ระบบเจ้าสำนัก***(จบแล้ว)*** - ตอนที่ 27 : พันธมิตรร้อยสำนัก
ตอนที่ 27 : พันธมิตรร้อยสำนัก
“ช่างมันเถอะ ไม่ว่ายังไงก็ตามไม่มีใครในเมืองนี้เป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้” จางหยูเลิกสนใจปัญหานี้ อย่างไรเสีย ในที่ที่ห่างไกลอย่างเมืองทะเลทราย ระดับว่อซวนนั้นถือว่าไร้เทียมทาน
นี่ก็ไม่เช้าแล้ว จางหยูลุกขึ้นจากเตียง และเตรียมตัวจะไปสอน
แต่ตอนที่เขาเงยหน้าขึ้น ทันใดนั้นสีหน้าเขาก็แข็งทื่อเล็กน้อย เมื่อกวาดสายตามองไปรอบๆ นี่มัน…ราวกับโดนพายุซัดถล่มอย่างหนัก จนเละเทะไปหมด
“ นี่มันเรื่องอะไรขึ้น?” จางหยูมองสภาพห้องที่เละตุ้มเปะ ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองเสี่ยวเฉียงที่ยืนอยู่หน้าประตู เขาแสดงสายตาไม่พอใจออกมาและถามว่า “ เสี่ยวเฉียง ยอมรับมาอย่างซื่อสัตย์ซะ เจ้าทำใช่รึไม่!”
“ โฮ่งโฮ่ง……” เสี่ยวเฉียงเห่าออกมาสองครั้งราวกับจะประท้วงคำพูดนั้น ทว่าก็ถูกสายตาไม่พอใจของจางหยู ทำเอาตกใจกลัวจนต้องถอยหนีออกมา
จางหยูเดินออกมาจากห้องด้วยสีหน้าอึมครึม แต่เมื่อต้นไม้ที่อยู่ด้านนอกล้มระเนะระนาด เขาก็ยิ่งขมวดคิ้วหนักกว่าเดิม “ตอนที่ข้าบ่มเพาะพลังอยู่ ด้านหน้าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เมื่อลองคิดดูดีๆแล้ว จางหยูก็เดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทันใดนั้นเขาก็แสดงสีหน้าเก้อเขินออกมา
“ เอ่อ…” จางหยูเกาหัวเล็กน้อยและมองไปที่ลานบ้านซึ่งมีสภาพเละเทะ ก่อนจะเผยรอยยิ้มจนใจออกมา “ดูเหมือนว่า….ข้าจะเป็นคนทำเองสินะ…”
จางหยูถอนหายใจเบาๆ จากนั้นก็มุ่งหน้าไปที่ห้องเรียนพร้อมกับพึมพำไปด้วยว่า “ ดูเหมือนครั้งหน้า ข้าจะบ่มเพาะในบ้านไม่ได้”
‘ทักษะจี๋อู่’ เป็นทักษะบ่มเพาะที่ร้ายกาจมาก ผลกระทบในขณะบ่มเพาะก็มากเกินไป ก่อนหน้านี้ระดับการบ่มเพาะของจางหยูยังต่ำอยู่ ดังนั้นจึงไม่ส่งผลกระทบที่ใหญ่โตกับบ้านหลังน้อยของเขา แต่เมื่อการบ่มเพาะของเขาสูงขึ้น ผลกระทบของ‘ทักษะจี๋อู่’ ก็ขยายเป็นวงกว้าง ครั้งหน้าหากเขาบ่มเพาะพลังอยู่ในห้อง เกรงว่าอาจจะทำให้บ้านถล่มลงมาก็เป็นได้
หลังจากเดินข้ามลำธารในสำนัก ไม่นาน จางหยูก็มาถึงห้องเรียน
ตอนนั้นเองศิษย์ทุกคนก็มากันครบแล้ว รวมไปถึง อู่เฉิน, อู่โม่ และ อู่ซินซิน ทุกคนต่างก็นั่งรออยู่ในห้องเรียน
สายตาที่ทุกคนจ้องมองมาที่จางหยู มันเปี่ยมไปด้วยความตื่นเต้น แม้แต่อู่เฉินเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
จางหยูเดินเข้ามาในห้องเรียนอย่างช้าๆ พร้อมกับกวาดตามองไปรอบๆ ก่อนจะกระแอมขึ้นมา “อะแฮ่ม มาเริ่มบทเรียนในวันนี้กันเถอะ”
…
สองวันต่อมา
