ(ใต้) แผ่นนี้อุดมสมบูรณ์มากเหมือนแก่การเพาะเลี้ยงทำไร่นา ถ้าหากตามเส้นทางแม้น้ำทางทิศบูรพาไป จะสามารถเดินทางไปยังเมืองร้อยไมล์ได้ เส้นทางนี้จะได้ผ่านไปถึงเมืองร้อยไมล์โดยตรง แต่ยังผ่านหมู่บ้านมากมายตามเส้นทางนั้น
ตระกูลชิงอาจจะมีอาณาเขตกว่า 100 ลี้ แต่ก็ยังประกอบไปด้วยตระกูลเล็กน้อยที่ดำรงชีพกับการเลี้ยงสัตว์ภายใต้การดูแลจากตระกูลชิง
ชิงสุ่ยออกจากตระกูลชิงและมุ่งหน้าไปทางทิศประจิม(ตะวันตก) ทิศทางนั้นประกอบไปด้วยภูผาพรรณไม้จากป่าพรรณไม้มรกต ซึ่งเป็นป่าที่เขาได้พบกับหมาป่าอสูรทองคำ ชิงสุ่ยตัดสินใจสำรวจภูเขาทางทิศประจิมไปถึงภูเขาที่ไม่เคยสำรวจ ภูเขาล้านลี้ เขาเลือกเส้นทางนี้ด้วยความรู้ว่าจะต้องได้รับประโยชน์จากการสำรวจเป็นแน่
ภายในถุงเล็กๆด้านหลังของชิงสุ่ย เขานั้นไม่ได้เตรียมตัวมาเลย ภายในถุงนั้นมีหนังสือเพียง 4 เล่ม เสื้อผ้าที่สะอาดสะอ้าน 2 ชุดพร้อมอาหารแห้งอีกเล็กน้อย ขณะเขาเดินไปทางเขาทิศประจิม เขาบ่นกับตัวเอง “กระเป๋าหง๋อยๆ กระเป๋าโง่ๆ ทำไมไม่มีแขวนเก็บของต่างมิติบางนะ ไอ้กระเป๋านี้ชั่งห่วยแตกสิ้นดี”
เขาบ่นนานราวๆ 1 ก้านธูป ในที่สุดชิงสุ่ยก็มาถึงด้านล่างของเขาทิศประจิม พร้อมกระเปาแสนน่าเกลียด ชิงสุ่ยเลือกเส้นทางจากการค้นหาแล้วพบว่ามีไข่ขนาดราวๆกับไข่ห่าน เขาก็หยิบมันมาไว้ในมือเขา
ภูเขาแห่งนี้บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยสิ่งอันตราย สัตว์ป่าไม่ได้คุกคามเขาได้ แต่หากเขาวิ่งเข้าหาสัตว์เหล่านั้นมันจะเริ่มดุร้ายขึ้น แต่เขาจะปลอดภัยเพิ่มขึ้นหากเขามีอาวุธ
ในโลก 9 ทวีปแห่งนี้ สัตว์จะถูกแบ่งเป็น 4 ระดับ สัตว์ป่า สัตว์ดุร้าย สัตว์ไร้วิญญาณ และสัตว์ปีศาจ แม้จะเป็นคนที่พลังอ่อนแอสุดก็สามารถสู้กับระดับสัตว์ป่าได้ สัตว์ปีศาจนั้นเป็นสัตว์ที่เกิดแก่นปีศาจขึ้นภายในร่างกาย ความแข็งแกร่งของมันขึ้นอยู่กับอายุโดยตรง ยิ่งนานขึ้น พวกมันจะยิ่งแข็งแกร่ง แม้หากจะกล่าวว่าผู้ที่บรรลุอาณาจักรพลังปราณเทวะเซียนเทียนก็ไม่อาจจะเหนือกว่าสัตว์ปีศาจระดับเดียวกันได้ ดูเหมือนหมาป่าอสูรสีทองนั้นจะอยู่เพียงระดับสัตว์ดุร้ายเท่านั้นเอง
ชิงสุ่ยรู้ว่าการฝึกฝนบ่มเพาะพลังเท่านั้นที่จะทำให้มีชีวิตที่ปลอดภัยในโลกที่มีแต่ความน่ารังเกียจและอันตรายใบนี้ คล้ายกับไข่เทียบกับก้อนหิน ผู้ที่ไม่ต่อสู้จะไม่สามารถไปไหนได้ไกล นี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ชิงสุ่ยมุ่งหน้าสู่เขาล้านลี้ เขาต้องการเรียนรู้การต่อสู้ ในเวลาเดียวกันเขาก็พยายามหาวิธีการบรรลุขอบเขตพลังเดิมอีกด้วย
ความลำบากในที่ทุรกันดานเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สามารถเข้าใจผืนดินและผืนฟ้า เข้าใจในความหมายของชีวิต ทำให้สามารถใคร่ควรญถึงองค์ประกอบทั้ง 5 ในจิตวิญญาณอีกด้วย
ทุกๆวันนอกเหนือการฝึกฝนเคล็ดวิชากายาบรรพกาล เขายังใช้เวลาช่วงสั้นๆทำความเข้าใจในหนังสือทั้ง 4 เล่ม ปัจจุบันหนังสือโลกแห่งการรักษานั้นชิงสุ่ยได้เข้าใจมันอย่างหมดจด ช่วยไม่ได้ที่เขาจะอุทานออกมา ว่าความรู้ในโลกสมัยก่อนนี้ที่น้อยที่สุดนี้ จะเหนือว่าการแพทย์แผนปัจจุบันในโลกใบก่อนของเขา
ผู้คนต่างกล่าวว่า ผู้ที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ที่ดี เทียบได้ว่ามีความสามารถเท่าครึ่งหนึ่งของเหล่าแพทย์ เหล่านักสู้ที่เก่งกาจยอมรู้จักเทคนิคการแพทย์อย่างการรักษาอาการบาดเจ็บและแผลต่าง รวมทั้งรู้จุดผ่านพลังและลมปราณในร่างกาย ชิงสุ่ยอ่านต่อและแปลกใจที่ว่าหนังสือเล่มนี้นั้นกล่าวตรงกับข้อมูลที่เขาได้รับจากเคล็ดวิชากายาบรรพกาล อีกด้วย
ตอนนี้ชิงสุ่ยนั้นมาถึงเทือกเขาล้านลี้แล้ว เขานั้นรู้ซึ้งถึงความว่า “กว้างขวาง” ในทันทีผ่านสายตา เท่าที่ดงตาเขาเห็นนั้นคือความงดงามจากธรรมชาติและภูเขาที่ดูเหมือนจะไม่มีที่สิ้นสุด
“ชู่ววววว” เสียงสายลมความสดชื่นพัดผ่านชิงสุ่ย ราวกับมันเป็นช่วงฤดูร้อน ลมภูเขาปรับเปลี่ยนเพื่อบรรเทาความร้อนจากแสงอาทิตย์ ชิงสุ่ยเริ่มต้นสำหรับเทือกเขาแห่งนี้โดยใช้ก้าวไร้วิญญาณ เขาต้องการเข้าไปยังจุดที่ต้องการอย่างรวดเร็วแต่ต้องแลกด้วยพลังปราณเล็กน้อย
หนึ่งสัปดาห์ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าเขานั้นได้เดินทางมาไกลมาก เขารู้เพียงว่าเขานั้นได้ข้ามเขามาแล้วถึง 5 ลูก และเข่นฆ่าสัตว์มากกว่า 300 ตัวทั้งระดับสัตว์ป่าและสัตว์ดุร้าย นอกเหล่าสัตว์ 300 ตัวนั้นเขายังได้ต่อสู้กับ คชสารปฐพี(ช้าง)อีกด้วย ซึ่งทำให้เขารู้สึกตื่นเต้นมาก
ในตอนนั้นชิงสุ่ยรู้สึกประหม่ามากที่จะต้องต่อสู้กับคู่ต่อสู้ที่มีขนาดลำตัวใหญ่ถึง 5 เมตรและยาวกว่า 15 เมตร หากอยู่ในพื้นฐานที่เท่าเทียมกันเขาไม่อาจต่อกรกับมันได้ หากปะทะโดยตรงจะต้องถูกเรียกว่าคนบ้าอย่างแน่นอน ในแง่ความแข็งแรงและขนาดของร่างกาย ชิงสุ่ยไม่อาจเทียบได้เลย ชิงสุ่ยจึงทำได้เพียงหลบนี้
