หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 12 - งานเลี้ยงตัดอสูร

  1. หน้าแรก
  2. ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art
  3. ตอนที่ 12 - งานเลี้ยงตัดอสูร
Prev
Next

 

ขึ้นสามค่ำเดือนสาม

 

รถม้าคันใหญ่สองคันได้หยุดลงที่ด้านนอกประตูตำหนักหยกสุริยัน สำนักกระจกทะเลสาบท่านประมุข ‘เก๋อหยู่’ ได้ลงมาจากรถม้าคันด้านหน้า ที่ด้านหลังนั้นยังได้มีรถม้าที่ยังมีคนเดินลงมากันถึงหกคน ซึ่งก็คือเมิ่งชวน หวู่ฉี่ ว่านหมางรวมถึงศิษย์ในสำนักรวมเป็นทั้งหมดหกคน ภายในห้องโดยสารกว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ทั้งหกแม้จะนั่งรวมกันก็ไม่รู้สึกว่าอึดอัดไม่

 

“ตำหนักหยกสุริยัน” เมิ่งชวนและพวกทั้งหกคนต่างก็ได้เงยหน้าขึ้นกำลังมองไปที่ตำหนักหลังนี้

 

ตำหนักหยกสุริยันถือเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ของทั่วทั้งเมืองตงหนิง จ้าวตำหนักหยกสุริยันเองก็ถือเป็นการดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองตงหนิง

 

ตำนานเล่าขานของ ‘เขาหยวนชู’ ในราชวงศ์ต้าโจวทุกจวนภายในเมืองล้วนแต่ถูกสร้างขึ้นจากตำหนักหยกสุริยัน อีกทั้งยังต้องส่งศิษย์หนึ่งคนมาประจำอยู่ที่ตำหนักหยกสุริยัน จ้าวตำหนักหยกสุริยันนับได้ว่าเป็นผู้ที่มีความแข็งแกร่งที่ประจำอยู่ภายในตำหนัก!เทพอสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบร้อยปีของเมืองตงหนิง บรรพบุรุษตระกูลจางท่านนั้นเองก็ได้มาฝากตัวกับเขาหยวนชู บัดนี้เองก็ได้คอยเฝ้าอยู่ในพื้นที่ทางด้านนอก

 

“ตามข้าเข้าไป” ในระหว่างที่เก๋อหยู่กล่าวก็ได้เดินนำออกไป เมิ่งชวนและคนที่เหลือก็ได้ติดตามอยู่ทางด้านหลังเข้าสู่ประตูตำหนักหยกสุริยัน

 

เวลานี้ทางด้านหลังเองก็ได้มีรถม้าหรูแล่นมาถึง พร้อมกับมีคนลงมาจากบนรถม้า

 

เมิ่งชวนพวกเขาจึงค่อยหันกลับมามอง

 

“อือ?” เมิ่งชวนหันไปมองอวิ๋นชิงผิง และยังพบอวิ๋นฟู่อันแล้ว อวิ๋นฟู่อันยังได้พาฮูหยินร่วมทางมาด้วย

 

“งานเลี้ยงตัดอสูรแห่งตำหนักหยกสุริยัน ก็ถือเป็นการชุมนุมที่พบได้ยากของเมืองตงหนิง ทางราชสำนักและห้าสุดยอดตระกูลเทพอสูรก็ล้วนแต่ส่งคนมา” ประมุขเก๋อหยู่กล่าวออกมาอย่างไม่คิดอะไร “กระนั้นทุกตระกูลก็ยังถูกจำกัดให้ส่งคนมาเข้าร่วมได้มากที่สุดเพียงสิบคนเท่านั้น”

 

……

 

“เป็นเมิ่งชวน” อวิ๋นชิงผิงและเหล่าคนในตระกูลที่ได้อยู่รวมกัน ก็ได้พบเห็นเมิ่งชวน ชั่วขณะนี้ภายในจิตใจของนางพลันบังเกิดความซับซ้อน

 

ถึงอย่างไรนับตั้งแต่จำความได้ ก็ได้ถูกบอกเอาไว้ว่า——นั่นเป็นคู่สมรสของเจ้า เป็นคนที่จะใช้ชีวิตร่วมกันไปตลอดชีวิต!

