ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 19 เส้นทางการฝึกวิชาของเมิ่งชวน
เมิ่งต้าเจียงมองไปที่ลูกชายของตนเองและคิดถึงการต่อสู้ที่งานเลี้ยงตัดอสูรเมื่อสองวันก่อน เขาเข้าใจดีว่า แม้ว่าลูกชายของเขาจะยังเด็ก แต่ก็ถึงเวลาที่เขาจะต้องกางปีกโผบินแล้ว
“ก่อนที่ชวนเอ๋อร์จะสร้างร่างเทพอสูร ให้พาเขามาหาข้าเพื่อรับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูร” เมิ่งเซียนกูเตือน
“ขอรับ” เมิ่งต้าเจียงตอบ
น้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรหยดหนึ่งนั้นมีค่าอย่างหาที่เปรียบมิได้
แม้แต่อัจฉริยะจากตระกูลเทพอสูรโบราณในเมืองหลวง พวกเขาก็ไม่สามารถที่จะรับน้ำไขกระดูกหยกเทพอสูรแม้เพียงสักหยดเพื่อสร้างรากฐานได้ โดยทั่วไปแล้วอัจฉริยะเพียงหนึ่งในศตวรรษเท่านั้นที่จะได้รับการดูแลอย่างเข้มงวดโดยตระกูลเทพอสูรโบราณ และสำหรับกลุ่มตระกูลเทพอสูรทั่วไปที่มีทรัพยากรจำกัด พวกเขาจะเดิมพันทุกสิ่งทุกอย่างกับเด็กเพียงคนเดียวอย่างตระกูลเมิ่งได้อย่างไรกัน
“ชวนเอ๋อร์เจ้าสามารถถามข้าได้หากเจ้ามีคำถามเกี่ยวกับการฝึกฝนวิชา” เมิ่งเซียนกูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ เจ้าสามารถพูดคุยกับข้าได้หากเจ้าประสบปัญหา”
“ย่าทวด” เมิ่งชวนกล่าวทันทีว่า“ ข้ามีบางอย่างที่ยังค่อนข้างจะสับสน”
“ให้ข้าเดา เจ้าสงสัยว่าจะไปถึงขั้นต่อไปของ พลังกระบี่ ได้อย่างไร” เมิ่งเซียนกู กล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า “ข้าเคยถามท่านเจ้าสำนักเต๋า เขาบอกเพียงว่าเขาค้นพบ พลังกระบี่ ด้วยการสร้างเพลงกระบี่ชั้นยอด”
“นั่นเป็นวิธีการอย่างหนึ่ง” เมิ่งเซียนกูพยักหน้าขณะที่เธอมองไปที่เมิ่งต้าเจียง “ต้าเจียง เจ้าผ่านขั้นต่อไปได้อย่างไร”
เมิ่งต้าเจียงนิ่งขึงขณะที่เขานึกย้อนกลับไป เขากล่าวว่า “ย้อนกลับไปตอนที่ข้ารับราชการทหาร สมาชิกแต่ละคนในทีมได้รับมอบหมายงานเฉพาะ ข้าต้องรับผิดชอบในการปราบอสูรที่มาก่อกวน ดังนั้นข้าจึงฝึกฝนกระบี่สามกระบวนท่าเป็นหลัก… ข้าอยู่ที่ด่านฉินหยางเป็นเวลาสิบปี หลังจากนั้นข้าก็กลับไปที่บ้านเกิด และได้เดินทางไปตามหัวเมืองต่างๆตลอดเส้นทาง และข้าก็บังเอิญเจอการต่อสู้ระหว่างผู้หญิงกับอสูร”
เมิ่งต้าเจียงมองไปที่เมิ่งชวนและยิ้ม “นั่นคือแม่ของเจ้า”
หัวใจของเมิ่งชวนสั่นสะท้าน แม่งั้นรึ
