เคล็ดกายานวดารา - ตอนที่ 3 ความเด็ดเดี่ยวที่ถูกแสดงออกมา
ณ จักรวรรดิเมืองเฟิงหมิง อันเจริญเฟื่องฟูในด้านวิทยายุทธ์ การถูกท้าประลองถือเป็นสิ่งที่ยากจะปฏิเสธได้ ดังนั้นที่นอกเมืองจักรวรรดิจึงมีเวทีสำหรับประลองอยู่แห่งหนึ่ง เป็นพื้นที่ที่มีไว้เพื่อสะสางความแค้นส่วนตัวกัน
เวทีแห่งนี้ขอเพียงทั้งสองฝ่ายยินยอมลงนามเพื่อทำการประลองเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อการประลองบนเวทีได้เริ่มต้นขึ้นต่อให้อีกฝ่ายถูกสังหารก็ไม่อาจใช้กฎบ้านกฎเมืองของจักรวรรดิในการตัดสินลงโทษได้
ตามปกติจะมีผู้คนจำนวนมากเข้าชมเพื่อความสนุกสนานครื้นเครง ในวันนี้ก็มีจำนวนไม่น้อยเลยที่มาชมจนการต่อสู้ในแต่ละรอบจบลง รอบต่อมามีเด็กหนุ่มสองคนก้าวขึ้นเวที ซึ่งถูกจับตามองและได้รับเสียงฮือฮาจากผู้คนที่อยู่ด้านล่างเวทีเป็นอย่างมาก
“นั่นไม่ใช่หลงเฉินหรอกหรือ? เขามาได้อย่างไรกัน?“
“นั่นคือเขา เมื่อวานที่ถูกทุบตีจนปางตาย แล้ววันนี้ทำไมยังมาอีก? “
“เหอะ คิดว่าคงจะไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้ว จึงได้มายังที่แห่งนี้เพื่อให้คนทุบตีจนตายอีก”
หลงเทียนเซียวเป็นถึงขุนนางเจิ้งหยวน อีกทั้งยังเป็นถึงแม่ทัพอันดับหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วคนที่เรียกเขาว่าแม่ทัพใหญ่ก็มีแต่เพียงสามัญชนอายุมากที่สนทนาเกี่ยวกับการรบระหว่างเวลาน้ำชาเท่านั้น
แต่เหล่าบุคคลที่มั่งมีทั้งเงินทองและยศถาบรรดาศักดิ์ในจักรวรรดิกลับไม่เห็นหลงเทียนเซียวที่เคยมีฐานะเป็นเพียงสามัญชนอยู่ในสายตาเลย หากพูดถึงหลงเฉินแล้ว ผู้ที่เห็นเขาอยู่ในสายตานั้นกลับยากยิ่งกว่า
“หลงเฉิน เจ้ามันก็แค่คนไร้ประโยชน์ ยังจะมาอีกทำไม มีแต่จะเสียเวลาเปล่าไม่ใช่หรือ? ใครมันจะไปอยากดูเจ้าประลองอีก รีบไสหัวกลับไปซะ”
“ใช่แล้ว ถ้าอยากจะฆ่าตัวตายก็ไปที่ที่ไม่มีผู้คน ไม่มีผู้ใดอยากดูคนไร้ประโยชน์อย่างเจ้า เสียเวลาจริงๆ”
ในเวลานี้มีผู้ชมอยู่ในสนามต่อสู้นับร้อย เมื่อเห็นหลงเฉินขึ้นเวที ทางด้านล่างเวทีที่คึกคักมาได้ช่วงหนึ่งก็อดที่จะด่าทอออกมาไม่ได้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขามีความรู้สึกที่ไม่ดีต่อหลงเฉินเอามากๆ
ทว่าในบริเวณไม่ไกลมากนักที่มุมหนึ่งของสนามประลอง มีเด็กสาวสองคนปิดบังใบหน้าด้วยผ้าคลุมหน้ากำลังจ้องมองไปยังด้านบนเวทีอย่างใจจดใจจ่อ
