หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art - ตอนที่ 7 การคัดเลือกของสำนักกระจกทะเลสาบ

  1. หน้าแรก
  2. ภาพเทพอสูรบรรพกาล : Archean Eon Art
  3. ตอนที่ 7 การคัดเลือกของสำนักกระจกทะเลสาบ
Prev
Next

 

เมิ่งชวนอดไม่ได้ที่จะลองอีกครั้ง พริบตาเดียวร่างกายจิตใจทักษะสามอย่างรวมเป็นหนึ่ง เมื่อคนเคลื่อนไหวแสงกระบี่ก็บุกทะลวงไปด้านหน้า เห็นแต่เพียงเงาติดตาที่ทิ้งไว้ในลานฝึก พร้อมกับกระบี่ที่น่ากลัววูบวาบไปทั่วจนเห็นแค่เพียงลำแสง

 

รวดเร็ว! ว่องไว!

 

นี่คือทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’

 

ท่าร่างรวดเร็วและยากที่จะคาดเดา! ทักษะกระบี่ว่องไวและพลิ้วไหว!

 

หลังจากร่ายรำกระบี่ติดต่อกันถึงสิบครั้ง เมิ่งชวนก็หยุด เขายากที่จะระงับความตื่นเต้นนี้ได้ “ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง หนึ่งใบไม้ร่วงหล่นแต่ยาวนานถึงสามฤดูใบไม้ร่วง! ในที่สุดข้าก็เข้าใจได้แล้ว! ข้าทำได้แล้ว!”

 

“ในที่สุดก็บรรลุขั้นหนึ่งเดียวของทักษะกระบี่ได้เสียที!”

 

“ข้าเมิ่งชวน มีความหวังที่จะได้กลายเป็นเทพอสูร!”

 

เมิ่งชวนตื่นเต้นมากจริงๆ

 

เขาฝึกกระบี่ใบไม้ร่วงตั้งแต่อายุสิบเอ็ดปี

 

เป็นเวลากว่าสี่ปีแล้ว

 

ตลอดสี่ปีมานี้เขาไม่เคยหย่อนหยาน และพยายามฝึกหนักอยู่ตลอดเวลา เพราะเขารู้ดีว่า มีหลายคนที่มีพื้นฐานทักษะกระบี่ที่โดดเด่นมาก ไม่ว่าจะเป็นสำนักไหนก็มีคนเหล่านี้เช่นกัน เมื่อนับรวมทั้งแปดสำนักแล้วผู้ฝึกยุทธ์ที่โดดเด่นก็มีเป็นจำนวนมาก…แต่ทว่าเก้าในสิบส่วนล้วนติดแหง่กอยู่ที่หน้าประตู ‘ขั้นหนึ่งเดียว’ นานมาก สุดท้ายก็ค่อยๆเปลี่ยนเป็นคนธรรมดา ชั่วชีวิตนี้หากขึ้นเป็นระดับไร้ตำหนิก็นับว่าไม่เลวแล้ว

 

แต่นั่นไม่ใช่เป้าหมายของเมิ่งชวน เขาต้องการจะกลายเป็นเทพอสูร! ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหน หรือทรมาณมากเพียงใด แต่เป้าหมายของเขาก็มีแค่หนึ่งเดียว นั่นก็คือ——เทพอสูร!

 

เขายังจำไม่ลืม ตอนอายุหกขวบเขาถูกมัดไว้บนหลังของท่านพ่อ ขณะที่ท่านพ่อกำลังหลบหนีจากฝูงอสูร ในช่วงวิกฤติ ท่านแม่ตัดสินใจที่จะไม่หนีและพุ่งเข้าไปสังหารเหล่าอสูรพวกนั้น เพื่อถ่วงเวลาเอาไว้

 

นี่ก็เพื่อให้เขาหลบหนีไปได้อย่างปลอดภัย!

 

เมิ่งชวนที่อยู่บนหลังของท่านพ่อ มองเห็นท่านแม่ของตนจมหายไปกับคลื่นอสูร ในตอนนั้นเมิ่งชวนร้องไห้ราวจะขาดใจ ขณะที่บิดาได้แต่หลั่งน้ำตาอย่างเงียบๆและพยายามวิ่งหนีต่อไปโดยไม่หันกลับไปมอง สุดท้าย…เมิ่งชวนจึงรอดมาได้

 

“การฝึกฝนจำต้องฝึกตั้งแต่เนิ่นๆ ร่างกายมนุษย์นั้น อายุยี่สิบปีคือช่วงที่รุ่งโรจน์ที่สุด หลังจากนั้นก็จะค่อยๆถดถอยลงเรื่อยๆ”

 

เมิ่งชวนคิดในใจว่า “ตอนนี้อัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงก็คือ ‘เหมยหยวนจือ’ อายุสิบห้าเข้าใจทักษะลับ อายุยี่สิบเข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ ดังนั้นจึงสามารถอาศัยอยู่ในวังหยกสุริยัน และได้ฝึกฝนอยู่ที่นั่นได้”

 

เหมยหยวนจือ มีพื้นเพมาจากครอบครัวธรรมดาในเมืองตงหนิง มารดาเป็นสาวใช้ ส่วนบิดาก็เป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิด

 

ตอนที่เหมยหยวนจือเข้าใจทักษะลับเมื่ออายุสิบห้าปี ได้สร้างความตกตะลึงไปทั่วสำนัก ทั้งสำนักต่างทุ่มเทอบรมเลี้ยงดูเขา กระทั่งตระกูลเทพอสูรก็ยังอยากยกบุตรหลานที่เป็นผู้หญิงให้กับเขา แต่เหมยหยวนจือทุ่มเทจิตใจไปกับการฝึกฝน จึงไม่ถูกล่อลวงด้วยผลประโยชน์จากตระกูลเทพอสูร…สุดท้าย ในวันที่สิบสองเดือนหนึ่งของปีนี้ เหมยหยวนจือก็เข้าใจ ‘พลังน้ำแข็ง’ อายุเพียงยี่สิบปีแต่กลับตระหนักถึง ‘พลัง’ ได้ ด้วยเหตุนี้เขาจึงมีโอกาสได้เสี่ยงโชคเข้าร่วมสำนักโบราณที่เก่าแก่ที่สุดอย่าง ‘เขาหยวนชู’

 

ตามกฏของเขาหยวนชูแล้ว ผู้ที่สามารถเข้าร่วมการทดสอบนั้น ต้องมีอายุไม่เกินยี่สิบปี

 

“ข้าบรรลุขั้นหนึ่งเดียวแล้ว นี่คือก้าวแรกของข้า ยังมีประตู ‘พลังกระบี่’กับ ‘การควบแน่น’อยู่ มิอาจหย่อนหยานได้” เมิ่งชวนครุ่นคิด เมื่อมองไปรอบๆ ก็พบว่าในลานฝึกอันเงียบสงบนั้นมีเพียงเขาแค่คนเดียว ต้นไม้ดอกไม้และใบหญ้าเหล่านั้นล้วนเขียวขจี

 

“ช่างบังเอิญเสียจริง” เมิ่งชวนอุทานออกมา “วันนี้คือวันที่ยี่สิบเจ็ดเดือนสอง ข้าสามารถบรรลุขั้นของวิชากระบี่ได้ก่อนวันคัดเลือกภายในสำนักแค่เพียงหนึ่งวัน”

 

บนโลกนี้ บางครั้งก็ปรากฏเรื่องบังเอิญเช่นนี้

 

……

 

วันที่สอง เช้าวันที่อากาศแจ่มใส

 

เมิ่งชวน หลิ่วชีเยว่นั่งทานอาหารเช้าด้วยกัน

 

วันนี้ก็เป็นอีกหนึ่งวันที่ตระกูลเมิ่งพยายามอย่างหนักเพื่ออบรมชนรุ่นหลัง พวกเขาได้เชิญผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิจากข้างนอกมาฝึกฝนลูกหลานของตระกูล ‘เมิ่งต้าเจียง’ ผู้ฝึกยุทธ์ระดับไร้ตำหนิที่ตระหนักพลังกระบี่ก็เป็นประโยชน์ด้วยเช่นกัน ช่วงนี้เขาอาศัยอยู่ที่เรือนบรรพบุรุษ และคอยอบรมรุ่นเยาว์ในเรือนบรรพบุรุษ ส่วนเมิ่งชวนนั้น…เขามีโอกาสได้รับคำชี้แนะจากบิดามาหลายครั้ง กระบวนท่าของบิดาชุดนั้นเขาคุ้นเคยยิ่งกว่าใคร

 

ส่วนบิดาของชีเยว่ ‘หลิ่วเย่ป๋าย’ ค่อนข้างลึกลับมาก เวลาส่วนใหญ่เขามักจะออกไปข้างนอก

 

“อาชวน วันนี้เป็นวันคัดเลือกของสำนักข้า พวกเจ้าก็คัดเลือกวันนี้เหมือนกันหรือเปล่า” หลิ่วชีเยว่ถามอย่างสนใจ “ข้าได้รับเลือกแล้วนะ”

 

“วันนี้ข้าก็จะคว้าโอกาสนั่นมา” เมิ่งชวนยิ้มน้อยๆ

 

“มั่นใจขนาดนั้นเชียว?” หลิ่วชีเยว่ยิ้มพลางกล่าวว่า “ระดับชำระแก่นแท้ยังไม่สมบูรณ์ แต่กลับมั่นใจว่าจะแย่งตำแหน่งสามอันดับแรกของสำนักมาได้?”

 

“ถ้าหากข้าชนะเจ้าจะทำยังไง” เมิ่งชวนถาม

 

หลิ่วชีเยว่จ้องมองเมิ่งชวนอย่างถี่ถ้วน จากนั้นก็หัวเราะคิกคัก “ถ้าหากเจ้าชนะ ข้าจะทำอาหารเย็นให้เจ้าทานหนึ่งเดือน แต่ถ้าเจ้าแพ้ หึๆ เจ้าจะต้องยกภาพวาดอาชาให้ข้า! เจ้ากล้าพนันรึไม่?”

 

เมิ่งชวนหัวเราะ

 

ทักษะการวาดรูปของเขาเหนือกว่าพวกปรมาจารย์วาดภาพที่เก่งที่สุดในเมืองตงหนิงนานแล้ว แน่นอนอีกสาเหตุหนึ่งก็เป็นเพราะมีปรมาจารย์วาดภาพที่เมืองตงหนิงน้อยด้วย

 

ภาพวาดอาชา คือผลงานชิ้นเอกของเมิ่งชวนในปัจจุบัน เป็นม้วนภาพวาดยาว โดยมีอาชาหนึ่งร้อยตัวแสดงท่าทางที่ไม่ซ้ำกัน ซึ่งเมิ่งชวนใช้เวลาปีกว่าถึงจะวาดมันสำเร็จ ตอนที่หลิ่วชีเยว่เห็นมันครั้งแรกก็โลภอยากได้ทันที แม้แต่อวิ๋นชิงผิงตอนที่เห็นมันครั้งแรก ก็กล่าวว่ายอมแลกอัญมณีสองชิ้นกับเงินอีกสามพันตำลึง แต่เมิ่งชวนก็ไม่ยอมแลก

 

“ถ้าข้าแพ้ข้าต้องยกภาพอาชาให้กับเจ้า แต่ถ้าเจ้าแพ้เจ้าจะทำอาหารเย็นให้ข้าแค่หนึ่งเดือน นี่มันไม่เอาเปรียบกันไปหน่อยเหรอ?” เมิ่งชวนกล่าวอย่างสงสัย

 

“หนึ่งเดือนนั่นแหละดีแล้ว! เจ้ากล้ารึไม่?” หลิ่วชีเยว่ถลึงตาใส่เมิ่งชวน

 

“ปกติก็เป็นเรื่องยากที่เจ้าจะทำอาหารให้ข้าทานสักครั้ง ก็ได้ ข้ารับคำท้า” เมิ่งชวนกัดฟันพูด “ตอนที่แพ้ เจ้าอย่าเสียใจทีหลังก็แล้วกัน”

 

“เชอะ ถ้าหากเจ้าแพ้ เจ้าก็อย่าเสียใจทีหลังเหมือนกันล่ะ!” หลิ่วชีเยว่วางตะเกียบลง ก่อนจะลุกขึ้นเดินออกไป “ข้าไปสำนักก่อนล่ะ วันนี้เที่ยง เจ้าอย่ากลัวจนไม่กล้ากลับบ้านนะ”

 

“วางใจเถอะ” เมิ่งชวนทานโจ๊กอย่างช้าๆ ด้วยท่าทางอารมณ์ดี ในเมื่อชีเยว่ยินดีที่จะทำอาหารเย็นให้เขาทานตั้งเดือนหนึ่ง แล้วเหตุใดเขาต้องปฏิเสธด้วยล่ะ?

 

หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เมิ่งชวนก็เช็ดมุมปาก จากนั้นก็เดินทางไปยังสำนัก

 

******

 

สำนักกระจกทะเลสาบ

 

หลังจากที่เมิ่งชวนมาถึงสำนัก ก็พบศิษย์ในสำนักพากันมายืนอยู่บริเวณเวทีประลองกันอย่างเนืองแน่น

 

“ศิษย์พี่เมิ่งต้องชนะแน่นอน”

 

“ศิษย์พี่เมิ่งจะต้องคว้าตำแหน่งสามอันดับแรกได้”

 

เหล่าศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนต่างก็ตื่นเต้นมาก พวกเขารู้ว่าวันนี้คือการตัดสินการคัดเลือก และทางสำนักก็ตั้งใจให้พวกเขาได้รับชมการต่อสู้ของศิษย์พี่ในตึกขุนเขาธารา เนื่องจากบางครั้งเมิ่งชวนก็ยินดีให้คำแนะนำแก่ศิษย์น้องทุกคน ดังนั้นจึงมีหลายคนที่สนับสนุนเมิ่งชวน

 

“แม้ข้าอยากจะให้ศิษย์พี่เมิ่งชนะ แต่พูดกันตามตรง ในการแข่งขันระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้สิบอันดับแรกเมื่อคราวที่แล้ว ศิษย์พี่เมิ่งไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก ความหวังที่เขาจะติดหนึ่งในสามอันดับแรกนั้นมีไม่มาก”

 

“ศิษย์พี่ว่านหม่าง ศิษย์ป๋ายก้วน ติดสิบอันดับแรกจากการแข่งขันเมื่อครั้งที่แล้ว อันดับหนึ่งนั้นคงไม่พ้นสองคนนี้ ข้าคิดว่าพวกเขาสองคนคงได้ที่ว่างไปวังหยกสุริยันแล้ว” ศิษย์น้องชายและศิษย์น้องหญิงหลายคนพากันซุบซิบกันอย่างครื้นเครง มีบางคนสนับสนุนศิษย์พี่ที่ตนชอบกันอย่างตาบอด แต่บางคนก็วิเคราะห์กันอย่างตั้งใจ แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขาคิดเห็นตรงกัน——นั่นก็คือคาดหวังกับการประลองที่กำลังจะเริ่ม

 

รอบๆเวทีประลองในระยะสิบฟุตถูกปิดกั้น ไม่อนุญาตให้พวกลูกศิษย์เข้ามาใกล้ในระยะนี้

 

เมิ่งชวนยืนรออยู่ก่อนแล้วในขณะที่คนอื่นๆพากันทยอยมาถึง นอกจากนี้ก็มีคำสั่งจากเหล่าอาจารย์ให้ตรวจสอบอาวุธของตัวเอง เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครเปิดคม

 

ตอนนี้เอง ชายร่างเล็กที่เต็มไปด้วยกลิ่นสุราทั้งร่างก็กอดไหสุราเดินเข้ามา

 

“เจ้าสำนัก”

 

“เจ้าสำนัก”

 

ศิษย์ทุกคนพากันคำนับอย่างนอบน้อม แม้แต่เหล่าศิษย์ทั้งยี่สิบสองคนจากตึกขุนเขาธาราก็คำนับอย่างสุภาพ ‘เก๋อหยู่’ คือเจ้าสำนักกระจกทะเลสาบ ชื่อเสียงของเก๋อหยู่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ทั้งโลภมากและขี้เมา แล้วยังกระทำเรื่องที่น่าอายอยู่หลายครั้ง

 

“เอาล่ะ ทุกคนมากันครบแล้วสินะ” แม้เก๋อหยู่จะหน้าแดงก่ำด้วยความเมา และกลิ่นสุราคละคลุ้งไปทั่ว แต่ศิษย์ทุกคนกลับประพฤติตัวอย่างเชื่อฟัง แม้แต่เหล่าอาจารย์ผู้ช่วยสอนก็ยังไม่กล้าพูดอะไรออกมา ฉายานักกระบี่อันดับหนึ่งของเมืองตงหนิงนั้น ไม่ได้มาเพราะโชคช่วยแต่เป็นประสบการณ์จากการฆ่าฟัน

 

“ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคน รีบขึ้นไปเร็วเข้า” เก๋อหยู่ประกาศต่อไปว่า “พวกเขาทั้งหกคนจะเริ่มการประลองก่อน เพื่อคัดเลือกสามอันดับแรก”

 

“คารวะเจ้าสำนัก”

 

ตอนนั้นเองก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งโค้งคำนับ “ข้ากับศิษย์พี่จางเพิ่งจะทะลวงระดับก่อกำเนิดมาได้ไม่นาน และยังอยู่ระดับก่อกำเนิดระดับต้น พลังของพวกเรายังตื้นเขินนัก ดังนั้นการประลองในวันนี้จึงขอยอมแพ้”

 

“คารวะเจ้าสำนัก เมื่อคืนวานข้าได้ท้าประลองไปแล้ว และพ่ายแพ้ถึงสามรอบ” ชายหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งกล่าวขึ้นมา

 

“หือ?”

 

เก๋อหยู่ได้ยินดังนั้นก็พยักหนัก เขาเข้าใจความแข็งแกร่งของเหล่าลูกศิษย์ดี “ก็ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนั้น งานชุมนุมสังหารอสูรที่วังหยกสุริยันครั้งนี้ ก็ให้อู๋ฉีกับสองพี่น้องตระกูลเว่ยรับหน้าที่ไป”

 

“ขอรับ” พวกอู๋ฉีทั้งสามคนที่อยู่ระดับก่อกำเนิดต่างกล่าวออกมาอย่างยินดี

 

อู๋ฉี คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับสมบูรณ์

 

ส่วนพี่น้องตระกูลเว่ย คือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดระดับปลาย ความแข็งแกร่งของพวกเขานั้นทรงพลังมาก

 

“ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้จากตึกขุนเขาธาราทั้งสิบหกคน” เก๋อหยู่หันไปมองเมิ่งชวนและคนอื่นๆ “พวกเจ้าทุกคนมีสิทธิ์ที่จะแย่งชิงโอกาสนี้ ข้าจะบอกกฎอีกครั้ง ทุกคนมีโอกาสขึ้นมาบนเวทีได้! พวกเจ้าจะต้องรับคำท้าทายจากศิษย์ระดับเดียวกัน ตราบใดที่สามารถเอาชนะได้ห้ารอบ ก็สามารถคว้าตำแหน่งหนึ่งในนั้นไปครอง อีกอย่าง…ถ้าหากพวกเจ้าพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง ก็ไม่มีสิทธิ์เข้าร่วมการประลอง”

 

“เอาล่ะ ตอนนี้ก็เริ่มการประลองได้” เก๋อหยู่กล่าวออกมาพร้อมยกไหสุราขึ้นดื่ม

 

ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ทั้งสิบหกคนพลันนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง

 

ขึ้นไปบนเวที และต้องชนะการประลองติดต่อกันถึงห้ารอบจึงจะคว้าตำแหน่งได้? เช่นนั้น ผู้ที่ขึ้นไปบนเวทีคนแรกก็ซวยที่สุดนะสิ!

 

การขึ้นไปบนเวทีเป็นคนที่สาม น่าจะได้เปรียบกว่าคนที่ขึ้นไปสองคนแรก

 

“ใครจะเป็นคนแรก?” ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ส่วนใหญ่ต่างก็หันไปทางชายหนุ่มสองคน หนึ่งในนั้นคือ ‘ว่านหม่าง’ ชายหนุ่มร่างกำยำที่มีรอยยิ้มประดับอยู่บนใบหน้า ส่วนอีกคนคือ ‘ป๋ายก้วน’ ชายหนุ่มร่างสูงโปร่งที่ดูเย็นชา ในการแข่งขันระหว่างศิษย์สิบอันดับแรก สองคนนี้มักจะเป็นผู้ตัดสินใจก่อนเสมอ

 

“เจ้าจะขึ้นไปก่อนหรือไม่?” ว่านหม่างหันไปมองป๋ายก้วนด้วยดวงตาที่เป็นประกาย

 

“ถ้าเจ้าอยากขึ้นไป เจ้าก็ขึ้นไปสิ” ป๋ายก้วนตอบกลับอย่างเย็นชา

 

ตอนนั้นเอง——

 

ก็มีเงาร่างหนึ่งได้ก้าวเท้าออกมา และขึ้นไปบนเวทีเป็นคนแรก ซึ่งคนคนนั้นก็คือเมิ่งชวน

 

เมิ่งชวนกวาดสายตามองคนที่อยู่เบื้องล่างที่แสดงท่าทีตกตะลึง แล้วกล่าวว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”

 

ตอนที่ 8 ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’

 

การกระทำของเมิ่งชวนทำให้ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราพากันตกตะลึง ในตึกขุนเขาธารา เมิ่งชวนไม่ได้โดดเด่นอะไรนัก อีกทั้งอายุค่อนข้างน้อย แม้ว่าบิดาของเขาจะเป็นถึงว่าที่หัวหน้าตระกูลเมิ่ง แต่เมิ่งชวนก็ไม่เคยทำตัวโอ้อวด ดังนั้นศิษย์ร่วมสำนักจึงมีความประทับใจต่อเมิ่งชวนค่อนข้างดีมาก แต่ครั้งนี้กลับแย่งขึ้นเวทีประลองก่อน แล้วยังกล่าวอีกว่า “อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้”

 

ซึ่งนั่นหมายความว่าไม่เห็นพวกเขาอยู่ในสายตาไม่ใช่รึ

 

“ศิษย์พี่เมิ่งขึ้นไปบนเวทก่อนงั้นรึ?”

 

“ทำไมเขาถึงขึ้นไปเป็นคนแรกล่ะ?”

 

“น่าจะรอให้ผ่านสองคนแรกไปก่อน แล้วค่อยขึ้นอีกทีก็ยังไม่สายนะ” ห่างออกไป เหล่าศิษย์น้องที่อยู่รอบลานประลองพากันซุบซิบอย่างประหลาดใจ

 

กระทั่งเจ้าสำนักที่กำลังดื่มสุราอยู่ก็ยังประหลาดใจเล็กน้อย เขาเป็นคนโลภและรักสุรา จึงได้ประโยชน์จาก ‘เมิ่งต้าเจียง’ ที่เป็นเถ้าแก่ของภัตตาคารอาหารอันดับหนึ่งแห่งเมืองตงหนิงอยู่บ่อยครั้ง ดังนั้นเขาจึงพลอยเอ็นดูบุตรชายของเมิ่งต้าเจียงไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเมิ่งชวนไม่เคยอาศัยอำนาจของตระกูลทำเรื่องเลวร้าย และเมิ่งต้าเจียงก็ให้สิทธิประโยชน์กับเขามากมาย

 

“เร็วเข้า ใครอยากจะประลองกับเมิ่งชวนก็รีบขึ้นมา” เก๋อหยู่กระตุ้น

 

“ข้าเอง”

 

ป๋ายก้วนเจ้าของใบหน้าเย็นชาได้ก้าวเท้าออกมาและเดินขึ้นไปบนเวทีประลอง เขามองเมิ่งชวนด้วยแววตาเย็นยะเยือก ก่อนจะหัวเราะเยาะ “เมิ่งชวน เจ้าอยากได้อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ได้ถามข้าก่อนรึยัง”

 

ในการแข่งขันชิงสิบอันดับแรกระหว่างศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ เขาก็สามารถคว้าอันดับหนึ่งมาได้ทุกครั้ง มีแค่ครั้งนี้ที่พ่ายแพ้ให้กับว่านหม่าง

 

ในหมู่ศิษย์ระดับชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธารา มีเพียงว่านหม่างผู้ที่มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดเท่านั้นที่จะทำให้เขาระมัดระวังตัวได้ ส่วนศิษย์คนอื่นๆเขาไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา ตอนที่เมิ่งชวนขึ้นไปเป็นคนแรก เขาก็คิดว่าจะเป็นผู้ชม แต่พอเมิ่งชวนกล่าวว่า ‘อันดับหนึ่งของการประลองนี้ ข้าคงต้องขอรับไว้’ เขาก็เกิดความรู้สึกอยากจะสั่งสอนเมิ่งชวนขึ้นมา

 

“เชิญ” เมิ่งชวนตอบกลับ

 

“ตรงไปตรงมาดีนี่”

 

ป๋ายก้วนชักกระบี่สองเล่มออกมาจากด้านหลัง กระบี่ยาวคู่นี้ไม่ได้เปิดคม การประลองในหมู่ศิษย์ด้วยกันนั้น พวกเขาจะทำให้อาวุธของตัวเองทื่อ

 

ป๋ายก้วนถือกระบี่อย่างละข้าง ดวงตาจ้องมองไปที่เมิ่งชวน ก่อนจะกล่าวว่า “เจ้ากับข้าประมือกันมาแล้วเจ็ดครั้ง แต่ไม่มีครั้งไหนที่เจ้ารับมือข้าได้เกินสิบกระบวนท่า”

 

“ทักษะกระบี่คู่ของท่านทรงพลังจริงๆ” เมิ่งชวนพยักหน้าชื่นชม

 

ป๋ายก้วนเก่งกาจมากจริงๆ แม้แต่ว่านหม่างผู้มีพละกำลังแข็งแกร่งมาตั้งแต่กำเนิดก็ยังโชคดีเอาชนะเขาได้แค่ครั้งเดียว ซึ่งนั่นเป็นเพราะทักษะกระบี่คู่! เขาคือผู้เชี่ยวชาญกระบี่คู่ที่แท้จริง ซึ่งจำเป็นต้องเคลื่อนไหวทั้งสองอย่างพร้อมกัน กระบี่สองเล่มก็เปรียบเสมือนนักกระบี่สองคนที่ร่วมมือกัน…ต้องต่อสู้กับนักกระบี่แบบนี้ ก็เหมือนเผชิญหน้ากับนักกระบี่คู่ที่เข้าขากันอย่างสมบูรณ์แบบ ดังนั้นเหล่าศิษย์ชำระแก่นแท้ของตึกขุนเขาธาราจึงพ่ายแพ้ให้กับเขา

 

“การที่เจ้ากล้าขึ้นมาเป็นคนแรก ข้าก็ขอชื่นชมในความกล้า ฉะนั้นข้าจะใช้ท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ เพื่อให้เจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ทั้งปากและใจ” ป๋ายก้วนผู้หยิ่งผยองได้บอกถึงทักษะที่ตนจะใช้ต่อจากนี้โต้งๆ เพื่อเป็นการสั่งสอนเมิ่งชวน เขาจะใช้ทักษะที่แข็งแกร่งที่สุดกดดันเมิ่งชวน

 

“แสดงออกมาเลย” เมิ่งชวนไม่รีบร้อน ความเข้าใจต่อทักษะลับของเขาได้ก้าวไปอีกระดับแล้ว ฉะนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องรีบลงมือก่อน ปล่อยให้อีกฝ่ายมีโอกาสแสดงทักษะลับอย่างสมบูรณ์ดีกว่า

 

ฟ้าว

 

ป๋ายก้วนลงมือทันที

 

มือที่ถือกระบี่ทั้งสองข้างเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แม้จะมั่นใจแต่เขาก็ยังทุ่มพลังทั้งหมด กระบี่พุ่งตรงไปทางเมิ่งชวน ท่าร่างของเขาดูแปลกมาก เดี๋ยวก็โผล่ไปทางซ้ายทีขวาที ทำให้ยากที่จะระบุตำแหน่งที่แท้จริงของเขาได้

 

พริบตาเดียว เขาก็ทะยานเข้าไปใกล้เมิ่งชวนที่อยู่อีกด้านหนึ่งของเวที

 

“ตาย” ป๋ายก้วนแสยะยิ้มให้กับเมิ่งชวน กระบี่คู่ได้แสดงท่าไม้ตาย ‘เฉือนใจ’ ออกมา แม้ว่าคมกระบี่จะทื่อ แต่ด้วยทักษะนี้เมิ่งชวนก็บาดเจ็บได้

 

ประกายแสงคมกระบี่คู่สว่างวูบ ขณะฟันไปที่ร่างของเมิ่งชวน

 

“หือ?” ป๋ายก้วนเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะเขารู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังฟันอากาศอยู่

 

ตอนนั้นเองเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือกที่ลำคอ

 

เขารีบหันกลับไปมอง

 

เป็นเมิ่งชวนที่ยืนอยู่ด้านหลังเขา และถือกระบี่วางไว้ที่คอของป๋ายก้วน

 

“เป็นไปได้ยังไง ทำไมเจ้าถึงเร็วขนาดนี้?” ป๋ายก้วนยากจะทำใจเชื่อได้ “ทำไมข้าถึงมองไม่ชัด”

 

เขาไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น ศัตรูที่ยืนอยู่ตรงหน้า พริบตาเดียวกลับไปยืนอยู่ด้านหลัง และเอากระบี่จ่อคอเขา

 

เห็นได้ชัดว่าการฆ่าเขามันง่ายพอๆกับการฆ่าไก่

 

ตอนแรกเก๋อหยู่ยังกอดไหสุราอย่างสบายอารมณ์ แต่จังหวะที่ยกขึ้นดื่มและมองไปบนเวที เขาก็ต้องตกตะลึงขึ้นมา ดวงตาของเขาเบิกกว้างขณะมองฉากนี้อย่างไม่อยากจะเชื่อ กระทั่งไหสุราในมือก็ยังร่วงลงมากระแทกพื้นจนแตกเป็นเสี่ยงๆ สุราไหลเจิ่งนองไปทั่วพื้น แต่เก๋อหยู่ก็ไม่แม้แต่จะปรายตามองสุราที่หกราดพื้นเลยแม้แต่น้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่เมิ่งชวน

 

“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ข้าเก๋อหยู่อบรมศิษย์แบบนี้ออกมาได้ด้วยรึ?” เก๋อหยู่พึมพำกับตัวเองเบาๆ เขาเป็นเจ้าสำนักมาสิบห้าปี แต่ไม่เคยอบรมอัจฉริยะที่คาดว่าจะเป็นเทพอสูรมาก่อน

 

เหล่าอาจารย์และผู้ช่วยต่างก็มองหน้ากันอย่างงงๆ พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร และเข้าใจว่านี่หมายความว่าเช่นไร

 

“เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ”

 

“ทักษะลับกระบี่ใบไม้ร่วง ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’! สำนักกระจกทะเลสาบของข้าปรากฏศิษย์ที่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ปีนี้เมิ่งชวนอายุเพียงสิบห้า แค่สิบห้าปีกลับครอบครองทักษะลับได้แล้ว นี่เป็นเรื่องจริงรึนี่!”

 

“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา ปรากฏศิษย์ที่เข้าใจทักษะลับตั้งแต่อายุสิบห้าปี!”

 

“สำนักกระจกทะเลสาบของเรา! ฮาฮา…”

 

เหล่าอาจารย์ที่อุทิศตนเพื่อสำนักมาชั่วชีวิตพากันตื่นเต้นขึ้นมา นี่คือช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดของพวกเขา ทั้งสำนักได้อบรมสั่งสอนศิษย์มามากมาย เป้าหมายก็เพื่อเลี้ยงดูอัจฉริยะที่สามารถกลายเป็นเทพอสูรได้ในอนาคต

 

บัดนี้ สำนักกระจกทะเลสาบได้ปรากฏอัจฉริยะเช่นนั้นขึ้นมาแล้ว แบบนี้จะไม่ให้เหล่าอาจารย์ตื่นเต้นได้อย่างไร? จะไม่ให้พวกเขาคลุ้มคลั่งได้อย่างไร?

 

ถ้าหากบอกว่าเหล่าอาจารย์พากันตื่นเต้น เช่นนั้นพวกลูกศิษย์นับพันที่มองดูฉากนี้ก็น่าจะเข้าขั้นบ้าคลั่งขึ้นมา

 

“สวรรค์!”

 

“ข้าไม่ได้ตาฝาดใช่ไหม?”

 

“นี่คือ…”

 

“ข้าเห็นศิษย์พี่เมิ่งสองคน คนหนึ่งอยู่ด้านหน้าศิษย์พี่ป๋าย อีกคนอยู่ด้านหลังศิษย์พี่ป๋าย?”

 

“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ นี่ต้องเป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’ ของกระบี่ใบไม้ร่วงแน่ๆ! เจ้าสำนักเคยบรรยายให้พวกเราฟังมาแล้ว”

 

“ที่แท้ก็เป็นทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’!”

 

เสียงพูดคุยพลันดังกระหึ่มขึ้นมา แม้แต่ศิษย์จากตึกขุนเขาธาราก็ตะลึงงันเช่นกัน

 

วินาทีนั้น ตั้งแต่เจ้าสำนัก ไปจนถึงเหล่าศิษย์สามัญต่างก็พากันพูดคุยอย่างตื่นเต้น ทุกคนล้วนก็เข้าใจอย่างชัดเจนว่าการที่เด็กอายุสิบห้าสามารถใช้ทักษะลับได้นั้นมันหมายความว่าอะไร!

 

“ฟิ้ว” ในบรรดาศิษย์มากมายที่รายล้อมรอบเวทีนั้น จู่ๆก็มีศิษย์คนหนึ่งวิ่งออกจากสำนัก

 

“เร็วเข้า รีบกลับไปที่เรือนบรรพบุรุษ ไปรายงานให้คนในตระกูลทราบ”

 

“เร็ว รีบกลับไปรายงาน!”

 

ศิษย์ในสำนักกระจกทะเลสาบบางส่วนก็มาจากตระกูลเมิ่ง เมื่อมีศิษย์จากตระกูลเมิ่งคนแรกที่วิ่งออกไป ก็มีคนที่สองและสามตามมา พวกเขามุ่งหน้าไปยังตระกูลของตัวเอง พวกเขาอยากจะนำข่าวดีนี้ไปแจ้งให้คนในตระกูลทราบ! ด้านหนึ่งคือพวกเขาอยากมีส่วนร่วมกับเรื่องที่น่ายินดี อีกด้านคือเมื่อพวกเขากลับไปรายงานข่าวนี้กับตระกูล ทางตระกูลอาจจะตบรางวัลให้กับพวกเขา

 

รายงานข่าวดี จึงได้รางวัล นี่ไม่ใช่เรื่องสมควรหรอกเหรอ โดยเฉพาะข่าวดีเทียมฟ้าเช่นนี้

 

ฟิ้วววว….ศิษย์ตระกูลเมิ่งแต่คนต่างก็ใช้ทักษะตัวเบาวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

 

“ทักษะลับ ‘ขั้นที่สามกระบี่ใบไม้ร่วง’?” ป๋ายก้วนบนเวทีที่มองเห็นทักษะไม่ชัด เมื่อได้ยินเสียงพูดคุยจากผู้คนรอบๆเวที จึงเพิ่งนึกได้ว่าเมิ่งชวนใช้ทักษะอะไร เขาเข้าใจแล้วว่าทักษะที่อีกฝ่ายใช้ก็คือกระบี่ใบไม้ร่วง

 

“เจ้าเข้าใจทักษะลับแล้วรึ?”

 

ป๋ายก้วนแสดงสายตาที่ซับซ้อนขณะมองไปทางเมิ่งชวน

 

“หลังจากติดคอขวดมาสองปี ในที่สุดข้าก็บรรลุแล้ว” เมิ่งชวนพยักหน้า

 

ป๋ายก้วนทั้งอิจฉาทั้งริษยา ตัวเขาเองไม่ใช่ว่าติดคอขวดเช่นกันหรือ? เขาสามารถใช้กระบี่คู่พร้อมกันได้ ทำให้พลังรบของเขาเหนือกว่าศิษย์รุ่นเดียวกันหลายขุม แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงติดอยู่คอขวด เขาปรารถนาที่จะเข้าใจทักษะลับยิ่งกว่าใคร

 

“มิน่าล่ะเจ้าถึงขึ้นมาเป็นคนแรก เเบบนี้นี่เอง เจ้าในตอนนี้กับพวกข้าทุกคนล้วนคนละชั้น” ป๋ายก้วนกล่าวเสียดสี ก่อนจะเดินลงมาจากเวที

 

แต่วินาทีนี้ไม่มีใครสนใจป๋ายก้วน

 

สายตาของทุกคนยังจ้องมองไปที่เมิ่งชวนเด็กหนุ่มวัย ‘สิบห้าปี’ บรรดาศิษย์จากตึกขุนเขาธาราแสดงสีหน้าตกใจและอิจฉาออกมา แม้แต่ศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนก็ยังรู้สึกอิจฉาไม่แพ้กัน เพราะว่าพวกเขายังตระหนักรู้ทักษะลับไม่ได้! อันที่จริงแล้ว ผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดส่วนใหญ่ต่างก็ไม่สามารถเข้าใจทักษะลับได้ ชั่วชีวิตจึงติดอยู่ระดับนี้ตลอดกาล

 

หากเข้าใจทักษะลับ ก็สามารถก้าวเข้าสู่ระดับไร้ตำหนิได้

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า” เจ้าสำนักเก๋อหยู่ที่ตัวเปื้อนสุราเล็กน้อยพลันหัวเราะออกมาเสียดัง “นี่คือทักษะกระบี่ใบไม้ร่วงที่ข้าสอนเจ้าไปจริงๆ อู๋ฉี!”

 

อู๋ฉีชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างนอบน้อม “ศิษย์อยู่นี่!”

 

ในบรรดาศิษย์ระดับก่อกำเนิดทั้งหกคนเขาคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ปีนี้เขาอายุสิบเก้าแล้ว ระดับการบ่มเพาะก็อยู่ที่ระดับก่อกำเนิดสมบูรณ์

 

“เจ้าขึ้นไปประลองกับเมิ่งชวนซะ!” ดวงตาของเก๋อหยู่เป็นประกาย ขณะออกคำสั่งกับอู๋ฉี

 

“ให้ข้าประลองกับอู๋ฉี?” เมิ่งชวนที่อยู่บนเวทีก็หันหน้ากลับมามอง อู๋ฉีคือผู้ฝึกยุทธ์ระดับก่อกำเนิดขั้นสมบูรณ์ เป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดในสำนักกระจกทะเลสาบ และยังเป็นศิษย์พี่ใหญ่ของสำนักอีกด้วย

 

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "ตอนที่ 7 การคัดเลือกของสำนักกระจกทะเลสาบ"

0 0 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

Godly Empress Doctor
Godly Empress Doctor
มีนาคม 12, 2022
ราชันสามภพ (นิยายแปล)
ราชันสามภพ
กรกฎาคม 6, 2023
วิถีสู่สวรรค์
วิถีสู่สวรรค์
มีนาคม 12, 2022
The Demon God Pesters : The Ninth Lady of the Doctor
The Demon God Pesters : The Ninth Lady of the Doctor
มีนาคม 12, 2022
Crazy  Leveling  System
Crazy Leveling System
พฤษภาคม 17, 2022
จอมดาบพิฆาตสวรรค์
จอมดาบพิฆาตสวรรค์
มีนาคม 12, 2022
Tags:
กำลังภายใน
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (5)
  • แฟนตาซี (161)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz