ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family) - บทที่ 35 นิ่งเข้าไว้ 2
บทที่ 35 นิ่งเข้าไว้ 2
โรสลินค่อยๆเผยรอยยิ้มออกมา
“ข้าได้ยินว่าเจ้าเป็นเพียงขยะไร้ค่าแต่ข้าคิดว่านั่นคงเป็นเพียงเรื่องโกหก”
เป็นไปตามที่คาร์ลได้คาดไว้โรสลินหยุดใช้โทนเสียงที่นอบน้อมต่อเขาลงทันที แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะไม่รู้ว่าองค์หญิงแห่งอาณาจักรอื่นมีลักษณะอย่างไรแต่สำหรับขุนนางหรือคนชั้นสูงมันต่างออกไป
ขุนนางหรือชนชั้นสูงระดับล่างๆอาจจะพบว่ามันเป็นเรื่องยากที่จะหาข้อมูลเหล่านี้มาไว้ได้แต่ในระดับเช่นตระกูลเฮนิตัสการมีข้อมูลเกี่ยวกับขุนนางและราชวงศ์ของอาณาจักรที่ใกล้เคียงมันย่อมเป็นเพียงแค่ข้อมูลขั้นพื้นฐานที่จำเป็นต้องรู้ มันไม่ใช่เป็นเพียงแค่เรื่องสนุกและการได้เล่นเกมตลกๆหากต้องเป็นคนที่มาจากชนชั้นสูงหรือขุนนางจริงๆ
คาร์ลเอ่ยตอบคำถามของโรสลิน
“มันเป็นความจริงที่หม่อมฉันมีชื่อเสียงในการเป็นเพียงขยะไร้ค่าแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น…นักเวทย์ก็ควรใช้วิจารณญาณของพวกเขาผ่านประสาทสัมผัสทั้งห้าของตัวพวกเอง”
“เจ้าพูดถูกนายน้อยคาร์ล….พวกเราเชื่อเพียงสิ่งที่เกิดจากประสบการณ์ของพวกเราเท่านั้น”
คาร์ลคิดว่าการพูดของโรสลินเป็นสิ่งที่ค่อนข้างแปลก เธอพูดอย่างไม่เป็นทางการกับเขาในฐานะที่ตนเป็นองค์หญิงแต่เมื่อเธอพูดถึงตัวเองว่าเป็นส่วนหนึ่งของเหล่านักเวทย์เธอกลับเลือกใช้คำว่า ‘พวกเรา’ แทนที่จะเป็น ‘พวกข้า’มันดูเป็นทางการและให้เกียรติ เห็นได้ชัดว่าตัวตนของเธอในฐานะนักเวทย์คงจะมีความสำคัญต่อเธอเป็นอย่างมาก
“แต่องค์หญิง……”
“โรสลิน…..เรียกข้าว่าโรสลิน”
ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ค่อยชอบการถูกปฏิบัติตัวว่าเป็นองค์หญิง
“ตกลง…ถ้าเช่นนั้นโรสลิน..ท่านถามคำถามจบแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่…ข้าถามครบเรียบร้อยแล้ว”
เธอยกยิ้มอ่อนโยนมากกว่าเดิมเมื่อตอบคำถามนั้น
“นายน้อยคาร์ล….ดูเหมือนว่าเจ้าไม่ต้องการข้องเกี่ยวกับข้าสินะ?”