แม้จะเป็นคชสารที่มีขนาดใหญ่โต แต่แผ่นหนังของมันเหนียวราวกับแผ่นเหล็ก แต่ไม่เป็นอุปสรรคกับการเคลื่อนไหว ด้วยความเร็วที่อยู่นอกเหนือจากขนาดตัว กล้ามเนื้อของมันเคลื่อนที่อย่างสามัคคีพุ่งไปทางชิงสุ่ย ก่อให้เกิดแรงสั่นสะเทือนแผ่นปฐพีในแต่ล่ะก้าว
เมื่พิจารณาพลังของฝ่ายตรงข้าม ชิงสุ่ยรู้ว่าปัจจุบันเขาไม่มีพลังมากพอที่จะทำอะไรสัตว์ดุร้ายตัวนี้ได้ ถ้าจะเหนือกว่าก็คงมีเพียงสติปัญญาของเขา เขาเริ่มล่าถอยโดยใช้ก้าวไร้วิญญาณ ชิงสุ่ยหลอกล่อคชสารตัวนั้นให้เคลื่อนที่ตามที่เขาต้องการโดยอาศัยความรวดเร็วและคล่องแคล่ว มันเคลื่อนที่ผ่านป่าจนถึงจุดบริเวณใกล้หน้าผา ชิงสุ่ยจึงใช้ก้าวไร้วิญญาณหลบพร้อมทั้งปลดปล่อยรังสีเค้นฆ่าที่น่ากลัวออกมา ชิงสุ่ยปรากฏตัวด้านหลังคชสารตัวนั้น พร้อมทั้งระเบิดความแข็งแกร่งออกมา เขาปล่อยหมัดที่รุนแรงออกมาไปยังขาหลังของมัน และมันก็สำเร็จ คชสารตัวนั้นถูกกระแทกจนทำให้ร่วงตกหน้าผาไปในทันที
“คชา ~ ~ ~ ~” เสียงกระดูกที่แตกหักของคชสารตัวนั้นดังสนั่นอย่างน่ากลัว มันร้องออกมาด้วยความโกรธและทรมาน!
หลังจากที่ชิงสุ่ยมองไปยังศพของคชสารที่อยู่ใต้ตีนเขา รอยยิ้มโผล่ขึ้นบนใบหน้าของเขาเป็นคำใบ้ถึงชัยชนะอันโหดร้ายถูกเติมเต็มหัวใจของเขา เขารู้สึกราวกับเป็นผู้ปกครองพื้นป่า โดยอาศัยความแข็งแกร่งและสติปัญญา เขาได้ทำให้คชสารปฐพีถูกทุบตีจนไม่อาจจำได้
จากการต่อสู้ยิ่งทำให้ชิงสุ่ยชื่นชมในตัวเคล็ดวิชากายาบรรพกาลมากยิ่งขึ้น ถ้าเขาฝึกฝนมาโดยวิธีปกติ ความแข็งแกร่งที่ได้รับคงน้อยจนไม่อาจเทียบเท่าเคล็ดวิชากายาบรรพกาล และเขาจะต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเคล็ดวิชากายาบรรพกาลนั้นจะต้องเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่งที่สุด หากการบ่มเพาะนี้บรรลุขอบเขตขั้นสูงสุดร่างกายของเขาจะต้องเปรียบดั่งเทพเจ้าและปีศาจเป็นแน่
แม้ว่าเขาจะได้รับชัยชนะ แต่ปัญหาได้มาเยือนถึงตรงหน้าเขาแล้ว ชิงสุ่ยวิ่งออกมาเพื่อที่จะหาน้ำดื่มเขากลับไม่เจอแหล่งน้ำหรือสัตว์ใดๆเลยในช่วง 3 วันมานี้
“ชิบ ทำไมข้าต้องเจอปัญหาพวกนี้ด้วย ไม่มีแหล่งน้ำแล้วสัตว์ที่ไหนจะสามารถอยู่ได้ ไม่แปลกใจเลยจริงๆว่าทำไม 3 วันมานี้ข้าถึงไม่เจอสัตว์ตัวใดเลย”ชิงสุ่ยขมวดคิ้ว ริมฝีปากของเขานั้นแห้งผากและเปียกเล็กน้อยด้วยน้ำลาย และทันใดนั้นเงาขนาดมหึมาได้บดบังแสง ชิงสุ่ยเอียงศีรษะด้วยความประหลาดใจอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นการแสดงออกของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นเลวร้ายอย่างรวดเร็ว