หลินไห่หยาและลัวเยว่ซานที่หายตัวไปสองวัน ในที่สุดก็ปรากฏตัวขึ้น พวกเขามาพร้อมกับชายลึกลับวัยกลางคนผู้หนึ่ง
ฐานะของชายลึกลับวัยกลางคนผู้นี้ยิ่งใหญ่มาก กระทั่งหลินไห่หยาและลัวเยว่ซานก็ไม่กล้าเดินเคียงข้าง มิหนำซ้ำ พวกเขายังคอยประจบประแจงเอาใจ ราวกับสุนัขกำลังประจบเจ้าของ นี่ไม่ใช่พฤติกรรมที่เจ้าสำนักสองคนนั้นจะแสดงออกมาในยามปกติ
หลินไห่หยาและลัวเยว่ซานต้อนรับชายวัยกลางคนผู้นี้ราวกับเป็นดาวล้อมเดือน ขณะเข้าเมืองทะเลทราย พวกเขาพากันเดินทางไปที่สำนักเฉินกวง
ชายวัยกลางคนผู้นี้ค่อนข้างเย่อหยิ่ง เหมือนกับว่าการที่หลินไห่หยาและลัวเยว่ซานนอบน้อมและเอาใจใส่เขานั้น ถือเป็นเรื่องปกติ ราวกับว่ามันคือสิ่งที่สมควรทำอยู่แล้ว
เมื่อทั้งสามคนเดินมาถึงหน้าประตูของสำนักเฉินกวง ชายลึกลับก็ชะงักเท้าไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกวาดสายตามองไปรอบๆด้วยแววตาดูแคลน “ นี่คือสำนักเฉินกวงงั้นรึ ? เล็กจริงๆ สุ่มเลือกสำนักในเมืองตงโจวมาสักแห่ง ยังใหญ่กว่าที่นี่เสียอีก! กระทั่งเงื่อนไขที่ต่ำที่สุดของสำนักหนึ่งดาว เกรงว่าสำนักเฉินกวงก็ยากที่จะผ่านมาตราฐาน”
เมืองตงโจวเป็นหัวเมืองของเขตตงโจว มันคือเมืองใหญ่ไม่กี่เมืองในราชวงศ์โจวนี้
“คำพูดของใต้เท้าโจวมีเหตุผล ยังไงซะเมืองทะเลทรายของพวกเราก็เป็นเพียงเมืองเล็กๆ การที่ใต้เท้าโจวนำสำนักเฉินกวงไปเทียบกับสำนักในเมืองตงโจวนั้น ถือว่าเป็นเกียรติสำหรับพวกข้าแล้ว” หลินไห่หยายิ้ม พลางทำท่านอบน้อมเกรงใจ ไร้ซึ่งภาพลักษณ์ของเจ้าสำนัก
ลัวเยว่ซานเองก็ยืนประจบอยู่ข้างๆ “ใต้เท้าโจวหูตากว้างไกล เป็นธรรมดาที่จะไม่เห็นสำนักเล็กๆในเมืองไกลปืนเที่ยงอย่างพวกเราอยู่ในสายตา”
ตอนนั้นเอง เมื่อหลี่เทียนหยงยามเฝ้าหน้าประตูของสำนักเฉินกวงเห็นหลินไห่หยา เขาก็ได้ร้องไห้ออกมา ก่อนจะตะโกนด้วยเสียงที่สั่นเทาว่า “ เจ้าสำนัก ท่านเจ้าสำนัก !”
ก่อนที่หลินไห่หยาจะได้ตอบกลับ หลี่เทียนหยงก็หันกลับไปตะโกนบอกคนในสำนักว่า “เจ้าสำนักกลับมาแล้ว !”
เพียงไม่กี่อึดใจ ผู้คนจำนวนมากก็แห่ออกมาจากสำนัก ทุกคนต่างสวมเครื่องแบบครูฝึกสำนักเฉินกวง สีหน้าของพวกเขาดูตื่นเต้นเล็กน้อย คล้ายกับเด็กที่ทำผิดแล้วเห็นพ่อแม่ของตัวเองปรากฏตัวขึ้น ทันทีที่เห็นเจ้าสำนัก แต่ละคนก็ตะโกนเรียก “เจ้าสำนัก” ไม่ขาดปาก น้ำเสียงของพวกเขาดังขึ้นมาพร้อมกัน ราวกับได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี
พวกเขาเพิ่งโดนจางหยูรังแก และคนที่ช่วยเหลือพวกเขาได้ก็กลับมาแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา
หลินไห่หยามองกลุ่มครูฝึกอย่างสับสนและพึมพำในใจขึ้นมาว่า “ทำไมเจ้าพวกนี้ถึงได้ทำตัวแปลกๆ?”