“นั่นไม่ใช่คู่หมั่นของเจ้าหรอกหรือ? เหตุใดสารรูปถึงดูไม่ได้เลยเล่า ทั่วทั้งร่างไม่มีความสง่าเลยแม้แต่น้อย” เด็กสาวผู้หนึ่งละสายตาจากเวทีพร้อมกับกล่าวขึ้นมา
“เหอะ ยังไม่ใช่เสียหน่อย เป็นท่านพ่อตัดสินใจด้วยตัวเองต่างหาก จัดการหมั้นหมายขึ้นให้ข้าแต่งกับเขา ช่างน่าโมโหยิ่งนัก” หญิงสาวอีกนางหนึ่งได้โต้กลับมาอย่างโกรธเคือง
ด้านบนเวทีต่อสู้ หลงเฉินไม่ทราบเลยแม้แต่น้อยว่าตอนนี้กำลังถูกหญิงสาวสองนางจ้องมองมาที่เขาอยู่ ส่วนเสียงกรนด่าที่ดังก้องไปทั่วบริเวณนั้น เขากลับรู้สึกเมินเฉย ไม่สะทกสะท้านเลยแม้แต่น้อย สายตาเอาแต่จ้องมองไปที่หลี่เฮ่าอย่างเย็นชา
หลี่เฮ่าชี้ไปยังกลุ่มคนที่กำลังปั่นป่วนอยู่ เขาหัวเราะอย่างบ้าคลั่งแล้วพูดขึ้นว่า “เห็นหรือยัง? เจ้าก็เป็นได้แค่คนไร้ประโยชน์ที่ไม่มีผู้ใดอยากจะต้อนรับเลยด้วยซ้ำ จงยอมรับชะตากรรมแล้วเอาหัวโขกกำแพงตายไปเสียจะดีกว่า”
หลงเฉินเพียงแต่มองไปที่เขาอย่างนิ่งเฉย ไม่ส่งเสียตอบกลับใดๆ
เคร้ง
เสียงระฆังดังขึ้น นั่นเป็นสัญญาณแห่งการเริ่มต่อสู้ เมื่อเสียงระฆังดังขึ้นแปลว่าทั้งคู่เข้าสู่เส้นทางแห่งความเป็นความตายแล้ว
กลุ่มคนที่ปั่นป่วนวุ่นวายก็สงบลงได้เพราะเสียงระฆัง ถึงอย่างไรก็ตามการต่อสู้นี้อาจจะไม่ได้ตัดสินเพียงผลแพ้ชนะ ไม่แน่ว่าในบางเวลาก็อาจจะหมายถึงตัดสินชีวิตคนได้เลย
“คู่หมั้นของเจ้าดูไม่เหมือนกับผู้มีวิทยายุทธ์เลย และที่เขากำลังเผชิญหน้าอยู่ก็เป็นผู้ที่อยู่ในขั้นก่อรวมในระดับที่สามเลยนะ เจ้าไม่เป็นห่วงบ้างเลยหรือ?” เด็กสาวผู้นั้นถามออกมาอีกครั้ง
“เหอะ มีอะไรน่าเป็นห่วงกัน ตายไปเสียได้ก็ดี เกี่ยวอะไรกับข้ากัน” หญิงสาวอีกคนก็ส่งเสียงอย่างแผ่วเบา ทว่าแม้ปากจะกล่าวเช่นนั้นแต่บนฝ่ามือกลับได้มีพลังประหลาดคล้ายร่างแหหนึ่งปรากฏขึ้นมา
“ฮิฮิ เจ้าบอกว่าไม่สนใจเขา แต่ก็เตรียมอุปกรณ์ยุทธ์เอาไว้ ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังเป็นห่วงเขาอยู่ และถึงแม้เขาจะฝึกยุทธ์ไม่ได้ แต่ด้านรูปร่างหน้าตาถือว่าไม่เลวเลยทีเดียว ถ้าเจ้าไม่ต้องการเขาก็ยกให้ข้าเถอะนะ” เด็กสาวผู้นั้นพูดเสียงใสพร้อมหัวเราะร่าออกมา
“อย่าพูดเหลวไหล เรื่องเช่นนี้สามารถยกให้กันไปมาได้อย่างนั้นหรือ? หากเจ้าชมชอบเขาก็รอให้ถึงวันที่ข้าถอนหมั้นกับเขาก็แล้วกัน จากนั้นก็ตามแต่เจ้าจะเห็นควรเถอะ” หญิงสาวอีกคนกล่าวขึ้นมาคล้ายกับมีความขุ่นเคืองเล็กน้อย
“ฮิฮิ”
บนเวทีต่อสู้ขณะนี้หลงเฉินได้เริ่มที่จะเยือกเย็นดุจสายน้ำ ต่างจากเมื่อวานที่ได้แต่กัดฟันด้วยความโกรธแค้น เรียกได้ว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลย
“หลงเฉิน ความตายได้กล้ำกรายเข้าไปหาเจ้าแล้วใช่หรือไม่ ถึงกับนิ่งเงียบไปเลยหรือ? วางใจเถิด ข้าจะเห็นแก่การเดิมพันของเจ้า วันนี้ข้าจะไม่ทุบตีเจ้าจนตายก็แล้วกัน” หลี่เฮ่ากล่าวออกมาด้วยใบหน้ายิ้มเยาะสะใจ
“วาจาผายลมเยอะเสียจริงนะ รีบลงมือเถิด อีกเดี๋ยวข้ามีเรื่องที่จะไปทำต่อ” หลงเฉินทนไม่ไหวจนต้องกล่าวออกมาด้วยความรำคาญ
เพราะรอบสนามเงียบสงัด ดังนั้นคำพูดที่หลงเฉินกล่าวจึงดังกระทบโสตประสาทของผู้คนทั้งหมดโดยไม่ตกหล่นเลยแม้แต่คำเดียว พริบตาเดียวผู้คนทั่วทั้งด้านล่างเวทีต่อสู้ก็ได้ระเบิดเสียงหัวเราะเย้ยหยันออกมากลบความเงียบงันเมื่อครู่ก่อนหน้า
“หลี่เฮ่า เจ้ายังจะรออะไรเล่า รีบไปทุบตีเจ้าคนบัดซบผู้นี้ให้ตายเร็ว ช่างทำตัวน่ารังเกียจยิ่งนัก”
แล้วคนที่รู้จักของหลี่เฮ่าก็ได้ตะโกนขึ้นมาเสียงดัง
สีหน้าของหลี่เฮ่าปรากฏรอยยิ้มเยาะขึ้นมาอีกครั้ง เขาไม่ลังเลอีกต่อไปและเริ่มระเบิดพลังขั้นก่อรวมระดับสามทั้งหมดออกมา แค่ก้าวเท้าเหยียบลงด้านบนของเวทีต่อสู้เพียงเล็กน้อย เขาก็พุ่งตัวออกไปถึงด้านหน้าของหลงเฉินแล้วพุ่งหมัดออกไป
หลี่เฮ่าออกกระบวนท่าไปทำให้ด้านล่างเวทีเกิดเสียงระเบิดดังขึ้นมา ท่วงท่าของหลี่เฮ่านั้นอ่อนช้อยสวยงาม ทั้งยังให้ความรู้สึกที่ชวนหลงใหลเป็นอย่างยิ่ง
“กระบวนเยี่ยม หมัดต้นสนหยกต้านสายลม”
ทว่าเด็กสาวสองคนในบริเวณที่ห่างออกไปนั้นมองกระบวนท่านี้ออก ต่างก็อุทานร้องเพ่ยออกมา แล้วมุมปากก็ปรากฏรอยยิ้มเย้ยหยันขึ้น
หลงเฉินก็ได้ยิ้มเยาะที่มุมปากเช่นเดียวกัน กระบวนท่าที่เต็มไปด้วยช่องโหว่นับร้อยคงจะมีแต่คนโง่เขลาเบาปัญญาเท่านั้นที่จะใช้มันออกมา มีหรือที่จะสามารถนำมาต่อกรกับศัตรูได้?
หมัดได้พุ่งตรงเข้ามาที่ใบหน้าของตนราวกับหอบสายลมเข้ามาด้วยกัน แต่หลงเฉินทำเหมือนกับมองไม่เห็น เหมือนจะขยับและเหมือนจะไม่ขยับในคราเดียวกัน
“ฮ่าฮ่า เจ้าคนไร้ประโยชน์ แม้จะหลบก็ยังหลบไม่เป็นเลยนะ” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นจากกลุ่มคนด้านล่างเวที
แต่ทว่าขณะที่พวกเขาส่งเสียงออกมาไม่ทันจะสุดประโยค หมัดของหลี่เฮ่าก็ได้หยุดลงก่อนจะปะทะใบหน้าของหลงเฉินราวสามนิ้ว