ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 14 ตาของเมิ่งชวน
หลังจากที่อสูรสุกรถูกฆ่า รถบรรทุกนักโทษอีกคันก็ถูกดึงเข้ามาข้างใน ภายในนั้นเป็นอสูรหมาป่าที่ตัวใหญ่กว่า อสูรหมาป่านั้นก้มตัวลงเล็กน้อยเพราะว่าหัวของมันชนเข้ากับซี่กรงด้านบนรถบรรทุกนักโทษ มันจับซี่กรงเหล็กไว้ด้วยกรงเล็บของมันและจ้องมองไปยังมนุษย์ที่อยู่ด้านนอก
“แคล้ง” ชายแขนข้างเดียวเปิดกรงและพูดกับอสูรหมาป่าอย่างใจเย็นว่า “ตามที่กฏได้พูดไว้ก่อนหน้านี้ ถ้าเจ้าสามารถที่จะชนะสามเกมติดต่อกัน เจ้าก็สามารถที่จะกลับไปใช้ชีวิตอย่างผู้ชนะพร้อมกับอาหารรสเลิศไวน์ชั้นดี และถ้าเจ้าทำผิดกฏเจ้าก็จะถูกหั่นเป็นชิ้นๆ”
“ข้ารู้”
อสูรหมาป่าคำรามเสียงต่ำและก้าวขึ้นไปบนเวทีประลอง มันได้เห็นในทันทีว่ามีเลือดที่ข้นและกลิ่นอายอสูรอยู่
เจ้าหมูโง่นั่น
แม้ว่าอสูรระดับล่างจะต่อสู้กันเอง แต่มันก็รู้สึกเสียใจในตอนนี้ ที่มันก็อาจจะตายอยู่บนเวทีนี้เช่นเดียวกัน
แต่ความจริงก็คือ—–
ปีศาจหมาป่าได้ชนะสามครั้งติดต่อกัน ซึ่งไม่เพียงแต่มันจะทำให้เด็กหนุ่มเผ่ามนุษย์ได้รับบาดเจ็บสาหัสไปหนึ่งคน แต่มันยังสามารถที่จะกระชากแขนของเด็กหนุ่มอีกคนออกมาด้วย ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาแขนขาดนั้นได้
หลังจากที่อสูรหมาป่ากลับคืนไปแล้วนั้น ตามปกติก็จะต้องเปลี่ยนไปเป็นอสูรตัวอื่นแทน
การต่อสู้ดำเนินต่อไป
เด็กหนุ่มชาวมนุษย์และอสูรต่างต้องการที่จะเข่นฆ่าอีกฝ่าย
เหล่าศิษย์ของสำนักเต๋าทั้งแปดนั้นต่างพากันมีท่าทางเคร่งเครียด และบางคนก็กลายเป็นวิตกกังวล เพราะว่าพวกเขาทุกคนจะต้องขึ้นไปบนเวที นี่ไม่ใช่การประลองฝีมือภายในสำนัก แต่เป็นการต่อสู้ที่เดิมพันด้วยความเป็นความตายอย่างแท้จริง และอสูรก็ไม่ออมมือให้อย่างแน่นอน
หลิ่วชีเยว่ได้แสดงตัวขึ้นเช่นเดียวกัน เธอได้ฆ่าอสูรแมว แต่เธอก็ถูกบีบให้กระโดดออกจากเวทีประลองเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอสูรเสือดาวที่ดุร้ายยิ่งกว่า
…..