แม้ว่าเขาจะรู้ว่าเธอเป็นองค์หญิงแต่เขาก็บอกให้เธอพักอยู่ที่นี่ได้อย่างสบายใจและค่อยจากไปในเวลาต่อมาไม่ใช่ว่าเธอคิดว่ามันไม่สุภาพหรืออะไรแบบนั้นแต่ในทางกลับกันเธอยิ่งชื่นชอบมันหากเธอต้องการต้อนรับและการดูแลเป็นพิเศษจากเขาจริงๆเธอคงเปิดเผยชื่อเต็มและตัวตนที่แท้จริงของเธอออกไปแล้ว
เธอไม่ต้องการที่จะได้รับการปฏิบัติเช่นนั้น นอกจากนี้เธอยังรู้สึกขอบคุณคาร์ลที่บอกเรื่องที่เกิดขึ้นกับล็อกให้ฟังอีกด้วย
“เป็นเช่นนั้นรึ? ข้าเพียงแค่ทำมันลงไปแบบนั้น..ตั้งแต่ที่เห็นว่าองค์หญิงชื่นชอบวิธีเช่นนี้ต่างหากล่ะขอรับ”
‘….โกหก…’
โรสลินถือว่าคำพูดของคาร์ลเป็นคำแก้ตัวที่ดี
มนุษย์ที่เดินทางร่วมกับมังกรเขาเป็นที่รู้จักจากสังคมในฐานะขยะไร้ค่าแต่มันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้นจริงๆ เขาสามารถเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงของเธอได้อย่างง่ายดายหากว่าเขาอยากจะทำมัน
เธอรู้สึกขอบคุณคาร์ลผู้ที่มักมีรอยยิ้มราวกับว่าเขาไม่รู้สิ่งใดๆเลย
“ดูเหมือนว่าเจ้าจะยังไม่ได้แจ้งข่าวเรื่องนี้ไปยังพระราชวังโรมันสินะ…ขอบคุณเจ้ามากจริงๆ”
“ไม่เป็นไร…เรื่องพวกนี้ควรขึ้นอยู่กับความต้องการของคนที่เกี่ยวข้องโดยตรงมากกว่าขอรับ”
คาร์ลคิดว่าองค์ชายรัชทายาทจะต้องเสด็จมาพำนักที่บ้านของเขาทันทีหากเขาแจ้งเรื่องนี้ไปยังวังหลวง
“เจ้าพูดถูกนายน้อยคาร์ล…ข้าไม่ต้องการที่จะเปิดเผยตัวเอง…และถ้าสิ่งนี้จะทำให้เจ้าเป็นปัญหาในอนาคตโปรดแจ้งให้พวกเขาทราบว่านี่คือความต้องการของข้าที่ไม่ให้เจ้าบอกเรื่องนี้เองแล้วข้าจะส่งสาส์นไปเล่าเรื่องราวของเจ้าให้พวกเขาทราบอีกด้วย”
“ข้าเข้าใจแล้ว…”
“ขอบคุณที่ให้ข้าพักอยู่ที่นี่…ข้าจะจัดการธุระของข้าและไม่ทำให้เจ้าลำบากเลย”
‘ไม่ทำให้ฉันลำบากเลย’
คาร์ลรู้สึกขอบคุณโรสลินที่กล่าวประโยคที่เขาต้องการได้ยินมากที่สุดออกมา
“ขอบคุณมากขอรับ”
“ไม่เป็นไร…เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้าด้วยซ้ำ”
โรสลินเอ่ยปฏิเสธคำขอบคุณจากคาร์ลทันทีก่อนจะลงมือทานอาหารต่อ ในตอนนี้คาร์ลและโรสลินไม่ต้องการที่จะพูดอะไรออกมาอีก โรสลินเพียงแค่ลอบมองไปที่มังกรอยู่บ่อยครั้งในฐานะนักเวทย์เธอไม่สามารถควบคุมตัวเองไว้ได้เลย เธอยังคงมุ่งมั่นที่จะจ้องไปที่มังกรอย่างต่อเนื่อง
มังกรหยุดกินไส้กรอกที่แต่เดิมเป็นของคาร์ลก่อนจะหันมามองโรสลินหลังจากที่แกล้งทำเป็นไม่สนใจกับสายตาของเธอที่แอบมองมาที่มันอยู่บ่อยครั้งจนในที่สุดมันก็เริ่มพูด
