เทพอสูรบรรพกาล -Ancient Strengthening Technique - บทที่ 10 - หมัดอสูรสันโดษ
บทที่ 10 – หมัดอสูรสันโดษ
เขารู้สึกถึงความเติบโตของเขามากขึ้น ใบหน้าของชิงสุ่ยบ่งบอกถึงรอยยิ้มที่มีแสนมีความสุข ทันทีที่เขาประสบความสำเร็จ ดูเหมือนจะมีเคล็ดวิชาพุ่งเข้าไปในจิตใจของเขา! ซึ่งอาจเป็นผลของการบรรลุเกินกว่าระดับพลังขั้นที่ 2? หลังจากสงบลงเขาพิจารณาเคล็ดวิชาใหม่ในใจของเขาและอุทานออกมาด้วยความประหลาดใจ!
ชิงสุ่ยตกตะลึงใจเป็นอย่างมาก “นี่……. นี้เป็นเคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับ!”
วันนี้เป็นวันที่ดี เป็นวันที่มีเหตุกการณ์ดีๆเกิดขึ้นพร้อมกัน เขามีความสุขมาก เพราะในปีที่ผ่านมาเขาดิ้นรนเพื่อที่จะก้าวข้ามระดับพลังขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล และในที่สุดได้บรรลุความก้าวหน้าในวันนี้.
ไม่เพียงแต่พลังปราณของเขาจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก ตอนนี้เขายังสามารถฝึกฝนเคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับได้อีกด้วย! จากความรู้ที่สะสมของเขา ชิงสุ้ยรู้ว่าในยุคของการใช้อาวุธ อาวุธที่ถูกซ่อนไว้จะมีพลังการโจมตีที่น่ากลัวมาก
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผู้เชี่ยวชาญด้านอาวุธซ่อนเร้น พวกเขาสามารถจะกล่าวว่าเป็นเกือบจะไร้เทียมทานในด้านการลอบฆ่าก็ว่าได้ ” อาวุธใดๆถ้าถูกเปิดเผยจะสามารถหลบได้อย่างง่ายดาย แต่ลูกศรที่ถูกซ่อนเอาไว้ก็ยากที่จะป้องกัน ” เปรียบได้ว่า อาวุธซ่อนเร้นเปรียบได้กับคันธนูและลูกศร
หลังจากบรรลุระดับพลังขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ชิงสุ่ยเข้าใจในทันทีว่า นี้เป็นเพียงข้อมูลพื้นฐาน โดยเฉพาะเคล็ดที่ถูกปลดผนึกออกมาและหากสามารถบรรลุในระดับขั้นที่สูงกว่านี้ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ตัวของชิงสุ่ยเองจะต้องได้รับเหล่าเคล็ดวิชาและทักษะที่มีประสิทธิภาพมากขึ้นโดยแน่แท้
แม้ว่าชิงสุ่ยจะมีอายุตามจริงมากกว่า 20 ปี ในแง่ของความคิดเขาอยู่ในระดับผู้ใหญ่แล้ว แต่ตัวเขาก็เป็นเพียงนักเรียนมัธยมปลายธรรมดาในโลกก่อนหน้านี้ของเขา ไม่มีความแตกต่างกันเลย ถ้าเทียบระหว่างโลกที่แล้วกับตอนนี้ เขายังคงเป็นเพียงแค่เด็กน้อยในสายตาผู้อื่น ปัจจุบันเขาอาจได้ยกหินหนัก 800 จินได้ใน 1 ปีที่แล้ว ซึ่งในปัจจุบันเขาสามารถยกก้อนหินขนาดใหญ่หนักกว่า 1000 จินได้อย่างง่ายๆ หลังจากบรรลุระดับพลังขั้นที่ 2 ของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล และความรู้สึกของพลังงานอันไร้ที่สิ้นสุดหมุนเวียนในร่างกายของเขา เขารู้สึกว่าพลังของเขา 1000 จินก่อนที่จะบรรลุนั้นมันค่อนข้างลำบาก ขณะนี้เขามองไปที่มุมชั้นใต้ดิน เป้าหมายของเขาเป็นหินขนาดมหึมา และเขาได้ส่งแรงกำปั้นบินที่หินก้อนนั้น