“ศิษย์สำนักเต๋ายี่สิบสามคนได้ออกมาต่อสู้แล้ว” ผู้นำตระกูล เมิ่งเหยียนผิงกระซิบ “ต้าเจียง ถึงตาของเมิ่งชวนแล้ว”
“อืม” เมิ่งต้าเจียงก็ได้มองไปยังเมิ่งชวน ที่อยู่กันสำนักเต๋าจิงหู (กระจกทะเลสาบ)
ใช่แล้ว
ถึงตาของเมิ่งชวนแล้ว
ในฐานะศิษย์เพียงคนเดียวที่ล่วงรู้วิชาลับ เขาจึงได้ขึ้นบนเวทีแสดงตัวเป็นคนสุดท้าย
“ศิษย์พี่เมิ่งระวังตัวไว้ด้วย” อกของวั่นมั่งถูกพันด้วยผ้าพันแผล มีเลือดไหลซึมออกมา “อสูรนั้นเจ้าเล่ห์มาก”
“ข้าเข้าใจแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า
ศิษย์เต๋าที่ได้ขึ้นไปบนเวทีก่อนหน้านั้นส่วนใหญ่นั้นจะระมัดระวังตัวกันเป็นอย่างมาก คนที่ได้รับบาดเจ็บหนักมีเพียงแค่หกคนและสามารถรักษาให้หายขาดได้ มีเพียงแค่หนึ่งคน… ที่ถูกอสูรหมาป่าฉีกแขนออก ศิษย์สำนักเต๋า “ไป๋ฟ่งฉี” คนในตระกูลของหนึ่งในห้าเทพอสูร เขาได้แต่ร้องไห้หลังจากที่กระโดดออกจากเวที
ปู่ของเขาที่มาที่นี่ด้วยในวันนี้ ดุด่าเขา “เจ้าร้องไห้ทำไม เจ้าจะโทษใครได้ในเมื่อเจ้าก็รู้ว่าอสูรหมาป่านั้นทรงพลังมาก แต่เจ้าก็ยังบ้าบิ่น เจ้าคงไม่เพียงแค่เสียแขนข้างหนึ่งจากการต่อสู้ตัวต่อตัวหากว่าอสูรไม่มีโซ่คล้องอยู่ ถ้าเจ้าอยู่ในสนามรบเจ้าก็คงจะเสียชีวิต กลับไปฝึกฝนให้ดี ตระกูลของเรายังมีวิชากระบี่แขนเดียวอยู่”
แม้ว่าจะโกรธ ดวงตาของปู่ก็ยังอดแดงไม่ได้ ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็เป็นหลานชายของเขา และเขาก็ภาคภูมิใจในหลานชายคนนี้เสมอมา
เหล่าศิษย์สำนักเต๋าต่างพากันเห็นอกเห็นใจไป่ฟ่งฉีเพราะว่าเขาได้เสียแขนเมื่อเขามีอายุเพียงสิบหกปี
แต่เจ้าตำหนัก ข้าหลวง และผู้อาวุโสของห้าตระกูลส่วนใหญ่แล้วจะมีท่าทางเยือกเย็น เพราะว่าพวกเขาได้เห็นสิ่งที่โหดร้ายยิ่งกว่านี้ร้อยเท่าพันเท่ามาแล้ว งานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้นั้นเป็นเพราะเขาหยวนชูไม่ต้องการให้ผู้มีความสามารถตายเสียตั้งแต่เข้าสู่สนามรบครั้งแรก ดังนั้นจึงให้เขาประสบกับการเคี่ยวกรำ เสียตั้งแต่ตอนที่อายุยังน้อย ได้รับประสบการณ์มากขึ้น ให้พวกเขาตั้งอกตั้งใจฝึกฝน และมีความระมัดระวังในสนามรบ
“มีผู้ได้รับบาดเจ็บหกรายและพิการหนึ่งคน มีอสูรสิบสองตัวขึ้นบนเวทีประลอง และพวกมันห้าตัวที่ตาย” เมิ่งชวนนั้นใจเย็นมาก เขาไม่มีความกลัวและความตึงเครียด