เมื่อใต้เท้าโจวเห็นฉากนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเลิกคิ้ว ก่อนจะถามอย่างแปลกใจ “ความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าสำนักหลินและครูฝึก ดีขนาดนี้เลยรึ ?”
“ดี ? “ ใบหน้าของหลินไห่หยานิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหัวเราะออกมา “หึๆ ก็ดีพอสมควรขอรับ”
ลัวเยว่ซานมองไปที่หลินไห่หยาด้วยความสงสัย เขารู้จักหลินไห่หยามาหลายปี และคิดว่าตัวเอง เข้าใจหลินไห่หยากับสำนักเฉินกวงดีพอสมควร แต่ทำไมเขาถึงไม่เคยพบว่าหลินไห่หยากับเหล่าครูฝึกจะมีความสัมพันธ์ที่ดีขนาดนี้ ทว่า…ฉากตรงหน้ากลับทำให้เขารู้สึกสับสนเล็กน้อย
เขาถึงขั้นสงสัยว่า หลินไห่หยาอาจจะเตรียมจัดฉากอยู่แล้วก็ได้?
แม้หลินไห่หยาจะไม่รู้ว่าทำไมครูฝึกพวกนี้ถึงได้มีท่าทางแปลกๆ แต่ในเมื่อมันเป็นผลดีต่อเขา เขาก็ไม่รังเกียจที่จะใช้ประโยชน์จากมัน หลินไห่หยาทำมือให้ทุกคนเงียบลง จากนั้นก็ยิ้มน้อยๆออกมา “เจ้าเห็นใต้เท้าผู้ยิ่งใหญ่ที่ยืนอยู่ข้างกายข้าไหม? ท่านผู้นี้ก็คือโจวซุน ผู้ดูแลพันธมิตรร้อยสำนักของสาขาเมืองตงโจว ใต้เท้าโจว! เอาล่ะทุกคน ปรบมือต้อนรับใต้เท้าโจวกันหน่อย!!”
เดิมทีครูฝึกตั้งใจจะบอกสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนให้หลินไห่หยาฟัง แต่เมื่อรู้ตัวตนของโจวซุน พวกเขาก็พากันตกตะลึงจนตาค้าง ในหัวพลันว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออก
“พันธมิตรร้อยสำนัก !”
“ ผู้ดูแลสาขา!”
แค่ฐานะนี้ก็สำคัญมากแล้ว!
พันธมิตรร้อยสำนักคือหนึ่งในองค์กรที่แข็งแกร่งที่สุดของทวีปป่า มันประกอบไปด้วยสำนักน้อยใหญ่มากมาย ซึ่งอาจจะพูดได้ว่า สำนักทั้งหมดในทวีปป่าอยู่ภายใต้การควบคุมของพันธมิตรนี้ ดังนั้นอำนาจของพันธมิตรร้อยสำนักจึงครอบคลุมไปทั่วทั้งทวีปป่า ซึ่งอธิบายได้ว่านี่คือยักษ์ใหญ่ที่แท้จริง
ภายในพันธมิตรร้อยสำนักนั้นมีการแบ่งระดับกันอย่างเข้มงวด จากสำนักเล็กที่ไม่มีใครชายตามอง จนไปถึงสำนัก 6 ดาวที่สูงส่ง ระดับที่แตกต่างกัน จะมีช่องว่างและอำนาจที่แตกต่างกันไป ยิ่งระดับของสำนักสูงเท่าไหร่ พวกเขาก็จะยิ่งได้รับทรัพยากรมากขึ้นเท่านั้น
สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานนั้นอาจจะทรงพลังในสายตาของคนทั่วไป มันไม่เกินไปที่จะบอกว่าสำนักของพวกเขาคือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำหรับผู้บ่มเพาะในเมืองทะเลทราย แต่สำหรับพันธมิตรร้อยสำนักแล้ว สำนักเฉินกวงและสำนักหยุนซานถือว่าเป็นสำนักที่ไม่มีใครชายตามอง มันไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นสำนักหนึ่งดาวเลยด้วยซ้ำ
ความแข็งแกร่งของพันธมิตรร้อยสำนักบ่งบอกได้จากจุดนี้ !
ตอนนั้นเอง ฝูงชนพากันหันไปมองใต้เท้าโจวที่ยืนอยู่ตรงหน้าเป็นตาเดียว ที่แท้ก็คือผู้ดูแลพันธมิตรร้อยสำนักของสาขาเมืองตงโจวนี่เอง ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมทุกคนถึงได้ช็อก
ต้องรู้ว่า พันธมิตรร้อยสำนักนั้นไม่ใช่ขุมกำลังทั่วไป แม้แต่ตัวผู้ดูแลเองก็มีความแข็งแกร่งที่น่ากลัว !
หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ โจวซุนนั้นแข็งแกร่งมาก เพราะเขาคือนักสู้ระดับว่อซวน!
ในสายตาของเหล่าครูฝึกแล้ว โจวซุนดูคล้ายกับเทพเจ้าที่พวกเขาเคารพบูชา เมื่อเทพในตำนานปรากฏกายต่อหน้า แล้วจะให้พวกเขาทำใจเย็นต่อไปได้อย่างไร?
โจวซุนรู้สึกพอใจกับสายตาเลื่อมใสของเหล่าครูฝึก
ในพันธมิตรร้อยสำนัก เขาเป็นแค่ลูกกระจ๊อกที่ไร้ค่าคนหนึ่ง แต่เมื่อมายังสำนักเล็กๆอย่างสำนักเฉินกวงแล้ว เขากลับดูสูงส่งและโดดเด่นราวกับดวงอาทิตย์ ความรู้สึกนี้ทำให้เขาพอใจจนยากจะสลัดความรู้สึกนี้ทิ้งได้
แปะ แปะ แปะ !
เหล่าครูฝึกของสำนักเฉินกวงพากันปรบมือด้วยความตื่นเต้นจนเสียงดังกึกก้อง
โจวซุนจัดเสื้อผ้าให้ดูเรียบร้อย จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และเดินไปตรงหน้าเหล่าครูฝึก ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่เขาคิดว่ามีเสน่ห์ออกมา “ สวัสดีทุกคน !”
แน่นอนว่าในสายตาของเหล่าครูฝึกแล้ว โจวซุนผู้นี้ช่างมีเสน่ห์ยิ่งนัก
เสน่ห์ของเขาไม่ได้มาจากรอยยิ้มแต่มาจากฐานะของเขาต่างหาก
หลังจากที่เสียงปรบมือได้หยุดลง หลินไห่หยาก็เพิ่งสังเกตเห็นความผิดปกติ เขาขมวดคิ้วก่อนจะถามขึ้นมาว่า “จั่นเฟิงและโม่เทียนโฉวล่ะ ? มีใครรู้บ้างว่าพวกเขาไปไหน ?”
ทันทีที่คำถามนี้ดังขึ้นมา สำนักที่คึกครื้นก็พลันเงียบสงบในทันที
คำเตือนของหลินไห่หยา ทำให้เหล่าครูฝึกเพิ่งนึกได้ว่ามีเรื่องสำคัญที่ต้องบอกหลินไห่หยา
“เจ้าสำนัก….” ครูฝึกคนหนึ่งอ้ำอึ้งเล็กน้อย ก่อนจะกล่าวต่อไปว่า “รองเจ้าสำนักจั่นเฟิงและครูฝึกโม่…ตายแล้ว”
เมื่อได้ยินแบบนั้น สีหน้าของหลินไห่หยาก็เปลี่ยนไปทันที “ว่าไงนะ!”
คนหนึ่งคือนักสู้ฉีซวนขั้นที่ 8 ชั้นต้น ส่วนอีกคนคือนักสู้ฉีซวนขั้นที่ 9 สูงสุด พวกเขาตายอย่างนั้นรึ?
ครูฝึกที่เหลือพากันร้องไห้ออกมา
“ ตาย ทุกคนตายแล้ว ! รองเจ้าสำนักจั่นเฟิงตาย ครูฝึกโม่ตาย แม้แต่ผู้อาวุโสก็ตายด้วย !”
“ฮือออ…..จางหยูมันคือปีศาจ เขาไม่เพียงสังหารรองเจ้าสำนักจั่นเฟิงเท่านั้น แต่ยังปล้นตำราในห้องตำราไปจนเกลี้ยง!”