 

ถึงแม้จะสามารถยกเลิกสัญญาหมั้นหมายได้เป็นที่สำเร็จ แต่ภายในจิตใจกลับยังคงแตกต่างไปจากคนอื่นมากอีกทั้งยังพึ่งจะยกเลิกสัญญาหมั้นหมายไปได้ไม่นาน……เมิ่งชวนกลับมีความก้าวหน้าราวกับติดปีก รู้แจ้งเคล็ดวิชาลับ สำเร็จเป็นผู้มีพรสวรรค์ที่เจิดจรัสไปทั่วทั้งเมืองตงหนิง แม้แต่คนในตระกูลญาติสนิทมิตรสหายก็ยังพูดกันเช่นนี้ แน่นอนว่าย่อมต้องทำให้จิตใจของนางเกิดความว้าวุ่นกันอยู่บ้าง

 

กระนั้น อวิ๋นชิงผิงก็เข้าใจดี นางเองก็ไม่นึกเสียใจ เพราะว่าเมิ่งชวนต่อให้ร้ายกาจกว่านี้ ก็มิใช่สิ่งที่นางต้อง!

 

“เด็กน้อยอย่างพวกเจ้าทั้งหลาย ล้วนแต่จงดูเอาไว้ให้ดี” ตระกูลอวิ๋นท่านผู้นำตระกูล ‘อวิ๋นฟู่เฉิง’ ที่มีรูปร่างค่อนข้างกำยำ ก็ได้หันไปมองผู้เยาว์ทั้งหก “รอจนกระทั่งพวกเจ้าอายุครบยี่สิบจนเข้ารับราชการ ต่างก็จำเป็นที่จะต้องออกไปฆ่าฟันกับอสูร ครั้งนี้พวกเจ้าก็จะได้เห็นถึงความโหดเหี้ยมของสัตว์อสูรเองกับตา ถ้าหากผู้ใดถูกสัตว์อสูรทำให้ตื่นกลัวจนต้องหลับตา เมื่อกลับไปจะต้องถูกกักบริเวณเป็นเวลาสิบวัน!”

 

“ขอรับ ท่านพ่อ(ลุงใหญ่)” อวิ๋นชิงผิงและผู้เยาว์ชายหญิงรวมหกคนก็ได้ตอบอย่างว่านอนสอนง่าย

 

อวิ๋นฟู่เฉิง พี่ใหญ่ตระกูลอวิ๋น หนึ่งในสามบุรุษผู้โดดเด่นที่สุดได้ปรากฏตัวแล้ว

 

ในยามที่รับราชการด่านฉินหยางเองก็ได้รับคุณประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงแต่จะรู้แจ้งท่วงท่า แต่ยิ่งมีความสำเร็จหลอมโอสถ เพียงแต่ในเวลาที่เข้าสังหารกับอสูรยังได้กระตุ้นเคล็ดวิชาต้องห้ามนานจนเกินไป บาดเจ็บจนถึงรากฐาน สิ้นหวังสู่การเป็นเทพอสูรไปจนนิรันดร์

 

“พี่ใหญ่ พวกเรารีบเข้าไปเถอะ อย่าได้มัวแต่ขวางประตูเช่นนี้แล้ว” อวิ๋นฟู่อันยิ้มแย้มแล้วตอบ ที่เบื้องหน้าพี่ใหญ่เขาเองก็ได้ทักทายด้วยความยิ้มแย้มมาตลอด แม้พี่ใหญ่จะด่าเขา เขาเองก็ทำได้แต่อดทนเอาไว้เท่านั้น! ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในหมู่กองทัพของด่านฉินหยาง ภายใต้เบื้องหน้าราชสำนัก ก็ล้วนแต่จะยิ่งเป็นที่ยอมรับพี่ใหญ่อวิ๋นฟู่เฉิงเขา

 

“อือ เข้าไปเถอะ” อวิ๋นฟู่เฉิงพยักหน้า

 

พวกเขาสองพี่น้องต่างก็ได้พาฮูหยินมาด้วย รวมไปจนถึงผู้เยาว์ทั้งหกก็ได้เดินเข้าสู่ตำหนักหยกสุริยันไปพร้อมกัน

 

………..