” เพล้งงงงงงงงงงงง “
หินใหญ่ก้อนนั้นพลันแตกออกเป็นเศษในทันที หลังจากกระทบกับก้ำปั้นสังหารของชิงสุ่ย เขาได้ระเบิดพลังปราณที่หมุนเวียนในร่างกายเขาออกมา มันทำให้เขารู้สึกผ่อนคลายมากในตอนนี้ เขาพอใจกับการโจมตีครั้งนี้เป็นอย่างมากเพราะมันไกลเกินความคาดหวังของเขา
เขาคิดย้อนกลับไปถึงตอนได้รับเคล็ดวิชากายาบรรพกาล และวิธีบ่มเพาะพลังมานั้น เขาก็พบว่ากระบวนท่าที่เขาได้ปล่อยก้ำปั้นใส่หินขนาดมหึมานั้น เป็นหนึ่งในกระบวนท่าที่ใช้ฝึกฝนพลังกำลังและความว่องไวของแขน
ชื่อของมันคือ หมัดอสูรสันโดษ
” ชื่อนี้ช่างแปลกจริงๆ ” ชิงสุ่ยอุทาน เมื่อเขานึกถึงชื่อที่ไม่เคยได้ยินนี้ แม้กระทั่งในชีวิตก่อนหน้านี้ของเขา
หมัดอสูรสันโดษ สามารถปล่อยหมัดที่มีความเร็วสูงได้เพียง 1 หมัดเท่านั้น แต่เมื่อใดที่เข้าใจถึงจุดสูงสุด เทคนิคนี้จะแสดงความน่าเกรงขามของจำนวนหมัดที่สามารถปลดปล่อยออกมาได้จาก 1 เป็น 2 และจาก 2 เป็น 4 และ 4 เป็น 8 เพิ่มทวีคูณขึ้นไปเรื่อยๆจวบจนใกล้เข้าสู่อนันต์ในที่สุด
ชิงสุ่ยคิดว่าโลกของเขาก่อนหน้า มีผู้เชี่ยวชาญที่มีความเชี่ยวชาญในการใช้มีดบิน เพียงแค่มีกริชบินในมือของเขาสามารถหยุดหัวใจของผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับเขาได้ จากนี้ทุกคนจะต้องเกรงกลัวเคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับของเขา
ในตอนนี้ชิงสุ่ยกำลังฝึกฝนกระบวนท่าเบื้องต้นทั้ง 10 ของเคล็ดวิชาศาสตราวุธเร้นลับ เขาฝึกอย่างช้าๆโดยพยายามที่จะเข้าถึงความเข้าใจในแนวคิดพื้นฐานของแต่ล่ะกระบวนท่า
และแล้วเสียงท้องของชิงสุ่ยก็ดังขึ้นมา เขาได้ฝึกฝนยาวนานถึง 2 วันเต็ม โดยใช้เวลาฝึกฝนเรียกได้ว่าไม่มีแม้กระทั่งเวลานอน ในช่วงเช้า ก่อนที่เขาจะออกจากพื้นที่ฝึกฝนนี้ ชิงสุ่ยลองปล่อยพลังหมัดออกไปเพื่อทบทวนความเข้าใจที่เขามี เขาก็พบว่าความเข้าใจเบื้องต้นด้านเทคนิคของเขานั้นช่างน้อยนิดยิ่งนัก
ชิงสุ่ยรู้สึกสะดวกสบายมากขึ้นหลังจากอาบน้ำ ทานอาหารของเขา และก็เดินออกจากห้องทันที
“วิถีชีวิตของข้าช่างน่าเบื่อยิ่งนัก นอกจากการบ่มเพาะคงไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่านี้ให้ข้าทำ ข้าก็คงต้องวนเวียนอยู่กับเรื่องนี้ อีกเป็นสิบๆปีอย่างแน่นอน” ชิ่งสุ่ยกล่าวออกมาอย่างสงบเยือกเย็น
เหตุผลก็เพราะ ชิ่งสุยไม่มีความคิดที่จะคบหา ตอบโต้กับเด็กคนอื่นๆที่อายุประมาณ 9-10 ปี เขาไม่สามารถแสดงพลังเต็มที่ได้เพราะกลัวว่าจะเป็นที่ดึงดูดความสงสัยจากพวกผู้ใหญ่ ปัจจุบันชิงสุ่ย ถูกผู้คนรอบข้างกล่าวขานว่า เขาเป็นคนหยิ่งและเย็นชา รวมทั้งยังถูกเรียกว่า ขยะ อีกด้วย
คนส่วนใหญ่เกือบทั้งหมดของกลุ่มเยาวชนรุ่นที่ 3 ของตระกูล ต่างก้าวเข้าสู่เคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าขั้นที่ 2 แล้ว เนื่องจากการไม่แสดงความสามารถด้านพลังทำให้ชิงสุ่ยยังคงถูกจัดอยู่ในกลุ่มที่ตามหลัง เขาถูกจัดอยู่ในกลุ่มคนอ่อนแอ เขาเป็นเพียงคนกลุ่มน้อยนิดที่ถูกจัดในกลุ่มระดับอาณาจักรพลังปราณฝึกหัด แม้แต่ชิงฮูยังผ่านเข้าสู่ระดับอาณาจักรพลังปราณนักรบแล้ว เป็นเพราะด้วยเหตุผลที่ว่า หากผู้ใดฝึกฝนไม่ถึง 3 ปี จะถูกจัดอยู่ในระดับต่ำสุด
” ช่างเถอะ ข้าไม่สนใจเรื่องธรรมดาพวกนี้หรอก ตราบใดที่ข้าเป็นคนกำหนดเส้นทางที่จะเดิน และความมุ่งมั่น สักวันข้าจะต้องก้าวไปสู่จุดสูงสุดอย่างแน่นอน” อย่างไรก็ตาม ชิงสุ่ยรู้ว่าเส้นทางข้างหน้ายังอีกยาวไกลและลำบากอย่างมาก
” ชิงสุ่ย” ชิงสุ่ยหันศีรษะของเขาขณะที่เขาได้ยินคนเรียกชื่อของเขา คนๆจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากพ่อของชิงฮู ชิงไฮนั้นเอง
” เอ่อออออ. . .ท่านลุงสี่” ชิ่งสุ่ยกล่าว
” ทำไมลุงไม่เห็นหลานมาฝึกซ้อมเมื่อเช้านี้ หลายไม่สบายหรือว่าหลานเป็นอะไร ” ชิงไฮ ถามด้วยความกังวลในเสียงของเขา
” อ๋อ หลานสบายดีครับ ท่านลุงสี่ไม่ต้องเป็นห่วงหลาน เพราะการฝึกฝนเมื่อคืนของหลาน ทำให้หลานเองเผลอหลับไปและทำให้หลานตื่นขึ้นมาไม่ทันการฝึกซ้อมตอนเช้าวันนี้ หลานจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้วครับท่านลุงสี่” ชิงสุ่ย ส่ายหัว พร้อมกับยิ้มเขินๆออกมา
” มันจะดีกว่านี้มากนัก หากหลานจะรักษาร่างกายให้พร้อมเข้าไว้ ไม่ควรหักโหมมาก เส้นทางเส้นนี้ยังอีกยาวไกลและต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่องในการใช้ชีวิตประจำวัน ” ชิงไฮกล่าวสั่งสอน
ชิงไฮ มีความภาคภูมิใจอย่างมากในความพยายามที่ชิงสุ่ยได้สร้างขึ้นมาใน 1 ปีที่ผ่านมา เขาแอบดีใจที่หลานชายของเขาเปลี่ยนไปมากเมื่อปีที่ผ่านมา ในอดีต บุคลิกของชิงสุ่ยเป็นคนเย็นชากับทุกคนยกเว้นแม่ของเขา ชิงอี้ หลังจากที่เขาฟื้นขึ้นมาจากครั้งนั้น เขาดูมีชีวิตชีวามากขึ้น และเปิดใจรับผู้อื่นมากขึ้น
“ครับ หลานเข้าใจแล้ว หลานจะปฎิบัติตามคำสอนของท่านลุงสี่อย่างแน่นอน” ชิ่งสุ่ยกล่าวอย่างนับถือ
หลังจากกล่าวคำร่ำลากับชิงไฮเสร็จเรียบร้อย ชิงสุ่ยก็เดินออกจากบ้านตระกูลชิง แม้แต่ตอนที่เขาเดิน ชิงสุ่ยก็ยังคงฝึกฝนหมัดอสูรสันโดษตลอดเวลา เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจให้มากขึ้น
เคล็ดวิชากายาบรรพกาล ทำให้ร่างกายของชิ่งสุ่ยมีความยืดหยุ่นและคล่องตัว ดังนั้นทุกกระบวนท่าที่เขาแสดงออกมานั้น ผู้คนต่างมองว่าเป็นการเคลื่อนไหวที่ยาก แต่ชิงสุ่ยเองสามารถทำได้อย่างง่ายดาย ปัจจุบันเขาเข้าถึงการควบคุมสมาธิได้บางส่วนแล้ว เขาสามารถที่จะฝึกการเคลื่อนไหวของเขา รวมทั้งควบคุมการหายใจ รวมทั้งความหลากหลายของสถานการณ์ ทั้งหมดเริ่มถูกควบคุมได้อย่างช้า ๆ
หลังจาก 1 ปีผ่านไป การฝึกฝนเคล็ดวิชากายาบรรพกาล ทำให้ ชิงสุ่ยมีร่างกายที่แข็งแกร่งเปรียบดั่งเหล็กกล้า และเต็มไปด้วยความแข็งแรง
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้เขายังไม่ได้มีโอกาสที่จะเรียนรู้เทคนิคของการต่อสู้ในสนามจริง ถ้าเขาต้องต่อสู้กับฝ่ายตรงข้าม เขาคงต้องพึ่งแต่ความแข็งแกร่งของร่างกายเพียงอย่างเดียวไม่อาจพึ่งพาเทคนิคการต่อสู้ได้เพราะเหล่าเคล็ดวิชาและเทคนิคต่างๆเปรียบเสมือนอุปกรณ์เสริมสร้างความแข็งแกร่ง
ความแข็งแกร่งของเขาเกิดจากการปรับแต่งร่างกายของเคล็ดวิชากายาบรรพกาล แม้ว่าความสำคัญของเคล็ดวิชานี้จะสูงมาก แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้ละทิ้งการฝึกฝนเคล็ดวิชาอื่นๆ เพราะในยามที่ต้องต่อสู้นองเลือด เค้นฆ่าศัตรู เคล็ดวิชาต่างๆจะสามารถใช้เพื่อฆ่าฝ่ายตรงข้ามของเขาได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด
ชิงสุ่ยค่อยๆเคลื่อนไหวมือของเขาอย่างรวดเร็ว คนที่จ้องมองเขาเริ่มจะสับสนว่าตาของพวกเขาจะไม่สามารถที่จะติดตามการเคลื่อนไหวของมือคู่นั้นได้ ยิ่งเขาฝึก เขายิ่งรู้สึกว่าหมัดอสูรสันโดษคล้ายๆ กับเทคนิคบางส่วนของกระบวนท่าฝ่ามือพิชิตมังกรของสำนักเสาหลิน เมื่อเปรียบเทียบกับโลกเดิมของเขา แต่กระบวนท่านี้อยู่ในระดับที่สูงกว่ามาก มันค่อนข้างคล้ายเพลงมวยหย่งชุนอีกด้วย
บางทีอาจเป็นเพราะการฝึกทั้งเคล็ดวิชาดอกบัวปราณฟ้าและเคล็ดวิชากายาบรรพกาล หรือแม้กระทั้งการเปิดวังวนแห่งความรู้ ทำให้ ชิงสุ่ยมีความเข้าใจเกี่ยวกับร่างของเขา และเส้นชีพจรต่างๆ
” หมัดอสูรสันโดษ มันเป็นเทคนิคการปล่อยหมัดที่จะสามารถสังหารศัตรูได้ กำปั้นนี้อาจจะถือว่าเป็นอาวุธ ” ชิงสุ่ย มีอาการครุ่นคิดพร้อมจองมองไปยังกำปั้นของเขาเอง
ยิ่งชิงสุ่ยมีความเข้าใจในความรู้มากยิ่งขึ้น ร่างกายของเขาก็จะตอบสนองดียิ่งขึ้น การปล่อยหมัดหนึ่งหมัด หากเขาหลับตาลง เขาจะรู้สึกได้ทันทีถึงการเต้นของหัวใจ การเคลื่อนไหวตอบสนองของเซลล์ประสาทในสมอง วิเคราะห์เส้นทางที่เป็นไปได้ในอัตราที่รวดเร็วไม่ว่าจะเป็น การโจมตี การป้องกัน และการหลบ
ทันใดนั้น ชิงสุ่ยค่อยๆหยุดความคิดทั้งหมดและครุ่นคิดถึงบางสิ่งบางอย่าง “หรือว่านี้คือการรับรู้อย่างแท้จริง”