นับตั้งแต่เมื่อเขาอายุได้หกขวบ เขาได้เห็นอสูรที่น่าหวาดกลัวมากมาย ในครั้งนั้นคนมากกว่าแสนที่ถูกฆ่า ถ้าไม่ใช่เพราะว่ามีเทพอสูรมาถึง คงจะมีคนเหลือรอดไม่กี่คนในระยะทางหลางสิบกิโลเมตรนั้น และคนตายก็คงเพิีมขึ้นมากเป็นเท่าตัว เทพอสูรเพียงคนเดียวเป็นเหตุให้อสูรพ่ายแพ้และหลบหนีไปอย่างหวาดกลัว ทำให้เผ่ามนุษย์ที่หลบหนีกระจัดกระจายโชคดีมีชีวิตรอด นอกจากนี้เมิ่งชวนก็สามารถรอดชีวิตมาได้ด้วยความพยายามอย่างสิ้นหวังของพ่อและแม่ของเขา และการเข้ามาร่วมต่อสู้ของเทพอสูรในภายหลัง
ไม่ว่าอย่างไร นี่ก็เป็นการสู้แบบตัวต่อตัว อสูรถูกบีบให้อยู่แต่บนเวที และเด็กเผ่ามนุษย์ก็จะสามารถที่จะรอดชีวิตได้ตราบเท่าที่พวกเขากระโดดออกจากเวที… นี่นับว่าปรานีมากแล้ว
“ต่อไป สำนักเต๋าจิงหู (กระจกทะเลสาป) เมิ่งชวน” เสียงของข้าหลวงดังขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย
สายตาทุกคู่จับจ้องไปยังเมิ่งชวนชั่วระยะเวลาหนึ่ง
เมิ่งชวนนั้นกลายเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในเมืองตงหนิงในช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ ทุกคนรู้ว่าเมืองตงหนิงนั้นได้มีผู้มีพรสวรรค์ขึ้นมาอีกคนที่จะมีโอกาสได้เป็นเทพอสูร
“ระวังตัวด้วย” เจ้าสำนักเก๋อยูเตือน
“ขอรับ ท่านเจ้าสำนัก” เมิ่งชวนยืนขึ้นและเดินไปที่เวทีประลอง
“อาชวน แสดงให้พวกเขาเห็นว่าเจ้าเป็นอย่างไร” หลิ่วชีเยว่ที่อยู่ในหมู่ของสำนักเต๋าลี่หยางเหวี่ยงกำปั้นขึ้นไปบนอากาศ
“ดูข้าให้ดี” เมิ่งชวนยิ้ม
ในพื้นที่ตระกูลอวิ๋น หวิน(อวิ๋น)ฟู่เฉิงก็มองดูเขาจากระยะไกล พร้อมกับกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม “ฟู่อัน เมิ่งชวนดูเหมือนจะอารมณ์ดีนะ แต่เขาไม่มีชะตาคู่กับชิงผิง”
“ไม่มีชะตาต้องกัน” หวินฟู่อันยิ้มขณะที่มองไปยังเมิ่งชวน แต่ประกายตาเขาเย็นลงไปกว่าเดิมอีกสามองศา
ยิ่งเมิ่งชวนฉลาดเฉลียวมากเท่าไหร่ หัวใจของเขาก็ยิ่งไม่ยินดี
ในทางกลับกัน เป็นหวินชิงผิงที่วิตกกังวลในเวลานั้น วันนี้เธอก็ได้ตื่นเต้นขึ้นมา เมื่อเธอได้เห็นอสูรในตำนานเป็นครั้งแรก อสูรทั้งน่าเกลียดและดุร้าย
ที่นั่งประธาน