“กินอาหารของเจ้าไปสิ นี่มันของข้านะ”
มังกรดำดึงจานไส้กรอกไปใกล้ตัวมันมากขึ้น คาร์ลได้เลือกวางอาหารลงบนจานของมังกรเป็นจำนวนมากและหลากหลาย มังกรดำติดใจกับรสชาติของสเต็กที่ต่างจากการกินเนื้อดิบเช่นเดียวกับที่ติดใจกับรสชาติของอาหารต่างๆที่อยู่บนโต๊ะ
โรสลินเงยหน้ามองคาร์ลและเห็นว่าคาร์ลลอบวางนิ้วมือสี่นิ้วโดยที่มังกรไม่ทันได้สังเกตเห็น ‘อายุ4ขวบ’โรสลินยิ้มเมื่อเข้าใจในความหมายที่คาร์ลพยายามสื่อก่อนจะเอ่ยตอบมังกร
“ใช่แล้วท่านมังกร…ข้าไม่กล้าที่จะกินอาหารของท่านหรอก”
มังกรเริ่มกินอาหารของมันอีกครั้งและโรสลินกับคาร์ลก็ยังคงรับประทานอาหารของพวกเขาต่อไปเช่นกันมันเป็นการทานอาหารที่มีแต่ความผ่อนคลายและเงียบสงบ
หลังจากจบเรื่องแล้ว คาร์ลก็ขึ้นรถม้าเพื่อไปพบปะกับขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือโดยทันที ขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือประกอบด้วยตระกูลขุนนางเพียง 10 ตระกูลเท่านั้น มันอาจจะมีมากกว่านี้หากนับรวมขุนนางระดับบารอนและระดับที่ต่ำกว่าบารอนลงไปอีกแต่ขุนนางของภาคตะวันออกเฉียงเหนือกลับยึดเพียงแค่ 10 ตระกูลนี้เป็นหลักเท่านั้นและ 3 ใน 10 จากตระกูลของขุนนางเหล่านี้คือกลุ่มคนที่คาร์ลต้องเดินทางมาพบในวันนี้แล้วซึ่งทั้ง 3 ตระกูลนับว่าเป็นพันธมิตรกับตระกูลเฮนิตัสมาเป็นเวลานาน
“นี่มันอยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกซินะ?” [1]
นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คาร์ลรู้สึกกังวล
เชวฮันที่ได้ติดตามคาร์ลมาในฐานะองครักษ์เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่คาร์ลได้เอ่ยถามขึ้นอย่างรอบคอบมากกว่าเดิม
“มีอะไรหรือขอรับ?….ถ้าหากกระผมสามารถทำอะไรเพื่อช่วยท่านคาร์ลได้โปรดแจ้งให้กระผมทราบทันที”
“ไม่มีอะไร…เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้”
คาร์ลเอ่ยตอบห้วนๆก่อนที่จะเริ่มคิดอย่างเคร่งเครียดอีกครั้ง เชวฮันสังเกตเห็นท่าทางเช่นนั้นของคาร์ลก็เริ่มรู้สึกเป็นกังวลเช่นกัน นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคาร์ลมีอาการกังวลเช่นนี้
คาร์ลไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี? เขาจะต้องทำตัวไร้มารยาทและสร้างความวุ่นวายเหมือนกับขยะไร้ค่าเช่นนั้นจริงๆหรือ?