“แม่ของเจ้าสวยมาก ข้าไม่มีวันลืมภาพลักษณ์ของแม่เจ้าที่ต่อสู้กับอสูรภายใต้ดวงตะวัน ตอนนั้นข้าเปี่ยมไปด้วยพลัง ข้ารีบวิ่งไปข้างหน้าโดยไม่คิดอะไรเลยและใช้เพลงกระบี่ข้ายับยั้งอสูรได้อย่างง่ายดาย เพลงกระบี่ของข้าเหมือนอากาศธาตุและง่ายดายเป็นอย่างยิ่ง ข้าคิดว่า พลังกระบี่ เป็นแบบนั้นจริงๆ” เมิ่งต้าเจียงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ครั้งแรกที่ข้าพบแม่ของเจ้าคือวันที่ข้าได้ค้นพบ พลังกระบี่ นั่นบังเอิญแค่ไหน”
“ต้าเจียงสั่งสมประสบการณ์ในสนามรบมาสิบปีก่อนที่จะผ่านเข้าสู่ขั้นต่อไปในวันนั้น” เมิ่งเซียนกูกล่าว “ต้าเจียงได้รับการฝึกฝนเพียงสามกระบวนท่า ในขณะที่เจ้าสำนักเต๋าจิงหูได้สร้างเพลงกระบี่ชั้นยอด เจ้าสำนักเต๋ามุ่งเน้นไปที่รู้ให้กว้าง ส่วนต้าเจียงนั้นมุ่งเน้นไปที่รู้เชิงลึก ไม่มีใครเหนือกว่ากัน แต่ตามความเป็นจริงหากพูดถึงการยับยั้งศัตรูพ่อของเจ้าจะเก่งกว่า”
เมิ่งชวนก็พยักหน้าเช่นกัน “ข้าได้อ่านชีวประวัติของเทพอสูรเติ้งเฟิงมาก่อน เขาฝึกฝนกระบี่คนเดียวในภูเขาลึก เขาชักกระบี่หมื่นครั้งทุกวันเป็นเวลายี่สิบปี และเมื่อเขาออกจากภูเขา เขาก็ได้สังหารผู้ฝึกยุทธระดับไร้ตำหนิในการโจมตีครั้งเดียว ในขณะที่เขาอยู่ในระดับชำระแก่นแท้เท่านั้น”
“ถูกตัอง เพื่อให้สามารถบรรลุความสำเร็จนั้นการโจมตีครั้งเดียวจะต้องให้เกินขอบเขตของ พลังกระบี่ เขาเป็นตัวอย่างที่สมบูรณ์แบบในเชิงลึก เพียงแค่ว่าความสามารถของเขานั้นสูงกว่าพ่อของเจ้ามาก การโจมตีด้วยกระบี่ของเขานั้นช่างน่าอัศจรรย์มาก เขาได้รับคัดเลือกโดยตรงจากเขาหยวนชู เขาไม่จำเป็นต้องผ่านการทดสอบ” เมิ่งเซียนกูกล่าว “อย่างไรก็ตามการขาดคำแนะนำหมายถึงข้อบกพร่องร้ายแรงในเพลงกระบี่ของเขาเพราะเขารู้เพียงท่าเดียว ถ้าคนอื่นเข้าใจเขาอย่างถ่องแท้และกำหนดเป้าหมายไปที่จุดอ่อนของเขา เขาก็คงมีปัญหา แน่นอนว่าเขาได้รับคัดเลือกจากเขาหยวนชู ในขณะที่เขาแสดงถึงยอดของภูเขาน้ำแข็ง ดังนั้นเขาจึงแก้ไขจุดอ่อนนั้นได้อย่างรวดเร็ว เขามีพลังมากขึ้นและกลายเป็นไร้พ่ายอย่างแท้จริงในยุคนั้น”
เมิ่งชวนพยักหน้าเล็กน้อย
“ข้าใช้เวลาอยู่ที่ด่านอันไห่เป็นเวลานานและได้รับคำแนะนำจากราชาอันไห่” เมิ่งเซียนกูกล่าว “เป็นการยากที่จะประเมินว่าราชาอันไห่แข็งแกร่งเพียงใด เขามีสถานะที่สูงมากในเขาหยวนชู ในแง่ของความแข็งแกร่งเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าเทพอสูรเติ้งเฟิงที่เจ้ากล่าวถึงอย่างแน่นอน”
เห็นได้ชัดว่าเมิ่งชวนรู้ว่าราชาอันไห่ทรงอำนาจมากแค่ไหน