 

บนลานกว้างภายในตำหนักหยกสุริยันแห่งหนึ่ง ได้มีเวทีประลองขนาดใหญ่อยู่แห่งหนึ่ง รอบข้างของเวทีประลองยังได้จัดวางเก้าอี้ไว้อยู่มากมาย

 

แปดสำนักใหญ่ ห้าตระกูลใหญ่ ขุนนางรับใช้ราชสำนัก ตำหนักหยกสุริยันล้วนแต่ได้เข้าประจำตำแหน่งกันแล้ว

 

เมิ่งชวนย่อมนั่งอยู่ในภายในใจกลางพื้นที่ของสำนักกระจกทะเลสาบ

 

“ชวนเอ๋อ” ท่านผู้นำตระกูลเมิ่งเหยียนผิง เมิ่งต้าเจียงได้กำลังนำผู้เยาว์ตระกูลเมิ่งทั้งแปดเข้ามาเพื่อทำความรู้จักกัน เมิ่งต้าเจียงยังได้ขยิบตาให้กับเมิ่งชวน

 

“ท่านพ่อข้าก็นะ” เมิ่งชวนพึมพำ

 

“แต่ละสำนักใหญ่ต่างก็มีผู้เยาว์มากันอย่างคับคั่ง” เมิ่งชวนก็พบได้ในทันที ห้าตระกูลใหญ่ โดยส่วนใหญ่แล้วก็มักจะมีชนชั้นระดับสูงพากลุ่มผู้เยาว์มากัน ก็เพื่อที่จะให้เหล่าผู้เยาว์ได้มาเปิดหูเปิดตา : “เป็นตระกูลอวิ๋น ผู้นำตระกูลอวิ๋นฟู่อันถึงกับยังพาฮูหยินมาด้วยแล้ว แต่ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น……ผู้เยาว์ในตระกูลอวิ๋นที่อยู่ในวัยต่ำกว่ายี่สิบปีแต่มากกว่าหกขวบปี ก็มีเพียงแค่หกคนเท่านั้น”

 

ตระกูลอวิ๋นช่างมีคนน้อยกันเกินไปแล้ว

 

บรรพบุรุษตระกูลอวิ๋นถือเป็นรุ่นที่หนึ่ง รุ่นที่สองก็คือห้าบุตรหนึ่งธิดา รุ่นที่สามก็คืออวิ๋นชิงผิงและคนในรุ่นนี้……

 

ทั่วทั้งตระกูลอวิ๋นก็มากันแค่สิบคน

 

การมาเข้าร่วมกับตำหนักเมฆาสุริยันงานเลี้ยงตัดอสูรครั้งนี้ ผู้เยาว์ที่อยู่ในวัยที่ถึงเกณฑ์ทั้งหมดก็ได้มากันหมดแล้ว อีกทั้งยังสามารถพาฮูหยินได้อีก

 

และเหล่าผู้เยาว์จากทางด้านสี่ตระกูลใหญ่ที่เหลือเพื่อที่จะเข้ามารับชมการต่อสู้ กลับต้องเกิดการช่วงชิงกันภายในอย่างดุเดือดกันเลยทีเดียว

 

“จ้าวตำหนักหยกสุริยันได้มาถึงแล้ว”

 

ความเป็นระเบียบเรียบร้อยพลันเกิดขึ้น

 

ผู้คนในสถานที่แห่งนี้ทั้งหมดล้วนแต่ลุกขึ้นยืน แม้แต่ขุนนางใหญ่จากราชสำนักผู้นั้นเองก็ยังต้องลุกขึ้นยืน อีกทั้งยังเป็นฝ่ายคารวะทักทายก่อน

 

“จ้าวตำหนักหยกสุริยัน?” เมิ่งชวนก็ได้ละสายตามองไป

 

