เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 18 - ความงามอันน่าหลงไหล
บทที่ 18 – ความงามอันน่าหลงไหล
“สักวันนึงเจ้าจะต้องบรรลุสู่จุดสูงสุดแห่งโลกจอมยุทธได้แน่นอน” ชิงจือพึมพำ เขาประหลาดใจอย่างยิ่งกับความรู้สึกที่เขาได้รับจากชิงสุ่ย
ชิงจือส่ายหัวเพื่อพยายามที่จะลบล้างความรู้สึกที่คืบคลานเข้าไปยังจิตใจของเขา ความรู้สึกถึงความไม่สมดุล หลังจากเป็นที่รู้กันดีว่าชิงสุ่ยกำเนิดขึ้นมาครั้งแรกก็ไร้ซึ่งลมปราณ ตอนนี้มันน่าทึ้งมากพอแล้วที่เขาสามารถบ่มเพาะพลังปราณได้ แต่จะให้ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุดของโลกใบนี้นั้น ความเป็นไปได้แทบจะเป็นศูนย์….
ชิงจือมองไปยังชิงสุ่ยที่เปล่งวาจาออกมาราวกับว่ามันจะเกิดขึ้นได้จริง ชิงจือรับรู้ได้ว่าชิงสุ่ยนั้นเป็นคนพิเศษ เขานั้นแตกต่างจากเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิง โดยเฉพาะดวงตาที่งดงามคู่นั้น ชิงจือสามารถสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ไม่สนใจกับการแข่งขันที่เกิดขึ้น
พวกเขาทั้งคู่บัดนี้ยืนอยู่บนยอดของภูเขาเล็ก ใกล้หมู่บ้านตระกูลชิง ชิงสุ่ยนั้นกำลังเพลิดเพลินกับความงามของเหล่าธรรมชาติ อากาศที่บริสุทธิ์อัดแน่นไปด้วยพลังปราณต่อให้ผู้ที่ไม่ได้ฝึกฝนพลังปราณ อาจจะมีชีวิตยืนยาวได้ถึง 150 ปีบนโลกใบนี้
การยืนอยู่บนยอดเท่านั้นที่จะมีวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ความสามารถในการมองเห็นนั้นจะกว้างไกลหากไร้ซึ่งอุปสรรค์ อยู่ที่ยืนอยาด้านบนนั้นสามารถส่งผ่านความรู้สึกของผู้แข็งแกร่งราวกับผู้ถูกเลือกมองมายังบริวาร
” ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเหล่ามวลมนุษย์นั้นต้องการคำชื่นชมจากผู้อื่น การยืนอยู่บนจุดสูงสุดของมวลมนุษย์นั้นเหมือนกับสามารถมองเห็นทุกอย่างบนโลกแห่งนี้ ”
ชิงสุ่ย และชิงจือ เริ่มที่จะสนทนาเกี่ยวกับเรื่องที่ไม่มีความสำคัญ รวมทั้งพูดถึงความสัมพันธ์ที่ตึงเครียดระหว่างเหล่าเยาวชนรุ่นที่ 3 แม้ว่าตระกูลชิงเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุด พร้อมทั้งทรงอิทธิพลและอำนาจ และมีประสิทธิภาพมากที่สุดในเขตภูเขาที่กว้างไกลแห่งนี้ แต่พวกเขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับตระกูลใหญ่ที่อาศัยอยู่ภายในเมืองร้อยไมล์ได้เลยแม้แต่น้อย ถ้าไม่ใช่เพราะชิงหลัวที่สามารถบ่มเพาะพลังปราณไปยังจุดสูงสุดของพลังโฮ่วเถียน คนกลุ่มใหญ่เหล่านั้นอาจจะไม่คิดสานปฏิสัมพันธ์กับตระกูลชิงเลย
คนตระกูลใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองร้อยไมล์ทั้งหมดมีรากฐานและอุดมไปด้วยประวัติศาสตร์ ยาวนานกว่า 1 , 000 ปี ความสัมพันธ์ของตระกูลใหญ่เหล่านี้กับพลังปราณ นั้นย่อมไม่สามารถที่จะนำมาเปรียบเทียบกับเยาวชนตระกูลชิง นับว่าเป็นความโชคดีของตระกูลชิงที่ครอบครองเทดนิคการบ่มเพาะพิเศษที่เปรียบดั่งเอกลักษณ์ของตระกูล ดังนั้น แม้คนของตระกูลชิงจะมีจำนวนไม่มากแต่พวกเขายังคงยืนหยัดอยู่ได้บนพื้นดินของพวกเขาเอง
ขณะที่ชิงสุ่ยกำลังพิจารณาทุกอย่างที่เรียนรู้ในวันนี้ เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าที่ใกล้เข้ามา เมื่อเขาหันไปดูก็พบว่าเจ้าของเสียงฝีเท้านั้นคือ ชิงเป่ยที่กำลังวิ่งมาขาเขา
“ท่านพี่ชิงจือ ท่านพี่ชิงสุ่ย แขกผู้มาเยือนมาถึงแล้ว ท่านปู่อยากให้พวกท่านพี่กลับไปได้แล้ว” ชิงเป่ย กล่าวราวกับคนหมดแรง สีหน้าของเธอนั้นแสดงถึงความอ่อนเพลีย
“แขกผู้มาเยือน พวกเขามาจากที่อันใด” ชิงจือถามพร้อมขมวดคิ้วเล็กน้อย
การแสดงออกของชิงจือนั้นเปลี่ยนไป การกระทำของชิงจือนั้น ทำให้ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงความเครียดเนื่องจากการแสดงออกบนใบหน้าที่เปลี่ยนไปของชิงจือ
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ แต่ข้าได้ยินมาว่า แขกผู้มาเยือนนั้นมาจากเมืองร้อยไมล์”ชิงเป่ยกล่าวอย่างบริสุทธิ์
“เมืองร้อยไมล์” ชิงสุ่ย อุทานออกมา
ชื่อเมืองแห่งนี้ช่างคุ้นหูยิ่งนัก ชิงสุ่ยรู้แม้กระทั้งชื่อของเหล่าตระกูลใหญ่ที่อยู่ภายใต้เมืองร้อยไมล์ เนื่องจากชิงอี้นั้นมักจะเดินทางไปทำการค้าสมุนไพรภายในเมืองร้อยไมล์
“ชิงสุ่ย ชิงเป่ย พวกเราไปกันเถอะ” ชิงจือเริ่มวิ่งกลับไปยังทิศทางของหมู่บ้านตระกูลชิงหลังจากที่เขาตะโกนออกมา ท่วงท่าที่เขาแสดงออกมาขณะวิ่งนั้นช่างคล้ายคลึงกับมังกรและเสือ
“มันดูว่าข้าคิดถูก ที่ว่าหลานชายคนโตในรุ่นที่ 3 นี้ไม่สามารถมองออกได้โดยง่าย” ชิงสุ่ยคิดทบทวนพร้อมทั้งค่อยๆวิ่งกลับเข้าสู่หมู่บ้าน แต่หลังจากที่เขาทบทวนทำให้เขารู้สึกว่า หากชิงจือยังคงเป็นคนที่เที่ยงตรง เขาคงไม่มีทางที่จะได้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งผู้นำตระกูลเป็นแน่
ปัจจุบันเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูลชิงนั้นแข็งแกร่งขึ้นมาโดยเฉพาะชิงจือ ส่วนชิงสุ่ยนั้นถือเป็นข้อยกเว้นเพราะเขานั้นยังไม่เคยได้แสดงความสามารถเลยสักคร่า
แขกผู้มาเยือนนั้นได้มาถึงทางเข้าของบ้านตระกูลชิง พวกเขามาพร้อมกองอาชาอันทรงบารมี หนึ่งในอาชาเหล่านั้น มีอาชาตัวหนึ่งมีสีที่เพลิงโลหิตทั่วทั้งลำตัว ความยาวลำตัวของมันนั้นยาวถึง 4 เมตร ความสูงของมันนั้นสูงถึง 2 เมตร ขนบนหลังของมันนั้นหนามากแต่หากสัมผัสจะพบกับความนุ่มนวล อาชาเหล่านี้ครบถ้วนไปด้วยความแข็งแกร่ง ความสง่างาม ความแข็งแรง ราวกับว่ามีวิญญาณศักดิ์สิทธิ์สิงสถิตอยู่ภายในตัวพวกมัน สีเพลิงโลหิตนั้นสามารถสร้างแรงกดดันให้แก่ศัตรูได้มากกว่าม้าสงครามปกติ
ชิงสุ่ยแสดงออกถึงความกังวลบนใบหน้าของเขา เมื่อเขาได้เห็นอาชาสีเพลิงโลหิตตัวนี้ อาชาตัวนี้จะต้องเป็นของๆหนึ่งในตระกูลใหญ่ภายในเมืองร้อยไมล์เป็นแน่ ชิงสุ่ยมีความรู้สึกว่าอาชาสีเพลิงโลหิตเบื้องหน้าเขานั้นมีความแข็งแกร่งถึงขั้นที่สามารถให้มันเหยียบย่ำ เหล่าพยัคฆและคชสีห์ ได้
แม้ว่าชิงสุ่ยเห็นอาชาหรือสรรพสัตว์หลากหลายชนิดในช่วง 15 ปีตั้งแต่เขาถือกำเนิด เขารู้ว่าความอุดมสมบูรณ์ของพลังปราณในอากาศสามารถช่วยให้สัตว์เจริญเติบโตในอัตราที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับสัตว์ของโลกก่อนหน้าของเขา ไม่ใช่แค่สัตว์ป่า แม้แต่ในสัตว์เลี้ยงเช่น สุนัขหรือสุกร อาจเติบโตขนาดใหญ่กว่าโลกเดิมของเขาถึงเท่าตัว
ชิงสุ่ยก็ไม่ได้กลัว เพราะขนาดของอาชา แต่เพราะคลื่นพลังที่กระจายออกมา หากรวมกับความสูงของตัวอาชาเองแล้วนั้นมันจะคล้ายกับจักรพรรดิถอดสายตาลงมาจองมองเหล่าบริวาร แค่คลื่นพลังที่กระจายออกมาจากอาชาเพลิงโลหิตเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอที่จะทำให้อาชาตัวอื่น ๆที่อยู่โดยรอบถึงกับหวาดหลัว
“การเดินทางกับอาชาเพลิงโลหิตนี้จะใช้เวลาครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับอาชาตัวอื่น ๆ “
“โครงกระดูกที่กว้างและแข็งแรง อีกทั้งกล้าวเนื้อขาหน้าและหลัง ราวกับสามารถเหยียบเมฆา ความรวดเร็วดุจสายฟ้า แม้ถูกรบกวนไปด้วยอุปสรรค” ชิงจือเท้าคางกล่าวชื่นชมอาชาตัวนี้
“ท่านพี่ชิงจือรู้เป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องอาชาหรือ???” ชิงเป่ยถาม
“ข้าได้ยินผู้คนพูดถึงลักษณะของอาชาที่ดีมาก่อน แต่อาชาเหล่านั้นหาได้สามารถเปรียบเทียบกับอาชาเพลิงโลหิตที่กำลังอยู่ตรงหน้าข้า “ชิงจือส่ายหัวของเขา
เมื่อสิ้นสุดบทสนทนาชิงจือพลันหัวเราะออก หลังจากนั้นเขาก็นำเหล่าแขกผู้มาเยือนเดินทางเข้าสู่ลานกว้างของตระกูลชิง
ชิงสุ่ยเรียกคืนบางส่วนของความทรงจำ ครั้งนึงที่เขาเคยอ่านหนังสือประวัติศาสตร์ในโลกก่อนหน้านี้ของเขา“จักรพรรดิฮันเหวินเคยใช้อาชาคชสีห์เหมันต์ในการเดินทางกว่า 1,000 ลี้เพื่อล้างแค้นชาวมองโกเลีย”
“อาชาเพลิงโลหิตตัวนี้จะต้องมีสายเลือดของอาชาคชสีห์เหมันต์เป็นแน่” ชิงสุ่ยครุ่นคิด
เมื่อเห็นชิงจือและชิงเป่ยเดินเข้าสู่ลานกว้าง รอยยิ้มเล็กๆพลันปรากฏขึ้นที่มุมปากของเขา ดูเหมือนเวลาแห่งความสนุกกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว ฮ่าๆๆๆๆๆ
“เฮ้ เจ้าอาชาเพลิงโลหิต เจ้านั้นช่างดูหยิ่งผยองจองหองและพฤติการณ์ของเจ้านั้นทำให้ข้าหงุดหงิดจริงๆ เดี๋ยวข้าจะไปส่งเจ้าเอง ” ชิงสุ่ยผายมือของเขาเพื่อสัมผัสแผงคอสีแดงของอาชาตัวนี้
เมื่อมือของเขาพายมือเข้าใกล้ประมาณ 1 ซม. ห่างจากแผงคอสีแดงของอาชาตัวนี้ มันเตือนชิงสุ่ยผ่านสายตาที่มันจองมองลงมาราวกับการดูถูก
” โอ้ เจ้ากล้าดื้อกับข้างั้นรึเจ้าม้าสวะ ” ชิงสุ่ยควบคุมตัวเองไม่ได้อีกต่อไป เขาเริ่มพ่นคำหยาบคายออกจากปากของเขา ถ้ามีคนเห็นภาพขณะนี้ พวกเขาจะต้องประหลาดใจหรือให้สะใจจริง ๆ ในแต่ละคำที่โผล่ออกมาจากปากของชิงสุ่ย
ชิงสุ่ยจะปล่อยให้ตัวเองสูญเสียการควบคุมเมื่อไร้ซึ่งผู้คน
ชิงสุ่ยยังคงยืนกรานที่จะบังคับอาชาสีเพลิงโลหิต แม้จะมีอาการเตือนออกมาจากอาชาตัวนี้ ชิงสุ่ยนั้นหาได้สนใจมันไม่และยังคงขยายมือของเขาแตะไปที่ก้นของอาชาตัวนี้
ชิงสุ่ยเดาว่าอาชาตัวนี้อาจเป็นตัวเมีย แต่ตอนนี้การกระทำของเขาได้ทำให้มันโกรธ
ร่างกายยาว 4 เมตรของอาชาสีเพลิงโลหิตยึดขึ้น เสียงขู่ที่ออกจากลำคอของมันคล้ายกับเสียงคำรามมังกร ร่างกายกล้ามเนื้ออันกำยำของมันเตรียมที่จะเหยียบกระแทกชิงสุ่ยให้แหลกเป็นชิ้นเล็กๆและพร้อมที่จะเหยียบขย้ำซ้ำจนเขาสูญสลายไปจากโลกนี้
“ดูเหมือนว่าอารมณ์เจ้านั้นลุกเป็นไฟ” ชิงสุ่ยยังคงขยายฝ่ามือของเขาไปหางของอาชา พร้อมทั้งตบอย่างรวดเร็วที่ด้านล่างของมันก่อนที่จะกระโดดตีลังกากลางอากาศขึ้นไปบนหลังอาชา และควบคุมมันผ่านอานม้า เงาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยกลิ่นอายความหยิ่งยโส แต่งแต้มด้วยความสง่างามและความงาม “ข้าจะควบคุมแก ไอ้ม้าพยศ!” ชิงสุ่ยคำรามราวกับผู้ได้รับชัยชนะจากสงคราม
“เจ้าหนุ่มน้อย เจ้าสามารถควบคุมอาชาของข้าได้” เสียงที่อ่อนโยนมากคล้ายกับสายลม เขาจิตนาการถึงความงามเพียงได้ยินแค่เสียง
ชิงสุ่ยพยายามที่จะหาแหล่งที่มาของเสียง เมื่อเขาหันหน้าไป เขาได้พบเห็นหญิงสาววัยรุ่นอายุราว 20 ปีสวมชุดเพลิงโลหิต เสื้อผ้านั้นรัดเขากับรูปร่างของเธอ เธอเต็มไปด้วยความงามที่แสนมีเสน่ห์ ปากเล็กๆของเธอนั้นยั่วยวนและดึงดูด เพียงแค่ริมฝีปาก เมื่อชิงสุ่ยมองไปยังเจ้าของเสียงความน่ารักงดงามของเธอทำให้หัวใจอันสงบของชิงสุ่ยสั่นสะท้านทันที