นายน้อยเจ้าสำราญ : คนบ้าแห่งต้าเฉิน - ตอนที่ 12 อาหารรสเลิศในแดนมนุษย์
ตอนที่ 12 อาหารรสเลิศในแดนมนุษย์
“หลงจู๊เถา” จูจ้งจี๋ลากน้ำเสียงยาวพลางชักสีหน้า เขามิพอใจมากยิ่งนัก
“ขอรับ… มิใช่ ! คือว่าคุณชายจูขอรับ ได้โปรดฟังข้าน้อยก่อน…”
“เอากลับไปเสีย คุณหนูสองคนนี้คือบุตรสาวของนายอำเภอจี้ ส่วนคุณหนูผู้นี้คือบุตรสาวของร้านยาตระกูลโจว คุณชายผู้นี้คือผู้ที่มีความสามารถมากยิ่งนัก เมื่อปีกลายเขาสอบได้เจี่ยหยวน วันพรุ่งนี้จะออกเดินทางไปยังเมืองหลวงฉางอันเพื่อเข้าร่วมการสอบระดับเมืองหลวง ส่วนท่านนี้คือคุณชายซูจากซูโจวผู้มั่งคั่ง”
“เขตเหลียงอี้ของเรา แม้ว่าจะยากจนไปสักหน่อย แต่คงมิยากจนถึงขนาดต้องนำเต้าหู้มาต้อนรับแขกนะ”
“ตระกูลจูของข้า ก็ใช่ว่าจะยากจนถึงกับมิมีเงินเลี้ยงแขกเสียหน่อย”
“…มิใช่นะขอรับ อาหารจานนี้”
“เอาเถิด ๆ ความหวังดีของเจ้า ข้ารับรู้แล้ว จงนำออกไปเถิด”
เถาสีรู้สึกเสียใจมากยิ่งนัก แต่ก็มิรู้จะทำเยี่ยงไรแล้ว
ในขณะที่เขากำลังจะยกอาหารจานนี้ออกไป ซูผิงอันก็ได้สูดหายใจเข้าพลางยื่นมือออกมาห้าม “ช้าก่อน ! ”
เขาพิจารณาดูอาหารจานนี้และรู้สึกว่าทั้งรูปร่างและกลิ่นรสครบถ้วน ทว่ามิมีควันลอยกรุ่นออกมา…ตามหลักการนั้น อาหารจานที่เพิ่งทำเสร็จใหม่ ๆ จะมีควันลอยกรุ่นมิใช่หรือ ?
กลิ่นจากอาหารจานนี้ลอยออกมาจาง ๆ ทว่าดูซับซ้อนครบรส เหมือนจะมีความหอมกรุ่นของซุปไก่ และมีความสดชื่นของซุปปลา เมื่อมองไปยังหน้าตาของอาหาร เต้าหู้ขาวสะอาดอวบอิ่ม การตกแต่งดูสง่างามมีลักษณะเฉพาะ ซึ่งคล้ายคลึงกับอาหารในซูโจวที่เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี
“ข้าขอชิมสักหน่อย”
เสแสร้ง !
จี้ซิงเอ๋อเหล่ตามองซูผิงอัน ความรู้สึกของนางที่มีต่อคุณชายผู้นี้มีเพียงหนึ่งเดียวซึ่งนั่นก็คือ…เสแสร้ง !
ก็แค่เต้าหู้มิใช่หรือ ? แม้ว่าจูจ้งจี๋จะเอ่ยมิน่าฟังสักเท่าใดนัก แต่นั่นก็มีเหตุผลและเป็นความจริง
นางมองดูท่าทางของคุณชายผู้นั้น เขาหยิบช้อนขึ้นมาตักเต้าหู้ ปรากฏว่ามีควันลอยออกมาจากจาน
เขานำช้อนมาจ่อไว้ใต้จมูกพลางสูดดมกลิ่นอาหารก่อนจะยัดใส่ปาก… ปากของเขาเผยอขึ้นเล็กน้อย ทว่าดวงตากลับเบิกกว้างขึ้นมาทันใด ผ่านไปชั่วครู่เขาถึงได้สูดลมหายใจเข้าดัง “ซี๊ด…” ใบหน้าขาวผ่องของเขาเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นสีแดง
“คุณชายระวังขอรับ มันร้อนมากยิ่งนัก ! ” เถาสีตื่นตกใจขึ้นมาทันใด เขาเอ่ยเตือนทว่าก็สายเกินไปแล้ว
ซูผิงอันนำช้อนที่ตักเต้าหู้ยัดเข้าไปในปากแล้ว บัดนี้ตัวเขาเองก็รู้แล้วว่ามันร้อนเป็นอย่างมาก ปากถูกลวกจนแทบจะหุบมิลง ให้ตายเถิดเหตุใดเจ้ามิบอกข้าให้เร็วกว่านี้กัน ?
มันน่าอึดอัดมากยิ่งนัก เขาคือคุณชายใหญ่แห่งตระกูลซูซึ่งจำต้องดูสง่างามอยู่เสมอ แม้แต่บัดนี้ที่ถูกเต้าหู้ลวกปากก็จำต้องวางท่าเอาไว้
เขาอดกลั้นเสียจนหน้าแดง ดวงตากลอกไปมามิหยุด น้ำตาเอ่อคลอบริเวณหัวตา ทว่าสำหรับผู้อื่นที่มองมานั้นดูเหมือนว่าเขาจะประทับใจเต้าหู้จานนี้จนแทบจะร้องไห้ออกมา
ก็แค่เต้าหู้มิใช่หรือ ?
มันอร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ ?
“รสชาติเป็นเยี่ยงไรบ้างขอรับ ? ” จูจ้งจี๋กลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่พลางเอ่ยถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น
“อืม อือ…” ซูผิงอันพยักหน้าถี่ ๆ บัดนี้ปุ่มรับรสของเขาแทบจะระเบิด เต้าหู้ที่ร้อนระอุเต็มไปด้วยรสชาติของไก่และปลา เมื่อกินเข้าไปแล้วความสดชื่นได้แผ่ซ่านอยู่ในปากของเขา มันยอดเยี่ยมยิ่งกว่าอาหารของซูโจวเสียอีก ปัญหาเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือ…มันร้อนจนเกินไป !
จูจ้งจี๋รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาหยิบช้อนขึ้นมาแล้วตักลงไป แต่ดูเหมือนว่าเขาจะลืมคำเตือนของเถาสีไปจนสิ้น ดังนั้นเขาจึงยัดเต้าหู้ใส่ปากทันที…
“โอ้…” เขาอ้าปากกว้างแล้วตะโกนออกมาเสียงดัง
“อร่อย ! ”
“อร่อยมากยิ่งนัก ! ”
“มา ๆ ๆ ทุกคนมาลองชิมกันเถิด แต่ระวังสักหน่อยเพราะมันร้อนมากเลยล่ะ ! ” ดูเหมือนว่าปากของจูจ้งจี๋จะทนความร้อนได้ดีกว่าปากของซูผิงอัน เขายืดลำคอขึ้นเพื่อกลืนเต้าหู้ลงไป
ความร้อนลวกตั้งแต่ปากลงไปถึงกระเพาะอาหาร เขารู้สึกว่ามันสดชื่นสะใจเสียเหลือเกิน
จี้ซิงเอ๋อรู้สึกประหลาดมากยิ่งนัก ก็แค่เต้าหู้มิใช่หรือเยี่ยงไร ? เหตุใดถึงทำท่าทางราวกับว่ามันอร่อยเสียจนคนกินได้ขึ้นสวรรค์ ?
ด้วยเหตุนี้ นางจึงหยิบช้อนที่วางอยู่ในจานของพี่สาวและของตนเองขึ้นมา
ส่วนโจวรั่วหลานและโหลวหย่งเหนียนก็รู้สึกประหลาดใจมิแพ้กัน พวกเขาต่างพากันหยิบช้อนที่วางอยู่ในจานของตนเองขึ้นมา
บัดนี้ซูผิงอันเพิ่งจะกลืนเต้าหู้ที่อยู่ในปากลงคอไป
“ยอดเยี่ยม รสเลิศมากยิ่งนัก ! อาหารจานนี้มีนามว่าเยี่ยงไร ? ”
เถาสีดีอกดีใจเสียยกใหญ่ เงินที่เขาเสียไปหนึ่งร้อยตำลึงคงมิสูญเปล่าแล้ว และคาดว่าอีกหนึ่งร้อยตำลึงก็คงจะมิสูญเปล่าเช่นกัน !
“คุณชายขอรับ อาหารจานนี้มีนามว่า…เต้าหู้ผิงเฉียว”
“เต้าหู้ผิงเฉียวเยี่ยงนั้นหรือ ผิงเฉียวอยู่ที่ใดกัน ? ”
“เอ่อ…คือ ข้าน้อยมิทราบเช่นกันขอรับ”
“พวกเจ้าจงดูอาหารจานนี้เถิด หากมองจากภายนอกดูเหมือนว่ามิมีความร้อนแต่อย่างใด ทว่าเมื่อตักขึ้นมากลับมีควันลอยกรุ่นออกมา ในด้านของรสชาติ…ยังคงรสชาติดั้งเดิมของเต้าหู้เอาไว้ ทว่ามันผสมผสานกับซุปไก่และซุปปลาได้เป็นอย่างดี เต้าหู้มีรสสัมผัสนุ่มลิ้น เมื่อได้ลิ้มลองราวกับตกอยู่ในฤดูใบไม้ผลิช่วงเดือนสาม…”
ซูผิงอันยกมือขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่จะเอ่ยออกมาอย่างเคร่งขรึมว่า “มันคือการผสมผสานของหญ้าสีเขียวชอุ่ม ลำธารที่ไหลริน และบุปผาหลากสีสัน ภายใต้สุริยาในฤดูใบไม้ผลิ เป็นรสชาติของธรรมชาติที่ชวนให้ผู้คนหลงใหล ! ”
…ก็แค่เต้าหู้มิใช่หรือ เหตุใดถึงเอ่ยราวกับว่าได้กลืนกินธรรมชาติเข้าไปด้วย !
จี้เยวี่ยเอ๋ออยากจะหัวเราะออกมา แต่นางก็มิกล้า
จี้ซิงเอ๋อหันไปมองซูผิงอัน เจ้าหมอนี่เสแสร้งได้เสมอต้นเสมอปลายจริง ๆ !
“เช่นนั้น…พวกข้าจะลองชิมรสชาติดุจธรรมชาตินี้ดูสักหน่อย”
จี้เยวี่ยเอ๋อรู้สึกประหลาดใจมากยิ่งนัก นางเป่าเต้าหู้และชิมเข้าไปคำเล็ก ไอหยา…รสชาติยอดเยี่ยมมากจริง ๆ !
แม้ว่านางจะสัมผัสถึงบรรยากาศที่ซูผิงอันพรรณนาเมื่อครู่มิได้ ทว่ารสชาติเช่นนี้ มันงดงามจนมิอาจหาคำมาบรรยายได้ รสชาติบางเบามิมันเลี่ยน ช่างถูกปากละมุนลิ้นมากยิ่งนัก
จี้เยวี่ยเอ๋อชื่นชอบเป็นอย่างมาก ดังนั้นนางจึงกินเข้าไปอีกคำใหญ่
เมื่อจี้ซิงเอ๋อเห็นเช่นนั้นก็รับรู้ได้ทันทีว่าย่อมรสเลิศเป็นแน่ เนื่องจากพี่สาวของนางมีความพิถีพิถันด้านอาหารการกินมากกว่าผู้ใด มองดูแล้วนางคงจะชื่นชอบมากยิ่งนัก
เป็นจริงดังนั้น หลังจากที่ทั้งสามคนได้ชิมเข้าไปแล้วก็เอ่ยปากชมมิหยุด
“เต้าหู้ผิงเฉียวถือเป็นอาหารเลิศรสในแดนมนุษย์ ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยมมากจริง ๆ ! เมื่ออาหารจานนี้ออกวางขายอย่างเต็มรูปแบบ ข้าเชื่อว่ากิจการของร้านต้านสุ่ยจะต้องรุ่งเรืองขึ้นอีกขั้นเป็นแน่ ! ” ซูผิงอันเอ่ยชมอย่างมิลังเล จากนั้นเขาก็กินเข้าไปอีกคำใหญ่พลางเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ท่านหลงจู๊ อาหารจานนี้ท่านได้แต่ใดมา ? ”
นั่นน่ะสิ ! แม้แต่แขกประจำของหอต้านสุ่ยเยี่ยงจูจ้งจี๋ก็เพิ่งเคยกินเป็นคราแรก ดังนั้นเขาจึงหันไปมองเถาสี
เถาสียกยิ้มออกมาอย่างเก้ ๆ กัง ๆ ใบหน้าของเขาดูมิเป็นธรรมชาติสักเท่าใดนัก
“เป็นอันใดไปกัน ? ข้ามิได้ต้องการสูตรอาหารของเจ้าสักหน่อย เพียงแค่อยากรู้ว่าสูตรของอาหารจานนี้เจ้าได้แต่ใดมา มันตอบยากเย็นถึงเพียงนี้เชียวหรือ ? ”
เมื่อจูจ้งจี๋เอ่ยออกมาเช่นนั้น เถาสีจึงทำได้เพียงตอบกลับไปว่า
“เอ่อคือ…เมื่อตอนที่พวกท่านเข้ามา ได้บังเอิญสวนทางกับสวีเสี่ยวเสียนใช่หรือไม่ขอรับ ? ”
เมื่อเขาเปิดหัวเรื่องขึ้นมาเช่นนี้ ทุกคนในห้องรับรองเซียนเค่อหลายต่างก็พากันแปลกใจและตกตะลึงขึ้นมาทันใด
จี้เยวี่ยเอ๋อรีบวางช้อนในมือของนางลงทันใด พลางเงยหน้ามองดูเถาสี
เต้าหู้ในปากของจี้ซิงเอ๋อยังมิทันจะได้เคี้ยว นางก็ตื่นตกใจจนเผลอกลืนมันลงไป รู้สึกแสบร้อนลำคอมากยิ่งนัก
โจวรั่วหลานก็เงยหน้าขึ้นมองเช่นกัน ส่วนโหลวหย่งเหนียนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
“ท่านหมายความว่า…อาหารชนิดนี้ สวีเสี่ยวเสียนเป็นคนคิดค้นขึ้นมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ” จูจ้งจี้เอ่ยถามอย่างมิอยากจะเชื่อ
เถาสีพยักหน้าแล้วตอบว่า “ข้าขอเอ่ยกับทุกท่านตามตรงว่า ก่อนที่พวกท่านจะเดินทางมาถึงที่นี่ สวีเสี่ยวเสียนได้ขายสูตรอาหารชนิดนี้แก่ข้าน้อย”
จูจ้งจี้เอนกายแล้วเอ่ยถามว่า “เจ้าบ้านั้น มิใช่ ! เต้าหู้ผิงเฉียวนี้ สวีเสี่ยวเสียนเป็นผู้คิดค้นวิธีการทำออกมาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
“เอ่อ…แท้ที่จริงข้าน้อยก็มิทราบเช่นกันว่าเขาได้มาจากที่ใด แต่คาดว่าเขาเป็นผู้คิดค้นขึ้นมาเอง”
ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก !
แต่ก็น่าประหลาดใจเสียจริง
“ท่านหย่งเนียน สวีเสี่ยวเสียน…ทำอาหารเป็นเยี่ยงนั้นหรือ ? ”
โหลวหย่งเหนียนส่ายหน้าพรืด “แต่ก่อนข้าวกล่องของเขาจะมีเพียงข้าวกับผักดองเท่านั้น มิเคยได้ยินว่าเขาทำอาหารด้วยตนเองมาก่อน”
“อืม…” จูจ้งจี๋พยักหน้า มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้น “บางทีเขาอาจจะไปขโมยสูตรมาจากที่ใดสักแห่ง”
จี้เยวี่ยเอ๋อขมวดคิ้วเข้าหากันแน่น แต่หลงจู๊เถากลับส่ายศีรษะแล้วเอ่ยว่า “แต่ข้าน้อยคิดว่าสวีเสี่ยวเสียนเป็นผู้คิดค้นอาหารจานนี้ขึ้นมาเองขอรับ”
“เหตุใดเจ้าถึงคิดเช่นนั้นกัน ? ”
“เนื่องจากว่า… เนื่องจากว่าสวีเสี่ยวเสียนขายสูตรอาหารให้กับข้าน้อยเพียงแค่ 2 อย่างเท่านั้น บัดนี้เมื่อข้าน้อยลองคิดตริตรองดูแล้ว คาดว่าเขายังมีสูตรอาหารอยู่ในมืออีกหลายอย่าง ! ”