นั่นกลับเป็นบุรุษหนุ่มร่างกำยำสูงใหญ่ผู้หนึ่ง เขาที่มีรูปร่างแข็งแกร่งราวกับสลักออกมาจากหยกศิลา ก็ได้ก้าวเดินออกมาทีละก้าว ล้วนแต่ราวกับว่าเป็นการดำรงอยู่ที่น่าจับตามองที่สุดในใต้หล้า แววตาที่เปล่งเป็นประกายของเขา ในช่วงเวลาที่เขาหันหน้ามองเข้ามาไม่ว่าจะเป็นผู้ใดก็อดไม่ได้ที่จะต้องก้มหน้าลงเล็กน้อย ไม่กล้าที่จะสบตากับเขา การดำรงอยู่ที่แข็งแกร่งที่สุดของเมืองตงหนิงท่านนี้ ก็เหมือนดั่งเทพผู้ปกปักของเมืองตงหนิง

 

อีกทั้งยังเป็นเทพอสูรที่ได้ก้าวออกมาจากเขาหยวนซู!

 

จ้าวตำหนักหยกสุริยันเดินมาจนถึงที่นั่งเจ้าตำหนัก แล้วนั่งลงในทันที ถึงแม้จะนั่งอยู่ แต่กลับแผ่ซ่านพลังอำนาจที่ยากจะอธิบายออกมาได้ปกคลุมไปทั่วทั้งสี่ทิศแปดด้าน ถึงแม้จะเป็นประมุขเก๋อหยู่ที่มีบุคลิกการวางตัวตามสบาย แต่เมื่ออยู่เบื้องหน้าจ้าวตำหนักหยกสุริยันก็ยังต้องให้ความยำเกรงและระมัดระวังกันอยู่บ้าง

 

“อือ?” ในยามนี้เมิ่งชวนพวกเขาจึงค่อยสังเกตเห็นว่า ที่ด้านหลังของท่านจ้าวตำหนักหยกสุริยันทั้งสองด้านยังได้ยืนเอาด้วยบุรุษหนุ่มซูบผอมรวมไปจนถึงบุรุษหนุ่มชุดขาวอีกคน

 

“บุรุษที่ซูบผอมผู้นั้นก็คือเหมยหยวนจือ บุรุษหนุ่มชุดขาวเป็นผู้ใดกัน?” เมิ่งชวนถึงกับอดไม่ได้ที่จะสงสัยขึ้นมา

 

“ศิษย์พี่เมิ่ง เจ้าทราบว่าบุรุษหนุ่มชุดขาวนั้นเป็นผู้ใดอย่างงั้นหรือ?” ว่านหมางถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

 

“ไม่รู้จัก” เมิ่งชวนส่ายหน้า

 

“เหมยหยวนจือที่ยืนอยู่ทางด้านหลังจ้าวตำหนักหยกสุริยันก็ยังแล้วไป บุรุษหนุ่มชุดขาวนั้นยังเป็นผู้ใดอีกกัน?” ในบริเวณอื่นเองก็ได้กล่าวถกเถียงกันออกมาด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เห็นได้ชัดว่าทุกคนต่างก็สังเกตเห็นบุรุษหนุ่มชุดขาวกันแล้ว

 

ในเวลานี้ ใต้เท้าข้าหลวงก็ได้เดินนำหน้าขึ้นมา พร้อมกับหันไปมองบริเวณโดยรอบ ส่งเสียงดังออกมา : “ทุกท่าน งานเลี้ยงตัดอสูรแห่งตำหนักหยกสุริยันที่สามปีจะจัดขึ้นหนึ่งครั้ง อีกทั้งยังเป็นเขาหยวนชูที่เป็นฝ่ายบัญญัติเอาไว้ เพื่อเป็นการบ่มเพาะฝึกฝนเหล่าผู้เยาว์ที่โดดเด่นจากแต่ละจวน ทำให้เหล่าผู้เยาว์ที่โดดเด่นก่อนที่จะเข้าสู่สนามรบ สามารถที่จะสู้กับเหล่าอสูรกันได้ก่อน เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากเหล่าสัตว์อสูรอย่างแท้จริง เช่นนี้ อนาคตในยามที่เข้าสู่สนามรบ ก็จะมีโอกาสที่จะมีชีวิตรอดได้อีกหลายส่วน ทุกท่านคงจะรับทราบในความหวังดีของเขาหยวนชูกันแล้ว”

 

“กฎของการงานเลี้ยงตัดอสูรนี้ อัจฉริยะทุกท่านเองก็จงฟังเอาไว้ให้ละเอียดแล้ว” ใต้เท้าข้าหลวงเปล่งเสียงดังกังวาน : “การต่อสู้ด้วยความเป็นความตายกับเหล่าอสูรบนเวทีประลองในครั้งนี้ หากพบว่าไม่สามารถต้านทานเอาไว้ได้ ขอเพียงแค่กระโดดลงจากเวทีประลองก็จะสามารถมีชีวิตรอดได้ พวกเจ้าเองก็ไม่จำเป็นต้องเป็นกังวลว่าจะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายไป เพราะว่า ยังมีเจ้าสำนักอยู่ ย่อมไม่มีทางที่จะเกิดเรื่องเหนือความคาดหมายขึ้นอย่างแน่นอน”

 

ในระหว่างที่ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวก็ได้หันไปยิ้มแย้มกับจ้าวตำหนักหยกสุริยัน

 

“แน่นอนว่า ผู้คนที่อยู่ด้านนอกเวทีประลองเองก็ห้ามมิให้สอดมือเข้ายุ่งเกี่ยว เพราะนั่นอาจจะเป็นการทำให้ศึกความตายต้องเกิดความหม่นหมอง นี่ก็คือกฎของงานเลี้ยงตัดอสูร ที่ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามมิให้ฝ่าฝืน” ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวขึ้นอย่างเย็นชา : “สามารถบอกต่อพวกเจ้าก่อนเลยก็ได้ว่า ตามประวัติศาสตร์ ที่ตายอยู่บนเวทีประลองแห่งนี้ แม้แต่แขนหักขาขาดอยู่บนเวทีประลองเองก็มี หากว่าเกิดกลัวขึ้นมา ก็จงปล่อยวางโอกาสในครั้งนี้ไปได้ในทันที”

 

กระนั้นกลับหาได้มีคนคิดที่จะยอมทิ้งโอกาสในครั้งนี้ไป

 

ในช่วงที่ไปรับใช้ราชสำนัก บนสนามรบย่อมต้องเกิดอันตรายที่มากยิ่งกว่า หากว่าละทิ้งโอกาสในครั้งไป ก็มีแต่จะกลายเป็นที่หัวเราะเยาะไปทั่วทั้งเมืองตงหนิงกันแล้ว

 

“ประเสริฐ เช่นนั้นงานเลี้ยงตัดอสูร ก็เริ่มขึ้นได้” ใต้เท้าข้าหลวงกล่าวจบก็ได้กลับมายังตำแหน่งของตัวเอง

 

รถเข็นกรงคันหนึ่งก็ได้ค่อยๆ ถูกเข็นออกมา

 

ภายในรถเข็นกรงยังได้กักเอาไว้ด้วยอสูรสุกรตนหนึ่ง อสูรสุกรตนนี้มีร่างกายราวสองจั้ง ร่างกายยังเต็มไปด้วยกล้ามเนื้ออวบอ้วนขนดำ สาดทอแววตาจับจ้องมองเหล่าผู้คนที่นั่งกันอยู่ทางด้านนอก ภายในแววตายังเปี่ยมไปด้วยรังสีสังหาร

 

“อยู่อย่างว่าง่ายหน่อย” บุรุษแขนเดียวที่ลากรถเข็นกรงเข้ามาก็ได้เอ่ยปากกล่าว

 

เมื่อได้ยินเสียงของบุรุษแขนเดียวผู้นี้ อสูรสุกรถึงกับต้องสั่นระริกไปทั้งร่าง ภายในแววตายังแฝงเอาไว้ด้วยความหวาดกลัว

 