เจ้าวังหยกสุริยันนั่งอยู่ที่ตรงนั้น สายตาก็จับจ้องไปยังร่างของเมิ่งชวนพร้อมกับรอยยิ้ม เขาพูดกับคนข้างๆตัวว่า “หยวนจือ เมิ่งชวนคนนี้ยังมีอายุเพียง 15 ปีก็ได้ตระหนักถึงวิชาลับแล้ว เจ้าเป็นอันดับหนึ่งในหมู่ผู้เยาว์ของตงหนิงในวันนี้ และเขาก็เป็นคนที่สอง นอกจากนี้เขาก็ยังอยู่ในตระกูลเมิ่ง เมิ่งเซียนกูจะต้องพยายามอย่างหนักที่จะฝึกเขาแน่ๆ และเส้นทางของเขาก็จะราบรื่นมากกว่าเจ้า”
“สร้างหนทางด้วยตัวเอง ข้าเองก็จะเข้าเขาหยวนชูในปีนี้” เหมยหยวนจือ ชายหนุ่มร่างผอมพูด “และหลายวันมานี้ท่านเจ้าวังก็ได้ชี้แนะข้าหลายจุด”
“ก็เป็นเพียงแค่การชี้แนะธรรมดา ข้ายังคงต้องเตือนเจ้าว่าเจ้านั้นนับได้ว่าเป็นอัฉริยะอันดับหนึ่งของวังหยกสุริยัน แต่โอกาสที่เจ้าจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูนั้นก็มีเพียงแค่ ยี่สิบสามสิบเปอร์เซ็นต์เท่านั้น” เจ้าวังหยกสุริยันยิ้มและกล่าวต่ออีกว่า “ถ้ามีอัจฉริยะมากกว่านี้ในปีนี้ ความหวังที่เจ้าจะได้เข้าสู่เขาหยวนชูนั้นก็จะน้อยลงเท่านั้น หยวนจือ เจ้ามีแผนก็จริง แต่ว่าเจ้าจะทำอย่างไรถ้าเจ้าล้มเหลว”
“อย่าเพิ่งคิดถึงมันตอนนี้ รอจนกว่าจะล้มเหลวเสียก่อน” เหมยหยวนจือพูด
เจ้าวังหยกสุริยันไม่ได้พูดอะไรต่อไป แต่มองไปยังเวทีประลองด้วยความสนใจ เขานั้นปรารถนาที่จะให้คำชี้แนะแก่เหมยหยวนจือได้มีความรู้ เพื่อที่เผ่ามนุษย์นั้นจะได้มีเทพอสูรเพิ่มขึ้นอีกสักคนเป็นกำลังในสงคราม แน่นอนว่า “เมิ่งชวน” ก็มีศักยภาพในสายตาของเขาเช่นกัน
เมิ่งชวนก้าวขึ้นไปบนเวที
“อสูร” เมิ่งชวนมองไปยังอสูรแกะที่ยืนอยู่บนเวทีประลอง อสูรแกะนั้นมีร่างกายที่สูงและกำยำมีแขนที่ทรงพลัง เขายาวแหลมคม ดวงตาที่มีแสงสีเขียวจ้องมองไปยังเมิ่งชวน
“มนุษย์ ถ้าเจ้ากลัว ก็จงรีบลงไปซะ” ปีศาจแกะพูดด้วยเสียงคำราม “คู่ต่อสู้ของข้าสองคนก่อนหน้านี้ รวมไปถึงนักธนูยังต้องตกใจกระโดดออกจากเวที”
อสูรแกะนั้นเป็นหนึ่งในอสูรที่ดีที่สุดในบรรดาอสูรทั้งสิบสองตัวที่ปรากฏตัวขึ้น
จงใจจัดไว้ด้านหลัง เพื่อให้เมิ่งชวนได้ลิ้มลองด้วย
“กลัวรึ จากเจ้านะรึ” เมิ่งชวนมองดูมัน แววตาเปลี่ยนไป เปี่ยมไปด้วยความคิดฆ่าฟัน
“สายตาของชวนเอ๋อร์” แม้ว่าเมิ่งต้าเจียงจะมองดูจากระยะไกล แต่เขาก็ยังรู้สึกตกใจ ลูกชายของเขาปกติแล้วจะเป็นคนจิตใจดีงาม และไม่เคยมีจิตสังหารเช่นนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไม่หนีไปรึ ข้าชอบมนุษย์น้อยผู้กล้าหาญ” อสูรแกะพูด พุ่งตรงเข้ามาหาพร้อมสร้างภาพติดตาไว้มากมาย
เมิ่งชวนเพียงแค่มองไปที่มัน สมาธิจิตใจตั้งมั่นอยู่กับการต่อสู้
กันอสูรเหล่านี้ เขามีแต่ความคิดฆ่าฟันไม่รู้จบสิ้น
“ตาย”
ทันทีที่อสูรแกะเข้ามาถึง มันก็คำรามและตวัดกรงเล็บของมัน และเงากรงเล็บสีเทาก็วาดผ่านฟ้า
“เวลานี้แหละ” ความคิดของเมิ่งชวนไหววูบ และทันใดนั้นเองร่างกายและจิตใจของเขาก็กลายเป็นหนึ่งเดียว
ความคิดฆ่าฟ้นผสมผสานไปกับความเกลียดที่มีต่ออสูรมานับตั้งแต่เด็ก ทำให้เมิ่งชวนในเวลานี้นั้นผสานจิตใจและร่างกายเข้าได้อย่างสมบูรณ์มากกว่าเดิม ขับเคลื่อนพลังที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าปกติ
เทพอสูรโบราณนั้นกล่าวว่าความสามารถของมนุษย์นั้นยิ่งใหญ่ พลังที่ไม่อาจคาดคิดนั้นสามารถที่จะปลดปล่อยออกมาได้ในเวลาวิกฤติ
เมื่อเมิ่งชวนต่อสู้กับอสูรนั้น…พลังและความแข็งแกร่งนั้นเหนือกว่าการฝึกปกติที่สำนักเต๋าจิงหูมากมายนัก
“ฟับ”
ประกายกระบี่วาดออกไปอย่างรวดเร็ว
กระบี่ที่ปลุกเร้าวิญญาณ กระบี่ที่มีแต่จิตสังหาร
ดวงตาของอสูรแกะนั้นเบิ่งกว้างจนกลมโต สัญชาตญาณของมันรับรู้ถึงความตาย มันพยายามที่จะหยุดยั้งไว้ด้วยแขนของมันเอง แต่มันก็ไม่สามารถที่จะสัมผัสกับประกายนั้นได้ ประกายกระบี่นั้นไม่ได้เคลื่อนที่เป็นเส้นตรง แต่เป็นเส้นโค้งที่ไม่มีทิศทางที่ชัดเจน วาดผ่านแขนของมันที่พยายามจะปิดสกัดได้อย่างง่ายดายและตวัดเข้าไปที่คอของมัน
ฉับ
กระบี่ของเมิ่งชวนนั้นกลับคืนเข้าไปในฝัก ราวกับว่าเขานั้นไม่ได้ขยับเขยื้อน แต่ตำแหน่งของเขานั้นเปลี่ยนไปห้าสิบเมตร
“ครึกกกก” อสูรแกะนั้นพุ่งไปข้างหน้าอีกสองสามก้าวก่อนที่จะล้มคว่ำหน้าลงไปบนพื้น ในขณะที่หัวของอสูรแกะนั้นกลิ้งไปยังอีกด้านหนึ่ง พื้นนั้นอาบย้อมไปด้วยเลือดแดง
เพียงแค่การตวัดดาบครั้งเดียว
อสูรแกะตกตาย
เสียงอุทานเกิดขึ้นดังเซ็งแซ่ พวกเขาเคยเห็นความแข็งแกร่งของอสูรแกะมาก่อนหน้านั้น มันมีทักษะการต่อสู้ แม้กระทั่งผู้ที่มีทักษะการต่อสู้และทรงพลังก็ยังยากที่จะเอาชนะมัน ดังนั้นมันจึงสามารถที่จะเอาชนะการต่อสู้สองครั้งได้อย่างง่ายดายติดต่อกัน แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเมิ่งชวนแล้ว มันกลับถูกฆ่าเพียงกระบี่เดียว
เมิ่งชวนมองไปยังศพของอสูรแกะแล้วกระซิบแผ่วเบา “เจ้าเป็นอสูรตนแรกที่ข้าฆ่า”