เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 2 – 3 ปีต่อมา
บทที่ 2 – 3 ปีต่อมา
เวลาช่างไหลผ่านโดยรวดเร็ว แม้ว่าชิงสุ่ยจะมีการเติบโตจนเขาสูงกว่าเดิมมาก แต่เขาก็ยังคงดูอ่อนแอ ไร้เรียวแรง และผอมมากเหมือนแต่ก่อน มีเพียงแค่ดวงตาสีดำคู่สวยงาม ที่ดูเหมือนจะยิ่งมีเสน่ห์ เมื่อเทียบกับเวลาที่ผ่านไป
ชิงสุ่ย ไม่ได้ประโยชน์อันใดเลยจากเวลาที่ผ่านไป เพราะเขายังคงไม่อาจฝึกฝนเทคนิคการต่อสู้ รวมทั้งบ่งเพาะพลังยุทธได้!
” ชิงสุ่ย ! ชิงสุ่ย ! ” เสียงตะโกนเรียก ชิงสุ่ยดังมาแต่ไกลพร้อมความเร็วดุจราวกับพยัคฆ์จากเยาวชนที่ได้รับการฝึกฝนอย่างดี เมื่อใดก็ตามที่ชิงสุ่ยมีเวลาว่าง ชิงสุ่ยมักจะเลือกที่จะวิ่งเล่นบนเนินเขาในบริเวณใกล้เคียงและภูเขา
เขาชอบความเงียบสงบของขุนเขา ด้วยลักษณะทางธรรมชาติช่วยทำให้เขาสงบลงชั่วคราวและช่วยให้เขาปลอดปล่อยภาระในใจของเขา เมื่อเขาเริ่มเติบโตขึ้น เขาค่อยๆฝึกฝนตนเองโดยการวิ่งโดยจะเพิ่มขึ้นตามช่วงเวลา
ชิงสุ่ยหันศีรษะของเขาไปมองที่ต้นเสียงและพบว่าคนที่เรียกเขาก็คือเพื่อนสนิทของเขาเอง ชิงฮู !
ชิงฮูอายุน้อยกว่าชิงสุ่ย ประมาณ 1 ปี เขาได้เข้าร่วมฝึกและได้รับการสอนการผู้นำตระกูลชิง และสืบทอดทักษะการต่อสู้ ” เคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้า” และตอนนี้การบ่งเพาะพลังยุทธของชิงฮูก็อยู่ในระดับอาณาจักรพลังนักรบฝึกหัดขั้นที่ 3 แล้วอีกด้วย
การบ่งเพาะพลังยุทธในโลกนี้สามารถแบ่งย่อยออกเป็น 9 อาณาจักรพลัง ประกอบไปด้วย : อาณาจักรพลังปราณฝึกหัด,อาณาจักรพลังปราณนักรบ,อาณาจักรพลังปราณปราบฟ้า,อาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์,อาณาจักรพลังปราณเทวะเซียนเทียน,อาณาจักรพลังปราณเทวะกษัตริย์,อาณาจักรพลังปราณนักบุญพิโรธ,อาณาจักรพลังปราณจักรพรรติ,อาณาจักรพลังปราณบรรชาสวรรค์พินาจ ซึ่งแต่ละลำดับขั้นอาณาจักรพลังปราณนี้แบ่งเป็น 10 ขั้นย่อย
ชิงฮูเป็นหลานคนสุดท้องในตระกูลชิง และมีหลานอีก 3 คนซึ่งเป็นเด็กรุ่นราวคราวเดียวกับเขา
อาจกล่าวได้ว่าในระหว่างปีที่เขาได้ถือกำเกิดขึ้น เปรียบราวกับว่าตระกูลชิงได้รับพรจากสวรรค์เป็นหลานทั้ง 4
สมาชิกในตระกูลรุ่นราวคราวเดียวกับชิงสุ่ยมีจำนวนไม่น้อยเลยที่เกลียดชังเขา เพราะนี้คือโลกที่ขึ้นอยู่กับการบ่มเพาะพลัง สำหรับคนที่ถูกชะตาฟ้าลิขิตให้ไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ คนๆนั้นอาจจะถือว่าเป็นขยะและสมควรถูกดูถูกโดยทุกคน ดังนั้นแล้วเพื่อนที่แท้จริงของเขานั้นนับได้ไม่มาก คนนั้นคือ ชิงฮู แน่นอน!
ทันทีที่เขาก้าวเข้ามาในโลกนี้ เพราะเขาไม่มีความสามารถในการบ่มเพาะพลัง ฟ้าจึงลิขิตชะตาของชิงสุ่ยไว้แล้วว่าเขาจักต้องโดดเดี่ยว และถูกทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง .
ชิงสุ่ยควรมีอายุโดยรวม 26 ปี ซึ่งนับจากอายุ 18 ปี ในโลกของก่อนหน้านี้เขา และ 8 ปี ในโลกนี้ ดังนั้น จิตใจของเขาจึงแข็งแกร่งกว่าเด็กปกติมาก เขาไม่คิดที่จะร้องไห้ หรือรู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง หรือแม้กระทั่งความเหงา ทั้งๆที่เขาเองก็ถูกกลั่นแกล้งมาไม่น้อย แต่กลับไม่มีใครเคยเห็นเขาร้องไห้หรือโมโหสักครั้ง !
ชิงสุ่ยไม่คิดที่จะต่อปากต่อคำกับคนที่คอยรังแกเขา เขาอดทนในทุกครั้ง แม้จะมีสายตาที่เย็นชาและคำพูดดูถูกเสียดสี แดกดัน คอยทิ่มแทงหัวใจของเขาอยู่ เขาก็ไม่คิดสนใจเลยแม้แต่น้อย แต่เขากลับเน้นผูกสัมพันธ์มิตรภาพกับชิงฮู แม้จะมีความจริงที่ว่าชิงฮูยังเด็กมากเมื่อเทียบกับเขา เขาก็มีความสุขจากใจจริงเลยที่มีเพื่อนแท้อย่างชิงฮู
ผู้นำตระกูลชิง ชิงหลัวระดับการบ่งเพาะพลังอยู่ในจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังโฮว่เทียน(อาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ ขั้น 10 เรียกโฮว่เทียน) โดยบุตรทั้ง 4 คนของชิงหลัว มีบางคนอยู่ในขั้นสูงสุดอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ระดับที่ 8 บางคนก็เข้าใกล้จุดสูงสุดของอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ระดับที่ 8 อีกด้วย
ยกเว้นบุตรที่สอง ของชิงหลัว นามว่า ชิงเหอ ซึ่งปัจจุบันชิงเหอได้บ่มเพาะพลังไปถึงขั้นปราณบัญชาสวรรค์ระดับที่ 9!!! แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าเขาจะพยายามสักเท่าไร เขาก็ไม่สามารถทะลวงเข้าสู่จุดสูงสุดของระดับอาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ได้
ตอนนี้ชิงเหอต้องการพลังในการบ่มเพาะพลังอย่างมาก เพื่อหวังที่จะก้าวเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณบัญชาสวรรค์ระดับที่ 10และไปถึงจุดสูงสุดของอาณาจักรพลังโฮว่เทียน เพื่อเตรียมพร้อมในการที่ตระกูลชิงอาจจะต้องปะทะโดยตรงกับตระกูลชิ จากเมืองร้อยไมล์
ในรุ่นที่สามของตระกูลชิงมีอัจฉริยะค่อนข้างน้อย แต่ชิงหลัว ก็ได้ทำการเลี้ยงดูคอยอบรมอย่างเป็นพิเศษ คือ หลานชายคนโตนามว่า ชิงจือ ได้ทะลุเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบระดับที่ 7 ทั้งที่อายุเพียง 21 ปีเท่านั้น และอีก 1ยอดหลานชายอัจฉริยะมีนามว่า ชิงหยู ได้ทะลุเข้าสู่อาณาจักรพลังปราณนักรบระดับที่ 6 ทั้งที่อายุเพียง 13 เท่านั้น ชิงหยูคนนี้ทำให้ชิงหลัว รู้สึกยินดีอย่างยิ่ง ชิงหยูอาจจะเปรียบได้กับอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ ! ชิงหลัว ความคาดหวังอย่างมากเกี่ยวกับหลานชายของเขา
ในโลกใบนี้ การบ่มเพาะพลังเปรียบดังทุกอย่าง มันเป็นหัวข้อหลักแทบทุกการสนทนาระหว่างบุคคล คำว่า “การบ่มเพาะพลัง” คือคำที่ชิงสุ่ยเกลียดที่สุดเมื่อต้องฝึกฝนมัน ดังนั้น เขาไม่กินและไม่นอนเขาจะวิ่งไปยังเนินเขาและอยู่ในภูเขาอย่างโดดเดียว เมื่อเวลาผ่านมาถึงตอนนี้ บุคลิกของเขากลับกลายเป็นคนเย็นช้า
ชิงสุ่ยไม่รู้เลยว่าทุกครั้งที่ชิงอี้มองดูเขา เธอจะรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงหัวใจของเธอ
ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ชิงอี้ได้รวบรวมสมุนไพรอันล้ำค่าเพื่อช่วยให้ชิงสุ่ยสามารถบ่งเพาะพลัง แต่ทั้งหมดกลับสูญเปล่า . . . . . . .