“แถมยังบังคับให้พวกเราขนมันออกไปด้วย ถ้าหากพวกเราไม่ขน เขาก็จะฆ่าพวกเรา ! ”
“ เจ้าสำนัก ท่านต้องแก้แค้นให้กับพวกเรา !”
ในหมู่ครูฝึกพวกนี้ คนที่เด็กสุดก็อายุสามสิบกว่าปี ส่วนคนที่แก่สุดก็อายุเจ็ดสิบปี ทว่าตอนนี้พวกเขาร้องไห้ออกมาราวกับเด็กน้อยที่ถูกรังแกมา แต่ละคนต่างอธิบายถึงความคับแค้นใจและความอยุติธรรมที่ได้พบ
หลินไห่หยาถึงกับมึนหัวตัวสั่น เขาแทบยืนไม่ไหว ขณะเดียวกันก็พึมพำออกมาอย่างตกตะลึงว่า “ทุกคนตายหมดเลยงั้นรึ ?”
ทั้งสำนักเฉินกวงในตอนนี้ นอกจากข้าและผู้อาวุโสไม่กี่คน ที่เหลือล้วนมีแต่พวกกระจอก?
เสียงร้องไห้ของเหล่าครูฝึก ทำให้ลัวเยว่ซานรู้สึกไม่ดีขึ้นมา พร้อมกับใจที่เต้นรัว “ตอนที่พวกเราออกเดินทาง จั่นเฟิงกับลัวจวินก็ออกไปทำภารกิจด้วยกัน ถ้าหากจั่นเฟิงตาย แล้ว….แล้วลัวจวินล่ะ! เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”
จิตสังหารสว่างวูบในดวงตา ก่อนที่ลัวเยว่ซานจะพุ่งเข้าไปกระชากคอเสื้อครูฝึกคนหนึ่ง แล้วถามอีกฝ่ายด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ แล้วลัวจวินล่ะ เขาอยู่ไหน ? บอกข้ามาสิ ลัวจวินอยู่ที่ไหน !” ลัวจวินไม่ใช่แค่รองเจ้าสำนักหยุนซาน แต่ยังเป็นลูกชายของเขาด้วย ลูกชายเพียงคนเดียวของเขา
“ตายแล้ว รองเจ้าสำนักลัวก็ตายไปแล้วเช่นกัน” ครูฝึกที่ลัวเยว่ซานกำคอเสื้ออยู่ ก็รีบพูดขึ้นมา “จางหยูยอมรับด้วยตัวเองว่า เขาเป็นคนฆ่ารองเจ้าสำนักจั่นเฟิงและรองเจ้าสำนักลัว”
ตอนนี้เอง ลัวเยว่ซานก็เปล่งเสียงร้องออกมาอย่างเจ็บปวด “ อ๊ากกกกก !!!!!”
ความเจ็บปวดที่เหลือคณานี้ ทำให้เส้นผมสีดำเปลี่ยนเป็นสีขาวในพริบตา
“ปึด” ลัวเยว่ซานโกรธจัดจนเส้นเอ็นตรงลำคอปูดขึ้นมา ขณะเดียวกันคอเสื้อของครูฝึกคนนั้นก็ถูกฉีกขาด ดวงตาของเขาแดงก่ำ ราวกับสัตว์ร้าย แววตาที่เปี่ยมไปด้วยจิตสังหาร ทำให้ผู้คนที่มองมารู้สึกหวาดกลัว “ จางหยู ข้าจะฆ่าเจ้า !” ความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาเสียสติ จนกลายเป็นสัตว์อสูรที่มีแต่ความอาฆาตในหัว
ครูฝึกที่โดนฉีกเสื้อผ้านั้น รีบถอยออกมาด้วยความหวาดกลัว
ตอนนั้นเอง หลินไห่หยาก็เริ่มใจเย็นลง เขาเดินเข้าไปหาลัวเยว่ซาน และพูดขึ้นมาว่า “น้องลัว ใจเย็นๆก่อน !”
“ ใจเย็นกับตูดเจ้าสิ!” ลัวเยว่ซานเงยหน้าขึ้นมาตะคอกใส่หลินไห่หยา ดวงตาที่แดงก่ำเหมือนอสรพิษร้ายจ้องมองไปที่อีกฝ่าย พร้อมกับปลดปล่อยกลิ่นอายที่อันตรายออกมา “ลูกชายเพียงคนเดียวของข้าได้ตายไปแล้ว จะให้ข้าใจเย็นลงได้ยังไง !”