คาร์ลได้เข้าใจอย่างแท้จริงหลังจากที่ต้องมีชีวิตที่ผูกติดอยู่กับภาระขนาดใหญ่เช่นเชวฮันและมังกรดำว่าเขากำลังตกอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับการที่จะเลือกใช้ชีวิตเป็นขยะไร้ค่าแบบไหนดี
ขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือคงได้เห็นพฤติกรรมของขยะไร้ค่าเช่นคาร์ลเมื่อครั้งในอดีตกันมาบ้างแล้วอีกทั้งพวกเขายังได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำที่แสนโง่เขลาและไร้ค่าของคาร์ลจากดินแดนเฮนิตัสเช่นกันนั่นเป็นเหตุผลที่เขาต้องระมัดระวังให้มากขึ้น…ไม่สิ…เขาต้องไร้มารยาทและสร้างความวุ่นวายให้มากขึ้นต่างหาก
“อืม…”
คาร์ลก้มลงมองมือทั้งสองข้างของตนช้าๆ ต้องแกล้งทำตัวเป็นไอ้ลูกนอกคอกเข้าไว้? นั่นอาจเป็นวิธีที่ดูเหมือนจะสกปรกไร้ค่ายิ่งกว่าขยะทั้งหมดรวมกันเสียอีก ขณะที่คาร์ลกำลังคิดถึงสิ่งที่สามารถแสดงให้มันดูเลวร้ายได้อย่างสมจริงอยู่นั้น รถม้าก็หยุดลงที่หน้าบ้านหลังหนึ่ง เนื่องจากเหล่าขุนนางทั้งหมดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีบ้านพักอาศัยในพื้นที่เดียวกันในเขตเมืองหลวงทำให้มีระยะทางไม่ไกลกันมากนัก
“ยินดีต้อนรับนายน้อยคาร์ลขอรับ”
คาร์ลสังเกตเห็นพ่อบ้านวัยชราที่ยืนทักทายเขาอยู่หน้ารั้วก่อนจะมองไปยังตัวบ้านที่อยู่ด้านหลังของพ่อบ้านชราคนนี้
นี่คือบ้านพักของท่านเคานต์วิลส์แมน โดยอาณาเขตการปกครองของท่านเคานต์วิลส์แมนตั้งอยู่ปากทางเข้าสู่เขตพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเขาก็ไม่ได้มีอำนาจที่แข็งแกร่งและร่ำรวยมากนัก เนื่องจากเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนือไม่มีขุนนางในตำแหน่งดยุคหรือมาร์คควิสปกครองนั่นจึงเป็นเหตุผลที่เขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับท่านเคานต์เฮนิตัสในเขตพื้นที่นี้ได้ ท่านเคาน์เฮนิตัสชอบในมิตรภาพเช่นนี้เขาชื่นชอบคนที่เหมือนตัวเองคนที่มีเขตการปกครองที่อยู่ไกลออกไปเป็นเพียงพื้นที่ที่เป็นปากทางเข้าสู่พื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเป็นคนที่รู้ว่าใครที่ใกล้ชิดกับเมืองหลวงแล้วเป็นประโยชน์ต่อตนเองได้
คาร์ลนึกถึงทายาทผู้สืบทอดตระกูลของท่านเคานต์วิลส์แมน
‘อีริค วิลส์แมน’
รองหัวหน้าพ่อบ้านฮันส์ได้ให้คำแนะนำแก่คาร์ลอย่างรอบคอบก่อนที่เขาจะเดินทางมาประชุมพบปะกับพวกเขาในครั้งนี้
‘นายน้อย..มันเป็นเรื่องที่ดีที่นายน้อยมีความสัมพันธ์ที่ดีกับนายน้อยอีริค..แต่สิ่งที่กระผมอยากเรียนถามก็คือนายน้อยคิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ฉลาดกว่าไหมหากจะไม่ทำตัวที่สนิทสนมกับนายน้อยอีริคต่อหน้าขุนนางคนอื่นๆในที่ประชุม’
นั่นทำให้คาร์ลรู้ว่าอีริคและเจ้าของร่างเดิมนี้สนิทสนมกันพอควร อย่างไรก็ตามข้อมูลส่วนตัวของอีริคจากที่เขาได้รับรายงานมาบอกว่าเขาเป็นคนที่ดีที่มีความเคร่งขรึมเล็กน้อย
“นายน้อยคาร์ล..กระผมขอเชิญท่านเข้าไปด้านในได้หรือไม่ขอรับ?”
“ได้สิ”
คาร์ลเดินตามพ่อบ้านวัยชราคนนี้เข้าไปในที่พักของตระกูลวิลส์แมนทันที
อีริค วิลส์แมน กิลเบิร์ต เชตเตอร์และอาร์มู อัลบา ทั้งสามคนคือคนที่รอการมาถึงของคาร์ลภายในบ้านหลังนี้ คาร์ลยังคงคิดถึงวิธีที่เขาควรจะทำต่อหน้าพวกเขาแม้แต่ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปข้างใน
และท้ายที่สุดเขาก็ไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องดังกล่าวเลย
“คาร์ล…อย่างน้อยเจ้าก็ยังเชื่อฟังพี่ชายคนนี้อยู่ใช่หรือไม่?”
คาร์ลมองไปที่อีริคด้วยใบหน้าที่มีความสับสนมึนงง อีริค วิลส์แมนดันแว่นตาของเขาขึ้นหลังจากเห็นสีหน้าเช่นนั้นของคาร์ล ตอนนี้คาร์ลนั่งอยู่ที่โต๊ะโดยมีขุนนางทั้งสามล้อมรอบเขาเอาไว้เหมือนกับว่าเขากำลังจะถูกสัมภาษณ์
‘นี่มันแปลกมาก’
แต่บรรยากาศที่ปรากฏโดยรอบกลับทำให้เขารู้สึกว่า..พวกเขาทั้งสามกำลังปลอบโยนตัวเขามากกว่าที่จะดำเนินการสัมภาษณ์อะไรเขาออกมา ก่อนที่อีริค วิลส์แมนจะเริ่มพูดต่อ
“มันจะไม่น่ารำคาญสำหรับเจ้าด้วยใช่หรือไม่?”
ก่อนที่บุตรสาวของนายอำเภอ ‘อามูร์ อัลบา’ และบุตรชายของบารอน ‘กิลเบิร์ต เชตเตอร์’จะโผล่เข้าร่วมวงสนทนาด้วยเช่นกัน
“เขาพูดถูก..นายน้อยคาร์ล…ข้าได้ยินมาว่าท่านไม่ชอบพิธีการที่น่ารำคาญ”
“นายน้อยคาร์ล..มันไม่ใช่เรื่องผิดที่เห็นว่าบางสิ่งบางอย่างมันน่ารำคาญ”
มันเป็นความรู้สึกเหมือนกับว่าพวกเขาพยายามปลอบโยนเด็กเล็กๆอยู่ก่อนที่คาร์ลจะได้เอ่ยออกมาเป็นครั้งแรก
“ใช่มันน่ารำคาญมาก!”
“ข้ารู้!นั่นแหละคือเหตุผล!”
ก๊อก! ก๊อก!
อีริคเคาะนิ้วของเขาลงบนโต๊ะเบาๆมันไม่ได้ดูเหมือนว่าเขากำลังโกรธแต่เหมือนเป็นการเคลื่อนไหวโดยอัตโนมัติของร่างกายมากกว่า
เขาหันมองไปยังคาร์ลผู้ที่เคยเป็นเพียงเด็กน้อยน่ารักก่อนที่จะโตขึ้นมาเป็นเพียงขยะไร้ค่าของตระกูลและเริ่มพูดต่อจากเมื่อครู่โดยทันที
“นั่นแหละคือเหตุผล..ที่เจ้าไม่จำเป็นต้องพูดหรือทำอะไรออกมา..เพียงแค่นิ่ง! อยู่นิ่งๆเข้าไว้และเราจะจัดการดูแลทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้าเอง…ต่อให้เจ้าเจ้าจะเกลียดสิ่งที่มันน่ารำคาญและพิธีการพวกนั้นก็ตาม…แต่เจ้าก็ต้องนิ่งเข้าไว้”
คาร์ลตอบกลับด้วยท่าทางที่อึ้งไปเล็กน้อย
“ข้าเก่งเรื่องการทำตัวนิ่งๆอยู่แล้ว”
“ห๊ะ? เจ้านี่รึ? อ่า…..ใช่…ใช่แล้วเจ้าเก่ง….เจ้าเก่งในเรื่องนั้น”
อีริครับรู้ได้ถึงความเครียดและกังวลของตัวเองแต่เขาเป็นคนประเภทที่ขี้กังวลในทุกๆเรื่องแต่นั่นเป็นเพราะเขาชอบที่จะคิดถึงทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่มันจะเกิดขึ้นจริง เขาเริ่มคิดที่จะพูดคุยกับคาร์ลคนที่ทำให้เขาเกิดความกังวลที่ถือได้ว่ามากที่สุดในชีวิตของเขาเมื่อแน่ใจว่าคนที่เดินทางมาถึงเมืองหลวงเมื่อวานนี้คือคาร์ล จริงๆและในตอนนี้ยังมีอีกสองคนที่มองไปยังอีริคราวกับกำลังส่งแรงใจไปให้เขาอยู่
“ขุนนางคนอื่นๆในภาคตะวันออกเฉียงเหนืออาจจะพยายามเข้ามารบกวนเจ้า อาจจะเป็นคนที่เกี่ยวข้องกับมาร์คควิสสแตนหรือคนของดยุคคนอื่นๆก็อาจจะพยายามทำเช่นนั้นเหมือนกัน…แต่สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คืออยู่นิ่งๆและเราจะดูแลทุกสิ่งทุกอย่างสำหรับเจ้าเอง เจ้าคิดว่าอย่างไร?”
นี่คือสิ่งที่อีริคเป็นห่วงที่สุด จากตระกูลขุนนางที่เป็นเสาหลักของภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้ง 10 ตระกูลมีเพียง 4 ตระกูลเท่านั้นที่ไม่ขึ้นตรงกับใคร ขุนนางคนอื่นๆที่ขึ้นตรงต่อขุนนางชั้นสูงที่อยู่นอกพื้นที่ต้องการให้กลุ่มขุนนางทั่วทั้งภาคตะวันออกเฉียงเหนือขึ้นตรงกับขุนนางชั้นสูงที่อยู่ในสายเดียวกับพวกเขา นั่นทำให้พวกเขาต้องระมัดระวังและรอบคอบมากขึ้น ทั้ง4ตระกูลเป็นกลุ่มขุนนางที่วางตัวเป็นกลางซึ่งนั่นคือวิธีที่พวกเขาได้กลายเป็นกลุ่มขุนนางที่แข่งแกร่งที่สุดของภาคตะวันออกเฉียงเหนือและเพื่อที่จะเป็นเช่นนั้นได้ต่อไป…ตระกูลเฮนิตัสที่มั่งคั่งเช่นนี้จึงไม่สมควรที่จะก่อเรื่องร้ายแรงให้เกิดขึ้นในเมืองหลวงได้
อีริคและอีกสองคนยังคงเงียบเพื่อรอฟังคำตอบจากคาร์ล
“นั่นมัน..เป็นเรื่องที่ดีมาก”
คาร์ลมีรอยยิ้มอ่อนโยนบนใบหน้าของเขาเพื่อยืนยันในสิ่งที่เขาพูดออกไป อีริคคิดว่าคาร์ลยังคงเป็นเด็กที่ดีเช่นเดียวกับในอดีตตราบใดที่เขายังไม่ได้ดื่มเหล้า ก่อนที่จะเริ่มพูดต่อ
“พวกเรามีแผนที่จะไปถวายความเคารพต่อองค์ชายรัชทายาทด้วยกัน….ข้าแน่ใจว่ามันจะสร้างความรำคาญให้แก่เจ้าจนอยากใช้สิทธิ์ในการดื่มเหล้าขึ้นมาแต่นั่นก็เป็นเรื่องที่ทำได้ยาก…ตราบเท่าที่เจ้าสามารถถวายความเคารพเพียงแค่ช่วงเริ่มต้นได้เท่านั้น….ที่เหลือพวกเราจะจัดการเอง!”
‘โอ้…’
คาร์ลเริ่มยิ้มเยาะในใจ เขาพบว่าบรรยากาศในตอนนี้ค่อนข้างน่าสนใจ คาร์ลหยิบแก้วไวน์ที่อยู่ตรงหน้าเขามาถือไว้ก่อนที่จะทันเห็นว่ากิลเบิร์ตสะดุ้งเมื่อเห็นว่าเขาทำอะไร
คาร์ลคิดว่านี่เป็นเรื่องที่แปลกดีก่อนหน้านี้เขายังคิดที่จะทำตัวเป็นเพียงขยะไร้ค่าเจ้าปัญหาอยู่เลยแต่พอพวกเขาอยู่ข้างเดียวกับตนเองก็เริ่มเปลี่ยนใจเพราะสิ่งที่พวกเขาต้องการที่จะทำมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้นคือการปกป้องตัวคาร์ลนั่นเอง ริมฝีปากของคาร์ลเปียกชื้นด้วยไวน์และพูดออกมา
“มันยอดเยี่ยมมาก”
“ใช่มั้ยล่ะ!”
อีริคมีรอยยิ้มที่สดใสประดับบนใบหน้าพร้อมๆกับแว่นตาที่สะท้อนเข้ากับแสงไฟจากคบเพลิงที่ติดตั้งอยู่บนโคมไฟระย้า
คาร์ลตัดสินใจที่จะรับข้อเสนอจากทั้งสามขุนนางจากการที่ไม่ต้องลงมือทำอะไรมากนักก็ได้รับการคุ้มครองเช่นนี้ เขาชอบแผนนี้เป็นอย่างมาก
“สิ่งที่เจ้าต้องทำก็คือปรากฏตัว นั่งลงและผ่อนคลาย”
“เยี่ยม…มันฟังดูสมบูรณ์แบบมาก”
มันเป็นข้อเสนอที่ยอดเยี่ยมเป็นประเภทที่เขาชอบยิ่งนัก เขาเริ่มกินอาหารที่อยู่ต่อหน้าเขาด้วยความผ่อนคลายและคิดว่าเป็นเรื่องที่ดีที่เขาได้มาในวันนี้ อย่างไรก็ตามอีริค กิลเบิร์ตและอามูร์ไม่ยอมลดการระวังภัยของพวกเขาลง คาร์ล เฮนิตัสเป็นคนที่มีชื่อเสียงในเรื่องการเขวี้ยงปาขวดเหล้ากลางที่ประชุมของขุนนางภาคตะวันออกเฉียงเหนือเมื่อบรรยากาศในที่ประชุมกำลังดำเนินไปได้ด้วยดี
พวกเขาจะต้องรอบคอบเป็นพิเศษเพราะพวกเขามาอยู่ที่นี่เพื่อโน้มน้าวให้องค์ชายรัชทายาทได้ลงทุนในเขตชายฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งตระกูลของกิลเบิร์ตและอามูร์คือผู้รับผิดชอบพื้นที่ในเขตนั้น
“ไวน์จากดินแดนเฮนิตัสช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”
แน่นอนว่าคาร์ลรู้เกี่ยวกับความต้องการของทั้ง 2 ตระกูลกับการลงทุนขององค์ชายรัชทายาทจากข้อมูลที่ฮันส์ได้มอบให้เขา ทั้ง 4 ตระกูลแบ่งปันข้อมูลให้แก่กันโดยไม่มีความลับใดๆอย่างไรก็ตามคาร์ลรู้ว่าการลงทุนจากองค์ชายรัชทายาทจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้
‘เขาจะสามารถลงทุนได้อย่างไรเมื่อสงครามกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆนี้และมันจะเริ่มต้นจากทางตอนใต้ของทวีปตะวันตก มันมีโอกาสที่จะเกิดความขัดแย้งได้แม้ว่ามันจะเป็นกองทัพทางเรือก็ตาม’
พวกเขาทั้งสี่คนเริ่มสนทนากันเป็นระยะๆในขณะที่พวกเขายังคงทานอาหารกันอยู่ สามขุนนางเริ่มมีอาการที่ผ่อนคลายลงเมื่อเห็นว่าคาร์ลสามารถทานอาหารได้เรื่อยๆโดยไม่มีทีท่าว่าจะก่อให้เกิดอุบัติเหตุใดๆขึ้นเลย
พวกเขาทั้งหมดต่างพึงพอใจกับการประชุมพบปะในครั้งนี้
************************************************************************************
คาร์ลพักผ่อนได้สักพักเมื่อกลับมาถึงบ้านของตน ก่อนที่จะได้ยินว่าเชวฮันกลับมาถึงแล้วทำให้คาร์ลเรียกเชวฮันขึ้นมาพบเขาที่ห้องทันที
“ท่านคาร์ล…เรียกพบกระผมหรือขอรับ?”
“ที่โรงแรมเป็นอย่างไร?”
“เรียบร้อยดีขอรับ…ต้องขอบคุณที่เด็กๆมีพละกำลังที่แข็งแกร่งมาก”
คาร์ลรู้สึกว่าตนหน้าซีดลงเมื่อนึกถึงเด็กๆจากเผ่าหมาป่าสีน้ำเงินที่มีพละกำลังที่แข็งแกร่งเช่นนั้นแต่ในทางกลับกันเชวฮันเหมือนจะดูผ่อนคลายและมีความสุขมากขึ้น
“มีเรื่องที่จะให้กระผมทำใช่หรือไม่ขอรับ?”
“ใช่!”
คาร์ลพยักศีรษะลงก่อนที่จะลุกขึ้นยืน ทำให้เชวฮันได้เห็นว่าในตอนนี้คาร์ลไม่ได้ใส่ชุดนอนหรือชุดปกติที่เขาชอบใส่แต่เขากำลังใส่ชุดลำลองที่มันดูสบายมากๆ
คาร์ลเดินกลับไปที่เตียงนอนของเขาก่อนจะเริ่มพูด
“ข้าจะนอนลงบนเตียงนี้แล้ว..ดังนั้นเจ้าไปบอกฮันส์ว่าให้หยุดยืนหน้าประตูห้องของข้าเสียทีและจงกลับไปนอนได้แล้ว..ที่สำคัญเขาจะต้องเดินจากไปโดยไม่หันกลับมาบอกข้างหลังอีก”
เชวฮันมองออกไปนอกหน้าต่างที่เปิดโล่งมันเป็นค่ำคืนที่ฟ้ากระจ่างใสก่อนที่จะเอ่ยถามคาร์ลขึ้นมา
“ท่านจะออกไปข้างนอกหรือ?”
“ใช่”
คาร์ลยิ้มเมื่อตอบคำถามนั้น
“ข้าจะออกไปทางระเบียงห้องเหมือนเดิม..ดังนั้นเจ้าจงมาที่ห้องของข้า”
“กระผมเข้าใจแล้ว”
แววตาของเชวฮันเริ่มเปลี่ยนไปเขาจำได้ว่าคาร์ลจะเล่าให้เขาฟังในวันหลัง คาร์ลได้เอ่ยว่าจะบอกกับตนถึงวิธีที่จะสามารถหานักเวทย์ที่ดื่มเลือดคนนั้นเจอได้อย่างไร
“จะมีแค่เราสองคนโดยไม่มีออนกับฮงไปด้วยหรือขอรับ?”
เชวฮันเอ่ยถามด้วยท่าทางที่เคร่งเครียดขึ้นแต่กลับได้ยินคำตอบที่ดังมาจากที่อื่น
“ข้าจะไปด้วย”
มังกรดำคลายเวทย์ล่องหนออกและเดินผ่านระเบียงเข้ามาในห้อง เชวฮันมองไปที่มังกรดำและหันกลับมามองคาร์ลอีกครั้ง ก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยตอบด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายมากขึ้นกว่าที่เคย
“มีพวกเราทั้งสามที่จะได้ไปกัน”
[1] กลืนไม่เข้าคายไม่ออก หมายถึง การตกอยู่ในสถานการณ์ที่ทำให้ลำบากใจ ตัดสินใจลำบาก ไม่รู้จะทำอย่างไร เพราะไม่ว่าจะตัดสินใจอย่างไรก็มีผลเสีย ผลกระทบทั้งคู่