————————————————————————————————————–
“เฮ้ ชิงฮู ทำไมเจ้าถึงแอบออกมาเที่ยวเล่นแทนที่จะบ่มเพาะพลังล่ะ ? เจ้าไม่กลัวพ่อลงโทษเจ้ารึไง” ชิงสุ่ยยิ้มนิดๆ และกล่าวติดตลกกับชิงฮู
“ ฮาๆๆ ไม่มีปัญหา มันไม่ได้เจ็บอะไรเลย ไม่มีอะไรที่ข้าต้องกลัว ! ” ชิงฮูแอบขำเบาๆ
ชิงสุ่ย รู้สึกว่าชิงฮูตอบได้ตลกมาก
“เอาล่ะ กลับกันเถอะ ป้าอี้ให้ข้ามาตามหาเจ้า” ชิงฮูกล่าว
ชิงสุ่ยถอนหายใจเบาๆ และชายตามองชิงฮู ความแข็งแกร่งของชิงฮูและเปรียบเทียบกับตัวของเขา ที่ทั้งอ่อนแอและบอบบาง “ข้าจักต้องอยู่อย่างนี้เช่นนั้นหรือ ทำไมข้าไม่สามารถบ่มเพาะพลังได้ โลกนี้มีเทพยุทธมากมายที่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้ ทำไมต้องยกเว้นข้า ? “
————————————————————————————————————–
ชิงสุ่ย และชิงฮูกลับมาที่บ้านของตระกูลชิง ขณะที่ชิงอี้กำลังจะออกไปตามหาพวกเขา เมื่อเห็นพวกเขากลับมาชิงอี้รีบพาพวกเขาเข้าไปในห้องอาหาร ซึ่งถูกจัดสำหรับงานเลี้ยงอาหารค่ำ เพราะวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเดือน
ในวันสุดท้ายของทุกเดือนตระกูลชิงจะรับประทานอาหารพร้อมหน้ากันทั้งตระกูล สมาชิกทั้งตระกูลจะมารวมตัวกัน เพื่อแลกเปลี่ยนข่าวสาร รวมทั้งใช้เวลาเพื่อสร้างสายใยภายในครอบครัว
ที่นั่งบนโต๊ะอาหารคนที่นั่งข้างๆชิงหลัวผู้นำตระกูล คือ ชิงเหอ บุตรลำดับ2 ของชิงหลัว ตามด้วยชิงจือและชิงหยู สมาชิกคนอื่นๆก็นั่งล้อมรอบถัดไปเหล่าอัจฉริยะตามลำดับรุ่นของตระกูล
แม้ชิงจือ และชิงหยู จะเป็นคนในรุ่นที่สาม แต่เพราะความสามารถ ความแข็งแรง จึงไม่ต้องนั่งตามการจัดลำดับโดยตัวของชิงหลัวเอง ชิงหลัวพยายามดูแลส่วนสมาชิกตระกูลที่เหลืออย่างทั่วถึง และพยายามสร้างบรรยากาศของการแข่งขันเพื่อที่ให้ทุกคนได้พิสูนจ์ความสามารถ เพื่อให้รู้สึกว่าได้รับเกียรติเมื่อได้นั่งในตำแหน่งหลักของโต๊ะ
ชิงสุ่ยอย่างรับปะทานอาหารอย่างเงียบ ๆ ด้านข้างชิงอี้ สมาชิกตระกูลที่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกันมักจะจับกลุ่มกัน ยกเว้นตัวของชิงสุ่ย . ตั้งแต่เขายังเด็ก ชิงสุ่ยมักจะอยู่คนเดียว แม่ของเขาเห็นได้ชัดว่าเขาไร้ซึ่งมิตรภาพ ชิงอี้รู้สึกหมดหนทางจริงๆ
ชิงอี้มักจะเก็บกดอารมณ์ของเธอ ไว้ลึกๆภายในใจของเธอ นานถึง 3 ปี . . . . . . . ใน 3 ปีนี้ เธอรู้สึกว่าท่าทางของชิงสุ่ยเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ในอดีต ชิงสุ่ยยังคงมีความน่ารัก ไร้เดียงสา แต่ในตอนนี้ ชิงสุ่ย เปลี่ยนไปทั้งบุคลิกภาพและจิตใจ เพราะการสูญเสียวัยเด็กของเขาไป ชิงอี้พบความรู้สึกเปล่าเปลียว ไร้ตัวตนออกจากลูกชายอันเป็นที่รักของเธอ น้ำตาของเธอรินไหลออกจากใบหน้า
ความรู้สึกของเธอได้พังทลายลงและร้องไห้นับครั้งไม่ถ้วนในอดีตที่ผ่านมา 3 ปี!