ในเมืองตงหนิง คนทั่วไปจะไปที่ด่านฉินหยางเพื่อรับราชการทหาร ส่วน เทพอสูรของเมืองตงหนิงนั้น ส่วนใหญ่ไปที่ด่านอันไห่ ผู้บัญชาการของด่านอันไห่ก็คือราชาอันไห่ แม้แต่ราชวงศ์โจวผู้ยิ่งใหญ่ก็ยังเคารพเขาอย่างมาก โดยมอบตำแหน่งราชาให้กับเขาโดยตรง
“ราชาอันไห่เคยบอกข้า” เมิ่งเซียนกูมองไปที่เมิ่งชวนและพูดต่อ “การฝึกฝนนั้นต้องทำตามสัญชาตญาณ และทำตามสิ่งที่ตนเองชอบมากที่สุดก่อนที่จะก้าวไปข้างหน้า เจ้าจึงจะไปได้ไกลยิ่งขึ้น เมื่อเจ้ามองย้อนกลับมาจากสองสามทศวรรษข้างหน้า เจ้าจะเหนือกว่าตัวตนในอดีตของเจ้าไปไกลมาก ข้าจะแบ่งปันคำพูดนี้กับเจ้าเช่นกัน ทำตามหัวใจของเจ้าและทำสิ่งที่เจ้าชอบมากที่สุด”
“ขอรับ” เมิ่งชวนพยักหน้า
…
เมิ่งชวน กลับไปที่สนามฝึกซ้อมจิงหูคฤหาสน์ตระกูลเมิ่ง เขานั่งกินผลไม้คนเดียวพร้อมกับครุ่นคิด
“คำแนะนำของราชาอันไห่ต่อย่าทวดของข้า และบัญญัติประการที่สี่จากบัญญัติเก้าประการที่ข้าคิดขึ้นมา “มือใหม่และปรมาจารย์” มีความคล้ายคลึงกันบางประการ” เมิ่งชวนรำพึงกับตัวเอง “เนื่องจากข้าทำตามสัญชาตญาณของตัวเองและทำในสิ่งที่หัวใจปรารถนา ข้าจึงสามารถทุ่มเทใจให้กับการฝึกฝนได้มากขึ้นและสนุกไปกับมัน สิ่งนี้จะทำให้ความรักของข้าลึกซึ้งยิ่งขึ้น ข้าจะมีโอกาสเป็นปรมาจารย์ได้เช่นเดียวกัน”
“หลังจากฟังเจ้าสำนัก พ่อ และย่าทวด ข้ารู้ว่าข้าควรจะฝึกฝนต่อไปอย่างไรโดยปฏิบัติตามบัญญัติเก้าประการของข้า” เมิ่งชวนมีความคิดอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามเขายังต้องฟังผู้อาวุโสของเขาที่เข้าถึงขั้น พลัง เพื่อตรวจสอบความถูกต้อง
“บัญญัติประการที่หกในเก้าประการของการฝึกฝน เปลี่ยนสิ่งที่ได้เรียนรู้ให้เป็นระบบ วิธีนี้จะไม่มีข้อบกพร่องร้ายแรงใด ๆ สิ่งที่ตัดสินชีวิตและความตายของจอมยุทธมักขึ้นอยู่กับจุดอ่อนที่ร้ายแรงที่สุดของพวกเขา หากว่าพวกเขามีจุดอ่อนที่เห็นได้ชัดเจนก็จะตกเป็นเป้าในอนาคต ถ้าเขาถูกยับยั้งไว้ได้เขาก็จะสิ้นชีพ ความล้มเหลวหนึ่งครั้งก็เทียบเท่ากับการสูญเสียชีวิต แม้จะได้รับชัยชนะนับร้อยจากการใช้วิชาเดียวกันหากิน”
“เทพอสูรเติ้งเฟิงเก่งกาจจากการใช้เพียงท่าเดียว ย่าทวดยังกล่าวอีกว่า เทพอสูรเติ้งเฟิงมีข้อบกพร่องร้ายแรง โชคดีที่เขาได้รับคัดเลือกให้เข้าสู่เขาหยวนชูและได้แก้ไขข้อบกพร่องของเขา”
“ในฐานะผู้ใช้กระบี่มีเพียงสามด้านเท่านั้นคือการสังหารศัตรู การป้องกันตน และการหลบหนี การเคลื่อนไหวทั้งสามนี้ก่อตัวเป็นระบบ ต่อไปข้าจะมุ่งเน้นไปที่สามเส้นทางนี้”
“บัญญัติประการที่ห้า สร้างความก้าวหน้าในแต่ละวัน เปลี่ยนแปลงไปในทุกเดือน ความสำเร็จก็จะมาถึงในที่สุด”
“คนสมัยก่อนเคยกล่าวไว้ว่า “การสะสมแผ่นดินในปริมาณเล็กน้อยทุกวันเจ้าสามารถสร้างภูเขาได้ตามกาลเวลา ภูเขาจะทำให้เกิดลมได้ และนั่นจะทำให้ฝนตก รวบรวมแต่ละสายเข้า เจ้าก็จะสามารถสร้างทะเลสาบ ซึ่งจะทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตในน้ำ กลายเป็นผลดีต่อผู้คนและเอื้ออาทรต่อพวกเขา ไม่ว่าการกระทำแต่ละอย่างจะเล็กน้อยเพียงใดก็ตาม เจ้าก็จะได้ฝึกฝนหัวใจของนักบุญ ก้าวไปเพียงไม่กี่ก้าวในแต่ละวัน แล้วเจ้าจะเสร็จสิ้นการเดินทางเป็นพันไมล์ มหาสมุทรเป็นเพียงการรวมกันของแม่น้ำ ยูนิคอร์นในตำนานไม่สามารถไปถึงสวรรค์ได้ในก้าวกระโดดเดียว ม้าแก่ที่วิ่งไม่หยุดจะพาเจ้ากลับบ้าน ถ้าเจ้ายอมแพ้เจ้าจะไม่สามารถแม้จะหักไม้ผุสักชิ้น ความพากเพียรจะช่วยให้คนหนึ่งแกะทองคำเป็นรูปร่างได้ ไส้เดือนดินไม่มีกระดูกและกรงเล็บแต่ก็สามารถทะลุทะลวงขึ้นลงบนพื้นโลกได้ ปูเสฉวนที่มีหกขาและก้ามอีกสองข้าง ไม่สามารถสร้างบ้านของตัวเองได้โดยไม่ได้ใช้รูที่งูและปลาไหลเจาะเอาไว้”
“แต่นั่นก็ยังมีข้อบกพร่องร้ายแรง”
“แม้ว่าความคืบหน้าจะเกิดขึ้นทุกวัน แต่หากใครเดินเป็นวงกลมขนาดใหญ่พวกเขาก็จะต้องลงเอยที่จุดเดิม การเดินผิดทางจะไม่พาข้าไปยังจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปพันไมล์”
“มันก็เหมือนกันกับการฝึกฝนวิชาเช่นกัน … หากไม่มีแนวทางที่ชัดเจนและฝึกฝนไปทุกอย่างก็มีโอกาสมากที่จะหลงทาง อาจเป็นไปได้ว่าข้าจะเดินเป็นวงกลม แม้ว่าจะใช้เวลาสิบหรือยี่สิบปีโดยมิได้อะไรออกมา นี่เป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้การฝึกฝนวิชากระบี่เกือบทั้งหมดของเทพอสูรเติ้งเฟิงล้มเหลว”
“รุ่นน้องหลายคนฝึกฝนวิชากระบี่อย่างขยันขันแข็งเช่นเดียวกับเทพอสูรเติ้งเฟิง อย่างไรก็ตามหลายคนพบกับความล้มเหลว ส่วนใหญ่ยอมแพ้กลางคัน นั่นเป็นเพราะพวกเขาได้รับคำแนะนำจากสำนักเต๋าและคำแนะนำของผู้อาวุโสของพวกเขา ใครจะสามารถเพิกเฉยต่อการรบกวนจากโลกภายนอกและเสียเวลาแปดชั่วโมงทุกวันเพื่อฝึกฝนการเคลื่อนไหวเพียงท่าเดียวได้กัน”
“และแม้ว่าใครจะสามารถเพิกเฉยต่อการรบกวนทั้งหมดและฝึกฝนการเคลื่อนไหวเพียงท่าเดียว ก็ยังเป็นเรื่องปกติที่จะหลงทาง”
“แน่นอนว่ามีกรณีที่ประสบความสำเร็จเช่นกัน นั่นนำไปสู่คำพูดที่ว่า“ วิชาเดียวก็หากินได้” “
“ข้าต้องการแนวทางที่ชัดเจนเพื่อให้แน่ใจว่าข้ากำลังก้าวหน้า การมุ่งหน้าไปข้างหน้าโดยไม่มีการเลี้ยวหรืออ้อม ข้าจะไปให้ไกลกว่านี้ทุกวัน ในท้ายที่สุดข้าจะสามารถไปถึงจุดหมายที่อยู่ห่างออกไปหนึ่งพันไมล์ได้อย่างแท้จริง”
“ทำไมข้าถึงชอบกระบี่ที่ว่องไว เป็นเพราะมันรวดเร็ว ดังนั้นทิศทางที่ข้าจะเลือกก็คือความเร็ว”
…
สนามฝึกซ้อม
“นายน้อยข้าจะเริ่มได้หรือยัง” ยามยืนอยู่บนกิ่งไม้โดยมีหน้าไม้เล็งไปที่พื้น
“เริ่ม” เมิ่งชวนยืนนิ่ง
ควับ
ยามเหนี่ยวไกหน้าไม้และลูกศรก็พุ่งลงไปด้านล่างทันที
เมิ่งชวนชักกระบี่ของเขาและฟันออกอย่างฉับพลัน
เชี๊ยะ
ลูกศรถูกฟันขาดออกเป็นสองท่อนและลำแสงกระบี่ตัดผ่านต้นไม้หนาทึบทิ้งรอยไว้
“หากรอยที่ถูกบากไว้บนต้นไม้จากลำแสงกระบี่ยังคงเปลี่ยนตำแหน่งสูงขึ้นไป นั่นย่อมหมายความว่ากระบี่ของข้ากำลังเร็วขึ้น ข้าจะสามารถฟ้นลูกศรขาดครึ่งได้เร็วกว่าเดิม”
การฆ่าศัตรู การป้องกัน และการหลบหนี
เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียวสำหรับฆ่า ตามสัญชาตญาณและความชอบที่มากที่สุด เขาจึงเลือกท่าชักกระบี่ เขาสนุกกับความเงียบขณะกระบี่ออกจากฝักและเสียงตัดผ่านสายลมของมัน การเคลื่อนไหวของกระบี่นั้นสวยงามมากจนเขาหลงใหลมันทุกครั้ง เขาพบว่าเสียงของลมที่ถูกตัดผ่านน่าพอใจยิ่งขึ้นทุกขณะที่เขาชักกระบี่ของเขาได้เร็วยิ่งขึ้น
เขาฝึกฝนเพียงท่าเดียวเพื่อไล่ตามความเร็ว
ความเร็ว เขาชอบมาตั้งแต่เด็ก
ยิ่งเร็วยิ่งดี
ฟิ้ว
ยามบนต้นไม้ยิงลูกศรอีกครั้ง ข้อดีของหน้าไม้คือการยิงที่มั่นคง ความเร็วของลูกศรแต่ละลูกสามารถรับประกันได้ว่าจะสม่ำเสมอกัน มีแต่เพียงการกระทำเช่นนั้น เมิ่งชวนจึงจะสามารถยืนยันได้ว่าความเร็วของกระบี่ของเขาเพิ่มขึ้น เขาไม่เพียงแต่ไล่ตามความเร็วเท่านั้น แต่ต้องมีความแม่นยำด้วย ในเสี้ยววินาทีนั้นเขาจำเป็นต้องฟันลูกศรให้ขาดออกด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว
ทุกวันเมิ่งชวนได้ฝึกฝนกระบวนท่าแรกนั่นคือท่าชักกระบี่ เขาจะชักกระบี่ของเขาและฟาดฟันลูกศรเป็นเวลาหกชั่วโมงเกือบแปดพันครั้ง
ท่าชักกระบี่นี้มีต้นกำเนิดมาจากท่าชักกระบี่ในเพลงกระบี่ใบไม้ร่วง มันเป็นส่วนหนึ่งของหลักสูตรที่เขาหยวนชูได้ตัดสินใจใช้ในทุกสำนักเต๋าของราชวงศ์โจวอันยิ่งใหญ่ เพราะการเคลื่อนไหวของมันนั้นสมบูรณ์แบบ