“ขอเพียงเอาชนะในขณะที่ยังอยู่บนเวทีประลองได้ ก็จะให้เจ้าได้กินจนอิ่มหนำมื้อหนึ่ง ขอเพียงแค่สามารถฆ่าผู้เยาว์เผ่ามนุษย์ เจ้าก็จะได้รับอาหารเลิศรสสุราชั้นดีเป็นเวลาสิบวัน” บุรุษแขนเดียวที่ต่อ “แต่ว่าเจ้าห้ามออกไปจากเวทีประลอง หากหาญกล้าออกจากเวทีประลอง จะได้รับหมื่นพันมีดเชือดเฉือนไปจนตาย!”

 

“ข้าทราบแล้ว” อสูรสุกรเปล่งเสียงดังทุ้มต่ำ พ่นวาจาออกมาเป็นเสียงมนุษย์

 

รถเข็นกรงถูกลากมาถึงด้านข้างเวทีประลองเวทีประลอง

 

เปิดประตูกรง

 

“ขึ้นไปเถอะ” บุรุษแขนเดียวกล่าวอย่างเย็นชา

 

อสูรสุกรย่างก้าวอย่างเชื่องช้า จนขึ้นสู่บนเวทีประลอง บนข้อมือข้อเท้าของมันยังมีโซ่อันหนักหน่วงตรึงเอาไว้อยู่ ในเวลาที่มาถึงบนเวทีโซ่เหล่านี้ก็ได้ถูกทุบไปมา

 

เมิ่งชวนมองดูอย่างถี่ถ้วน จนเขารู้สึกได้ว่าอสูรสุกรตัวนี้ถือครองพลังอันมหาศาลเอาไว้ ขนหมูสีดำนั้นยังมีความเหนียวจนไม่ต่างอะไรไปจากเกราะหนัก อสูรสุกรเองก็ได้มองไปยังรอบบริเวณอย่างเปี่ยมไปด้วยรังสีฆ่าฟัน ในสายตาของมัน เผ่ามนุษย์รอบบริเวณล้วนแต่ถูกมองว่าศัตรู!ความบ้าคลั่งในสายตาของมัน ยังเต็มไปด้วยรังสีสังหารที่เกลียดชังอย่างรุนแรงจนทำให้เหล่าผู้เยาว์บางส่วนจิตใจสั่นไหวกันขึ้นมา คล้ายกับผู้เยาว์จากตระกูลอวิ๋นที่อ่อนวัยที่สุดในวัยเพียงแปดขวบปีถึงกับแตกตื่นจนใบหน้าซีดเผือด พร้อมกับเข้าสวมกอดมารดาตัวเอง

 

“ห้ามกอด” อวิ๋นฟู่อันดุบุตรชายของตัวเอง พร้อมทั้งสายตาอันเย็นเยียบมองไปที่ภรรยา : “มารดามากเมตตาบุตรก็จะยิ่งล้างผลาญ!”

 

และในเวลานี้ ข้าราชการราชสำนักหันไปมองรายชื่อ แล้วส่งเสียงกล่าวขึ้นว่า: “ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ขึ้นสู่เวทีประลองก่อน คนที่หนึ่ง จางหรู่ชางแห่งสำนักเหล่ยหยาง”

 

.

 

.

 

.

 

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "ตอนที่ 12 - งานเลี้ยงตัดอสูร"

0 0 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

The Inverted dragons scale
The Inverted dragons scale
มีนาคม 12, 2022
Gate of God
Gate of God
พฤษภาคม 17, 2022
ตำนานเทพปีศาจอมตะ (Immortal Devil Transformation)
ตำนานเทพปีศาจอมตะ (Immortal Devil Transformation)
มีนาคม 12, 2022
จอมดาบพิฆาตสวรรค์
จอมดาบพิฆาตสวรรค์
มีนาคม 12, 2022
INVINCIBLE โลกอมตะ
INVINCIBLE โลกอมตะ
มีนาคม 12, 2022
War Sovereign Soaring The Heavens
สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์
มิถุนายน 13, 2025
Tags:
กำลังภายใน
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (4)
  • แฟนตาซี (162)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz