ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family) - บทที่ 33 เจ้า 8
บทที่ 33 เจ้า 8
ไม่มีใครรู้สึกแปลกใจเมื่อคาร์ลต้องการจะออกไปข้างนอก รอนดูเหมือนจะออกไปที่ไหนไหนสักแห่งเพราะเขาไม่เจอตัวรอน มีเพียงคำถามเดียวที่ฮันส์เอ่ยถามเขาเกี่ยวกับที่ที่เขาจะเดินทางไป
‘นายน้อย..จะออกไปที่ใดหรือขอรับ?’
‘เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงในเรื่องนี้’
‘…ได้ขอรับ..แต่นายน้อยเพิ่งเดินทางมาถึงเมืองหลวงเป็นวันแรกนายน้อยคงไม่ประเดิมการออกไปข้างนอกด้วยการเขวี้ยงขวดเหล้าเล่นหรอกนะขอรับ?’
‘…..นี่เจ้าอยากจะเป็นคนที่หยาบคายเช่นนี้ใช่หรือไม่?’
‘เอ่อ.ไม่..ไม่เลย….เดินทางปลอดภัยนะขอรับนายน้อย’
คาร์ลเข้าไปในรถม้าและเริ่มคิดถึงวิธีการจัดการกับฮันส์ผู้ที่ยังคงรักษาความหยาบคายของตนไว้ได้อย่างสม่ำเสมอ ก่อนที่รถม้าจะวิ่งมาถึงวิหารในตอนที่คาร์ลยังคิดถึงเรื่องนี้อยู่
“ออกไปกันได้แล้ว”
“…อืม”
คาร์ลก้าวออกจากรถม้าทันทีโดยมีเชวฮันที่เดินตามเขามาอย่างเงียบๆตั้งแต่ก้าวออกจากมาจากรถม้า..ไม่สิ..เขาเงียบตั้งแต่อยู่ในรถม้าแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะกำลังมีความคิดที่สับสนราวกับพายุที่พัดกระหน่ำอยู่ในหัวของเขาในตอนนี้
คาร์ลรู้จักกับตัวตนของเชวฮันเพียงแค่อ่านในนิยายเรื่อง’กำเนิดวีรบุรุษ’จนกระทั่งถึงเล่มที่ 5เท่านั้นแต่ถึงจะเป็นเช่นนั้นเขาก็มั่นใจว่า…ถึงแม้เชวฮันจะเป็นคนดีแต่เขาก็ไม่ได้ไว้ใจใครง่ายๆและยังเป็นคนที่ฉลาดมากอีกด้วย
‘ถ้าฉันพยายามแก้ตัวและพูดให้เขาเชื่อเขาก็อาจจะเชื่อแค่ในตอนแรก…และแน่นอนว่าเขาจะต้องสงสัยในตัวฉันในภายหลัง’
เชวฮันอาจจะรู้สึกอ้างว้างหลังจากที่ต้องอยู่เพียงลำพังเป็นเวลาถึงสิบปีแต่ประสบการณ์นั้นได้สอนให้เขาสามารถอยู่รอดได้ด้วยตัวเองและวิธีการยืนหยัดด้วยความอดทน
ในตอนนี้เชวฮันอาจจะมองเขาในแง่ดีและเชื่อฟังคำสั่งของเขาแต่เชวฮันในนิยาย ‘กำเนิดวีรบุรุษ’เล่มที่ 5 เขาได้กลายเป็นคนที่มีความต้องการจะเป็นผู้นำ…เชวฮันคือคนที่จะมีชีวิตอยู่ด้วยอุดมการณ์ที่ว่าความยุติธรรมจะต้องมีอยู่จริงในโลกใบนี้
“….โอ้…นี่มันขาวเกินไป”
วิหารของพระเจ้าแห่งความตายที่คาร์ลเห็นเมื่อก้าวลงมาจากรถม้า มันเป็นสีขาวล้วนสะอาดตาไม่มีสิ่งสกปรกใดๆที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า บรรดาผู้ศรัทธาพระเจ้าแห่งความตายถือว่าสีขาวเป็นสีแห่งความตายและได้ทำความสะอาดปัดกวาดเช็ดถูบริเวณวิหารทุกๆวันเพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีฝุ่นละอองสกปรกตกกระทบกับตัววิหารได้
‘เป็นสถานที่ที่น่าสนใจอะไรเช่นนี้’
วิหารของพระเจ้าแห่งความตายดูเหมือนจะต้องการแสดงให้ชาวเมืองได้เห็นว่าไม่มีอะไรที่จะต้องกลัวในค่ำคืนที่มืดมิดหากพวกเขาต้องการมาเยี่ยมเยือน นักบวชได้เปิดวิหารให้กับทั้งผู้ที่ศรัทธาและผู้ที่ไม่ศรัทธาก่อนพระอาทิตย์ขึ้นเท่านั้น
‘นักบวชทั้งหมดจะนอนหลับพักผ่อนหากท่านมาหาในเวลากลางวัน’
นับว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจในความคิดของคาร์ล พวกเขาทั้งสองได้รับการต้อนรับจากนักบวช 2 รูปจากทางเข้าวิหาร
“ขอให้ท่านจงมีความสุขกับการพักผ่อนที่เงียบสงบด้วยเถิด!”
“ขอให้ท่านจงมีความสุขกับการพักผ่อนที่เงียบสงบด้วยเถิด!”
นักบวชจากวิหารของพระเจ้าแห่งความตายมักมีคำพูดที่เหลวไหลเกินจริงถึงแม้ว่าผู้คนส่วนใหญ่จะคิดว่าความตายคือจุดสิ้นสุดของชีวิตแต่..คำสอนของพระเจ้าแห่งความตายกลับเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่สุดคือการมีความสุขและสนุกไปกับชีวิตเมื่อเราได้เดินทางมุ่งสู่การพักผ่อนที่เงียบสงบในชีวิตของเราแล้ว
“ท่านนักบวช…” คาร์ลเดินเข้าไปใกล้นักบวชอย่างช้าๆนักบวชได้ลอบสำรวจคาร์ลด้วยความแปลกใจดูจากการแต่งกายของชายคนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นชนชั้นสูงหรืออาจจะเป็นพ่อค้าที่ร่ำรวย แต่ผู้ชายที่ยืนอยู่ด้านหลังของเขาดูเหมือนจะเป็นขอทานแม้ว่าดาบที่เหน็บอยู่บนเอวของเขาจะทำให้เขาดูแข็งแกร่งขึ้นก็ตาม
“ท่านมีอะไรให้ข้าช่วยรึ?”
“ที่นี่มีห้องแห่งความตายหรือไม่?”
นักบวชทั้งสองต่างชะงักไปชั่วครู่ก่อนที่นักบวชหนึ่งรูปจะมองไปที่คาร์ลและเชวฮันสลับไปมาและหยุดจ้องไปที่เชวฮันพลางเอ่ยขึ้น
“ท่านอาจตายได้หากได้ใช้มัน….”
นักบวชรูปนี้ยังคงจ้องไปที่เชวฮันอย่างไม่ละสายตาอย่างที่เขาได้เอ่ยถามไปดูเหมือนว่าชายคนนี้จะไปล้มกลิ้งบนภูเขาที่ไหนสักแห่งและไหนจะท่าทางที่ดูทุกข์ทรมานเป็นระยะๆนั่นอีก เขายังดูเหมือนจะยังไม่ได้ทานอะไรมาเป็นเวลาสองวันและยังดูเหมือนจะเป็นคนที่ถูกหลอกได้ง่ายอีกด้วย เมื่อคิดได้เช่นนี้นักบวชก็รู้สึกขมขื่นเล็กน้อย นักบวชละสายตาจากชายที่ดูเหมือนขอทานเพื่อหันมามองขุนนางชั้นสูงที่มีผมสีแดงสวยและหน้าตาดี เขาไม่ได้หล่อมากแต่ก็พอจะดึงดูดความสนใจได้ทุกที่ที่เขาย่างกรายไปถึงและในตอนนี้เขายังส่งยิ้มมาให้ตนอีกด้วย
รอยยิ้มยังคงถูกส่งไปให้แก่นักบวชทั้งสองก่อนที่คาร์ลจะยกมือหันเข้าหาตัวเอง
“เป็นข้าเอง….”
“ห๊ะ?”
คาร์ลยิ้มอีกครั้งให้กับนักบวชที่มีท่าทางสับสน
“ข้าจะวางชีวิตของตนเองกับสิ่งนั้น”
เชวฮันแตะไปที่ไหล่ของคาร์ลโดยทันที
“พอเถอะขอรับ…”
“อะไร?”
คาร์ลหันไปมองเชวฮันด้วยร่างกายที่แข็งทื่อและรู้สึกกระวนกระวายใจ
“กระผมจะเชื่อท่าน…แม้ว่าท่านจะไม่ได้ทำสิ่งนั้นก็ตาม”
คาร์ลเริ่มยิ้มเยาะเชวฮันก่อนพูดออกมาช้าๆ
“ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะเชื่อเช่นนั้นจริงๆ”
เชวฮันจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะเชื่อเขา เชวฮันจะเชื่อเขาได้อย่างไรเมื่อเขาไม่ได้วางแผนที่จะบอกอะไรกับเชวฮัน? นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาอยู่ในวิหารในตอนนี้
‘ทำไมฉันจะต้องบอกนายทุกอย่าง?นั่นมันจะทำให้ฉันวุ่นวายไปกับนายด้วย’
ไม่มีเหตุผลอะไรที่เขาจะต้องข้องเกี่ยวกับเชวฮันอีก คาร์ลจะไม่สามารถมีชีวิตที่สงบสุขได้เลยหากเชวฮันยังอยู่ใกล้ๆเขา มันถูกเห็นได้ชัดว่ามันเป็นเรื่องที่วุ่นวายและเป็นปัญหาเมื่อเชวฮันเลือกที่จะนำเด็กจากเผ่าหมาป่าสีน้ำเงินกลับมาด้วย
‘และในอนาคตข้างหน้าเขายังได้ขี่วาฬที่เป็นสมาชิกของเผ่าวาฬเพื่อต่อสู้กับนางเงือกอีกด้วย’
ในโลกที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง สถานะของเชวฮันต่างได้รับการยอมรับทั้งจากมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ทำให้เขาเริ่มเปลี่ยนไป มันเริ่มที่เผ่าวาฬนั่น เผ่าวาฬที่ปรากฏในนิยายตอนต้นของนิยายเล่มที่ห้าบ่งบอกได้ถึงความซื่อสัตย์และค่อนข้างน่ากลัว
‘พวกมันเป็นนักล่าที่อันตรายที่สุด’
เผ่าวาฬเป็นเผ่าของสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาสัตว์อสูรทั้งหมด อีกทั้งพวกมันยังได้ชื่อว่าเป็นสัตว์อสูรที่สวยที่สุดพวกมันมีสีที่แตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นสีดำ สีเทาหรือสีชมพูแต่โดยรวมก็นับว่าสวยงามยิ่งนักอาจเทียบได้กับความสวยงามของนางเงือกที่มีสองขาและครีบซึ่งเผ่าวาฬจะดูคล้ายกับมนุษย์ที่ถูกปกคลุมด้วยเกล็ดอันสวยงามนั่นเอง
‘พวกมันดูดื้อรั้นเอาแต่ใจและไม่แม้แต่จะมีความอ่อนน้อมเมื่ออยู่ต่อหน้ามังกร’
เผ่าวาฬเป็นเผ่าสัตว์อสูรที่น่ากลัวมาก แม้ว่าพวกมันจะมีจำนวนที่น้อยแต่การโจมตีแม้จะไม่ได้ใช้ความตั้งใจนักก็สามารถทำให้ศีรษะของมนุษย์หลุดออกจากตัวได้อย่างง่ายดายและแม้แต่ล็อกก็ต้องยกมือยอมแพ้ให้กับพวกมัน
‘พวกมันมีนิสัยที่โหดเหี้ยมไร้ความปราณี’
เชวฮันมักข้องเกี่ยวกับคนหรือสัตว์อสูรทุกประเภทและเกี่ยวข้องกับปัญหาต่างๆมากมาย ดังนั้นจึงทำให้คาร์ลไม่มีความปรารถนาที่จะมีส่วนเกี่ยวข้องใดๆกับเชวฮันอีกต่อไป
“ท่านนักบวช…มีห้องนั้นหรือไม่?”
“มี..พวกเรามีอยู่หนึ่งห้อง…พวกเราจะเตรียมความพร้อมทั้งหมดให้แก่ท่านทันทีที่ไปถึงชั้นใต้ดิน”
“อ่า…ขอบคุณ”
คาร์ลเดินตามนักบวชไปทันทีก่อนที่เชวฮันจะเดินตามหลังพวกเขาไปด้วยความไม่เต็มใจนัก ทุกคนมองเห็นการเคลื่อนไหวของเชวฮันและพากันเดินเข้าไปยังด้านในสุดของวิหารอย่างไม่เร่งรีบ
หลังจากเดินเข้ามาเป็นเวลานานพวกเขาก็สามารถมองเห็นผนังของวิหารอีกฝั่งหนึ่งที่มีประตูเรียงรายเป็นจำนวนมาก ก่อนที่นักบวชจะเลือกเปิดประตูหนึ่งบานเพื่อให้เจอกับบันไดที่ทอดลงสู่ชั้นใต้ดิน
“ความตายกำลังรอท่านอยู่ที่ด้านล่าง…..”
“เยี่ยม…..เราไปกันเถอะ”
นักบวชมองคาร์ลที่เดินลงบันไดไปโดยไม่มีความลังเลใดๆด้วยความสนใจ
‘ความตาย’ที่กล่าวถึงในวิหารของพระเจ้าแห่งความตายนั่นก็คือ ‘การสาบาน’
ความตายคือสิ่งที่ได้รับการรับรองว่าจะเดินทางไปเยี่ยมคุณได้ทุกช่วงเวลานี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณสามารถหลีกเลี่ยงมันได้และสิ่งที่คุณต้องตระหนักก็คือการยอมรับกับทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณได้ก้าวเข้ามาในที่แห่งนี้แล้ว
นั่นเป็นเหตุผลที่นักบวชในวิหารของพระเจ้าแห่งความตายนี้จะเป็นผู้นำสิ่งที่เรียกว่าความตายไปให้แก่ผู้ที่ผิดต่อคำสาบานของตน
ดังนั้นผู้ที่มุ่งหน้าเข้าไปยังห้องแห่งความตายหรือในบางครั้งก็เรียกว่า ‘ห้องแห่งคำสาบาน’ มักจะมีอาการอ่อนแรงและเคร่งเครียด ซึ่งมันเป็นอาการที่ตรงกันข้ามกับผู้ที่มีความผ่อนคลายและความมั่นใจยิ่งนักนับว่าเป็นบุคคลที่มีบุคลิกที่น่าสนใจในสายตาของนักบวช
‘มันทำให้ข้านึกถึงนักบวชหญิง ‘เคจ’’
เธอเป็นคนที่บ่นและสาปแช่งวิหารบ่อยครั้งแต่ ‘เคจ’ ก็ยังเป็นคนที่พระเจ้าแห่งความตายให้ความรักแก่เธออยู่เสมอ เหล่านักบวชต่างนึกถึงเธอแต่ก็โดนเธอสลัดพวกเขาออกอยู่ตลอดเช่นเดียวกับที่เคจมักจะหงุดหงิดเมื่อได้ยินเสียงหรือได้รับข้อความจากพระเจ้าแห่งความตาย
หลังจากที่หยุดคิดถึงเรื่องของนักบวชหญิงเคจแล้ว เขาก็เดินลงบันไดตามหลังคาร์ลเมื่อพวกเขาไปถึงด้านล่างนักบวชจึงได้เปิดประตูและแจ้งให้คาร์ลและเชวฮันได้ทราบ
“โปรดรอสักครู่…ข้าขอเตรียมความพร้อมให้แก่พวกท่านก่อน”
จากนั้นนักบวชก็เดินเข้าไปในห้องเพียงคนเดียว คาร์ลมองไปที่ประตูที่ถูกปิดให้สนิทจากฝีมือของนักบวชและเริ่มพูด
“ถ้าเจ้าคิดว่าเราไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้..ข้าจะบอกความจริงให้เจ้ารู้ก่อนหนึ่งข้อ….เจ้าคิดเห็นอย่างไร?”
เชวฮันเอ่ยตอบโดยทันที
“ได้โปรดบอกกระผมมาเถิด…กระผมไว้ใจท่าน”
“เช่นนั้นรึ?”
คาร์ลยกมือขึ้นเพื่อลูบไปที่คางของตนเองไปมาก่อนที่จะตั้งใจคายความจริงออกมาช้าๆ
“ความจริงข้อแรก…..”
สายตาของคาร์ลจ้องไปที่เชวฮัน
“ข้าไม่รู้ตัวตนขององค์กรลับและเป้าหมายของพวกมัน….”
“……เป็นเช่นนั้นหรือ………”
แววตาของเชวฮันเริ่มสั่นไหวและเป็นเวลาเดียวกับที่คาร์ลได้ยินเสียงประตูถูกเปิดพร้อมๆกับที่นักบวชได้เดินออกมาจากห้อง
“เชิญท่านเข้าไปข้างในได้…สำหรับผู้ที่จะวางชีวิตของตนลงบนเส้นแห่งความตายนั้นจะต้องยกมือของพวกเขาขึ้นเมื่ออยู่ภายในห้องต่อหน้าท่านนักบวช”
“ขอบคุณท่านมาก…พวกเราเข้าใจแล้ว”
เมื่อเทียบกับคาร์ลที่มีท่าทางผ่อนคลายแต่เชวฮันดูเหมือนจะสับสนและวิตกกังวลเป็นอย่างมาก นักบวชเอียงศีรษะของตนด้วยความสับสนกับเรื่องนี้ก่อนที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆเพราะมันไม่ใช่ธุระอะไรของเขาเลย
คาร์ลจับลูกบิดประตูขณะที่หันกลับไปมองเชวฮัน
“มันยากที่จะเชื่อใช่หรือไม่?”
“…เอ่อ…กระผม…เชื่อ..แต่มันค่อนข้างยาก…..”
คาร์ลรู้ว่าเชวฮันพยายามที่จะตอบว่าเขาเชื่อในสิ่งที่ตนบอกแก่เขา…แต่เขาก็ยังรู้สึกไม่ไว้วางใจกับคำพูดของคาร์ลได้เช่นกัน คาร์ลจะไม่รู้มันได้อย่างไร? มันไม่ต้องใช้ความรู้สึกอะไรมากมายเลย? ก่อนที่เชวฮันจะได้ยินเสียงของคาร์ลดังขึ้น
“ข้ารู้….”
เชวฮันมองไปยังคาร์ล การแสดงออกที่ผ่อนคลายของคาร์ลทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นก่อนที่คาร์ลจะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง
“เข้าไปข้างในกันเถอะ”
เชวฮันเดินตามคาร์ลเข้าไปยังห้องแห่งความตายที่อยู่ด้านหลังประตูสีขาวช้าๆ
ตามที่คาดไว้ทั้งห้องล้วนเป็นสีขาวทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นโต๊ะสีขาว เก้าอี้สีขาวและผนังห้องสีขาวสิ่งเดียวที่ไม่ใช่สีขาวภายในห้องนี้ก็คือนักบวชที่ยืนอยู่นี้เขาเป็นนักบวชที่มีปากและหูที่ถูกปิดกั้นไว้
นักบวชที่หูหนวกและเป็นใบ้มันไม่ได้ดูดีสำหรับคาร์ล แต่นักบวชเหล่านี้กลับได้รับความนับถือในโลกแห่งนี้ ขุนนางและเหล่าเชื้อพระวงศ์ที่ต้องการมีการสนทนาอย่างลับๆหรือลอบทำสัญญาก็มักจะเดินทางมาหานักบวชเหล่านี้อยู่เสมอ
คาร์ลโค้งทำความเคารพนักบวชก่อนจะยกมือขึ้น นักบวชพยักหน้าตอบรับการกระทำของคาร์ลและชี้ไปที่เก้าอี้สองตัวที่อยู่ข้างโต๊ะ
คาร์ลนั่งลงบนเก้าอี้ทางด้านขวาของโต๊ะขณะที่เชวฮันนั่งถัดจากเขาไปทางด้านซ้าย นักบวชเดินไปทางหัวโต๊ะก่อนที่จะดันกระดาษแผ่นหนึ่งมาไว้ตรงหน้าพวกเขา
[สำหรับผู้ที่ต้องการวางชีวิตของตนลงบนเส้นแห่งความตาย พระหัตถ์ของพระเจ้าแห่งความตายจะสัมผัสเข้ากับท่าน เมื่อมันเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งให้ท่านกล่าวคำสาบานของตนออกมาหากท่านผิดคำสาบานความตายจะรอท่านอยู่]
นี่มันเป็นคำสั่งที่โหดร้ายยิ่งนัก
คาร์ลดันกระดาษกลับไปหานักบวชหลังจากแน่ใจว่าเชวฮันได้อ่านมันจบแล้ว ก่อนที่นักบวชจะยกมือทั้งสองข้างขึ้นเหมือนกับที่เคจได้เคยทำไว้ ในตอนนั้นเอง
ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!!!!!
ห้องสีขาวเริ่มสั่นสะเทือนไม่แรงนักนั่นอาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นสถานที่ที่รับใช้ของพระเจ้าแต่ควันสีดำก็เริ่มก่อตัวขึ้นรอบๆตัวนักบวชเมื่อห้องเริ่มสั่นสะเทือนขึ้น ควันสีดำค่อยๆโอบล้อมคาร์ลและเชวฮันเอาไว้ก่อนที่จะมีเส้นใยสีดำเชื่อมระหว่างทั้งสองคนเอาไว้
“…นี่เป็นพลังของพระเจ้าแห่งความตายใช่หรือไม่?”
“ใช่”
คาร์ลตอบคำถามของเชวฮัน ก่อนที่จะสัมผัสถึงพลังของควันสีดำที่โอบรอบตัวเขาไว้มันเกิดขึ้นเช่นเดียวกับที่เคจได้กล่าวคำสาบานต่อพระเจ้าแห่งความตายในตอนนั้น แต่พลังของพระเจ้าแห่งความตายเตือนให้เขานึกถึงการเดิมพันของคำสาบานนี้
‘ฉันจะตายหากฉันผิดคำสาบาน’
คาร์ลมั่นใจว่าเชวฮันจะรู้สึกเช่นเดียวกับเขานั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ใบหน้าของเชวฮันแข็งค้างขึ้นในตอนนี้คาร์ลรู้สึกได้ถึงการสัมผัสจากพระเจ้าแห่งความตายและเริ่มดำเนินการที่จะกล่าวคำสาบานของตน
“นักบวชที่ยืนต่อหน้าข้าในตอนนี้ได้รับการรับรองว่าเขาจะไม่ได้ยินสิ่งใดและถ้ามันไม่ใช่ความจริงเขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตของเขา”
นี่เป็นประโยคที่จะต้องกล่าวเป็นครั้งแรกเมื่อกล่าวคำสาบานต่อหน้านักบวชหูหนวก
“ยิ่งไปกว่านั้น….ข้า….คาร์ล เฮนิตัส….สาบานที่จะพูดความจริงต่อหน้าเชวฮัน ต่อหน้าพระเจ้าแห่งความตายและถ้าสิ่งที่ข้าพูดคือการโกหกเพียงเล็กน้อย…ข้าจะตายในทันทีเพื่อจ่ายเป็นค่าตอบแทน”
ทันทีที่คาร์ลกล่าวจบใบหน้าของเชวฮันยิ่งแข็งค้างขึ้นไปอีก เขารู้สึกกังวลเป็นอย่างยิ่ง
ในครั้งแรกคาร์ลได้โต้เถียงกับตนเองว่าจะบอกเรื่องทั้งหมดกับเชวฮันดีหรือไม่?
ข้าถูกส่งเข้ามาในนิยายที่กำลังอ่านอยู่…และข้ายังเป็นคนเกาหลีอีกด้วย…นั่นคือเหตุผลที่ข้ารู้ว่าจะเกิดเหตุการณ์อะไรขึ้นบ้างจนกระทั่งถึงนิยายเล่มที่ 5 องค์กรลับนี้จะก่อให้เกิดปัญหาไปทั่วทวีปและในเร็วๆนี้ทั่วทั้งทวีปจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่วุ่นวายเพราะสงคราม
คาร์ลควรจะพูดเช่นนี้หรือไม่?
หรือเขาควรจะพูดอะไรแบบนี้ดี? ข้าถูกส่งตัวเข้าไปในนิยายที่ข้าอ่านและจบลงด้วยการเป็นบุตรชายของขุนนางผู้มั่งคั่ง นั่นเป็นเหตุผลที่ข้าพยายามจะมีชีวิตที่สงบสุขเมื่อข้าจำได้ว่ามันจะเกิดเรื่องราวอะไรขึ้นในนิยายเรื่องนี้บ้างจึงทำให้ข้าเปลี่ยนแปลงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเล็กน้อย ข้าอยากมีชีวิตที่สงบสุขแม้ว่าทั่วทั้งทวีปจะอยู่ในภาวะสงครามก็ตาม
คาร์ลไม่ชอบพวกมันเลย ข้อแรกอาจทำให้เขาเข้าไปมีส่วนร่วมในสงครามของทวีปและทำให้เขาตายไปในสนามรบได้ ในขณะที่ข้อสองอาจนำพาให้เขาถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากเชวฮันที่อาจจะลงมือฆ่าเขาได้เช่นกัน
คาร์ลไม่ต้องการให้สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น
“ข้อแรก”
ความจริงข้อที่หนึ่งจากสองข้อ
“ข้า…คาร์ล เฮนิตัสไม่ทราบตัวตนที่แท้จริงขององค์กรลับนั่น”
ฮึก….เชวฮันสูดหายใจเข้าลึกก่อนที่จะยกมือทั้งสองข้างปิดหน้าของตนไว้ เขาค่อยๆขยับมือลงเมื่อเห็นว่าคาร์ลยังคงมีชีวิตอยู่
“มันคือความสัตย์จริง….เพราะข้าไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของพวกมัน”
มันคือเรื่องจริง
คาร์ลหรือตัวตนที่แท้จริงในตอนนี้คือคิมร็อกโซได้อ่านนิยายเรื่อง กำเนิดวีรบุรุษ มาถึงเล่มที่ห้าแต่มันก็ไม่ได้พูดถึงเป้าหมายหรือตัวตนที่แท้จริงขององค์กรลับนั่น ทั้งหมดที่กล่าวถึงมีเพียงการกระทำอันชั่วร้ายขององค์กรลับเพียงเท่านั้น
“มีอีกเรื่อง..ที่ข้ามีความจริงใจอย่างแท้จริงเมื่อข้าจะพูดมันออกมา”
ความจริงข้อที่สอง
“ข้าเกลียดองค์กรลับนั่นและหวังว่าพวกมันจะหายสาบสูญไปให้หมด”
มันคือความจริงที่ว่าคาร์ลยังคงมีชีวิตอยู่ เขาไม่ชอบคนพวกนี้ที่ก่อให้เกิดเหตุการณ์ร้ายต่างๆมากมาย พวกมันอาจจะมีส่วนร่วมในสงครามของทวีปเช่นกัน คาร์ลอยากให้พวกมันหายสาบสูญไปให้หมดเพื่อที่ตัวเขาเองจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างสงบในดินแดนที่เต็มไปด้วยความสงบร่มเย็น
เชวฮันดูเหมือนจะไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้ เขามองไปที่ควันสีดำที่เชื่อมกับตัวเขา นักบวชและคาร์ล ก่อนที่จะกำหมัดของตนแน่นขึ้น คาร์ลชะงักไปกับท่าทางที่น่ากลัวของเชวฮันก่อนจะได้ยินเสียงของเชวฮันเอ่ยขึ้นมา
“ท่านจะเกลียดพวกมันได้อย่างไร…หากไม่รู้จักกับพวกมัน?”
“เพราะข้ารู้เกี่ยวกับสองสิ่งที่น่ากลัวที่พวกมันวางแผนจะลงมือทำ…ทั้งเรื่องของมังกรดำและล็อก…และอีกอย่าง…เชวฮัน!”
คาร์ลชี้นิ้วเข้าหาตัวเขาเอง
“ความฝันของข้า…คือการได้ใช้ชีวิตเป็นเพียงขยะไร้ค่าเท่านั้น”
ท่าทางของเชวฮันเปลี่ยนไปในทันทีเมื่อเขาได้ยินความฝันของคาร์ลที่ปรารถนาจะเป็นเพียงขยะไร้ค่าเท่านั้น
“ข้าไม่มีความปรารถนาที่จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฮนิตัสในอนาคตข้างหน้าและข้าหวังเพียงให้ ‘บาเซ็น’ น้องชายต่างมารดาของข้าเป็นผู้สืบทอดตระกูลแทน”
นี่คือความจริงจากใจของคาร์ลและเป็นเหตุผลที่คาร์ลเอ่ยถามเชวฮัน
“แล้วเจ้าคิดว่า…ข้าจะเดินทางมายังเมืองหลวงเพื่อมาเป็นตัวแทนของตระกูลเฮนิตัสไปทำไมกัน? โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อข้าหวังให้บาเซ็นเป็นผู้สืบทอดตระกูลเฮนิตัสแทน? และถึงแม้ว่ามันจะเป็นคำสั่งจากผู้นำตระกูลเช่นบิดาของข้าให้ข้าเป็นตัวแทนไปในครั้งนี้แต่ข้าก็สามารถที่จะปฏิเสธว่าไม่ไปได้เช่นกัน”
เชวฮันเอ่ยตอบกับคำถามของคาร์ลหลังจากเงียบไปชั่วครู่
“…..กระผมไม่แน่ใจ…..”
“….เพราะข้ารู้ว่าองค์กรลับนั่นวางแผนจะทำสิ่งใดในเมืองหลวง”
ดวงตาของเชวฮันเบิกกว้างขึ้น
“…ข้าไม่สามารถบอกเจ้าได้ว่าข้ารู้มันได้อย่างไร…แต่พวกมันกำลังวางแผนที่จะฆ่าคนเป็นจำนวนมากในเมืองหลวง..และนั่นทำให้ข้าไม่สามารถส่งบาเซ็นมายังที่แห่งนี้ได้..ข้าต้องป้องกันเหตุการณ์พวกนี้ไม่ให้มันเกิดขึ้นให้จงได้”
แน่นอน…ว่าคาร์ลไม่ได้วางแผนการที่จะทำอะไรกับเรื่องนี้รวมถึงทุกๆสิ่งที่จะนำพาชีวิตของเขาเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับชีวิตของคนอื่นเช่นกัน
“เมื่อข้าจัดการปัญหาเหล่านี้ให้เรียบร้อยได้มากที่สุดเท่าที่ข้าจะสามารถทำได้แล้ว..ข้ามีแผนที่จะเดินทางกลับไปยังดินแดนเฮนิตัสทันที”
“…..ท่านไม่สามารถบอกข้าได้ว่า…ท่านรู้มันได้อย่างไรใช่หรือไม่?”
“ถูกต้อง…ข้าไม่สามารถบอกเรื่องนี้กับใครได้ทั้งนั้น”
แววตาของเชวฮันเต็มไปด้วยคำถามแต่ปากของเขาก็ยังคงปิดสนิทอยู่
ท่านคาร์ลไม่รู้จักตัวตนที่แท้จริงขององค์กรลับแต่ว่าเขารู้ถึงแผนการที่พวกมันจะทำอีกทั้งเขายังเกลียดชังพวกมันเป็นอย่างยิ่งและต้องการให้พวกมันหายสาบสูญไป
ศีรษะของเชวฮันลดต่ำลงเมื่อเขาเริ่มคิดถึงสิ่งต่างๆ…ตอนนี้ภายในหัวของเขาเต็มไปด้วยความสับสนยุ่งเหยิงกับเรื่องราวทั้งหมดที่ได้รับฟังจากคาร์ล ถึงกระนั้นพลังของพระเจ้าแห่งความตายยังคงไหลผ่านเส้นใยสีดำอยู่ทำให้เขายังคงสงบนิ่ง เชวฮันรู้ว่าคาร์ลจะจบชีวิตลงที่นี่หากคาร์ลเลือกที่จะโกหก
“อย่างไรก็ตาม….ข้าจะบอกเจ้าอีกหนึ่งเรื่อง”
คำพูดที่บอกว่า ‘อีกหนึ่งเรื่อง’ ทำให้เชวฮันรีบยกศีรษะของตนเพื่อหันไปมองคาร์ล
“ความจริงข้อสุดท้าย”
และนี่เป็นความจริงข้อที่สามที่คาร์ลจะบอกแก่เชวฮัน
“ข้าไม่มีความปรารถนาที่จะทำร้ายเจ้า”
คาร์ลมั่นใจในสิ่งที่เขากล่าวออกมาและตอนนี้เขายังมีชีวิตอยู่นั่นหมายความว่านี่คือความจริง
เชวฮันเริ่มขมวดคิ้วมุ่น
พลั่ก!พลั่ก!
เชวฮันก้มหน้าลงเพื่อใช้กำปั้นทุบลงไปที่ต้นขาของตนเองแม้ว่าเขาจะไม่ได้ออกแรงทุบมันมากนักแต่ก็ยังสามารถมองเห็นเส้นเลือดที่ปูดโปนออกจากกำปั้นที่กำแน่นได้อยู่ดี ก่อนที่จะค่อยๆยกศีรษะของตนขึ้นช้าๆเพื่อหันไปมองคาร์ลที่ยังคงมีชีวิตอยู่
“…กระผมเชื่อท่าน….”
คำตอบนี้ถูกเอ่ยออกมาจากปากของเชวฮันหลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน
คาร์ลเอ่ยย้ำกับเชวฮันด้วยประโยคที่เคยพูดก่อนที่พวกเขาจะพากันเข้ามาในห้องนี้
“…ข้ารู้….” ก่อนที่คาร์ลจะเริ่มยิ้มออกมา
“เฮ้อ”
เชวฮันถอนหายใจออกมาขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ เขาเงยหน้าขึ้นมองคาร์ล แววตาของคาร์ลในตอนนี้ยังคงกระจ่างใสเหมือนปกติที่เขาเคยเป็น
“ท่านคาร์ล…ได้โปรดสัญญากับกระผมอีกหนึ่งข้อได้หรือไม่?.แล้วกระผมจะเชื่อท่านได้อย่างหมดใจ”
‘…..อ่า…นี่ไม่ใช่สิ่งที่ฉันคิดว่ามันจะเกิดขึ้นหรอกนะ’
คาร์ลรู้สึกได้ถึงปัญหาที่จะเกิดขึ้นจากท่าทางของเชวฮัน มันไม่ควรจะเป็นคำขอที่ใหญ่เกินไปเพราะเขาอาจสามารถหาทางที่จะพลิกแพลงสิ่งต่างๆเพื่อให้เหมาะกับตัวของเชวฮันได้แต่ประโยคที่ว่า ‘จะเชื่อท่านได้อย่างหมดใจ’ทำให้คาร์ลรู้สึกหวั่นๆแต่ก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยปฏิเสธเขาได้ในตอนนี้
“ได้สิ…มันคืออะไรหรือ?”
“ท่านคาร์ล….”
“ว่าอย่างไร?”
“กระผมต้องการแก้แค้นองค์กรลับนั่น…นี่คงเป็นครั้งแรกในชีวิตของกระผมที่จะเคียดแค้นใครหรือองค์กรใดได้มากขนาดนี้”
ความโกรธปรากฏขึ้นเต็มดวงตาอันบริสุทธิ์ของเชวฮัน ความรู้สึกของความระลึกถึงยังสามารถลอดผ่านความโกรธออกมาได้เช่นกัน ในตอนนี้เชวฮันอาจกำลังคิดถึงหมู่บ้านแฮร์ริสอยู่ก็เป็นได้
‘อืม’
คาร์ลเก็บคำพูดของตนไม่ให้เล็ดลอดผ่านริมฝีปากของตนออกมา นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่ต้องการตัวเชวฮันแม้ว่าเชวฮันจะเลือกติดตามเขาก็ตาม เชวฮันเป็นคนดีนี่คือสิ่งที่เขาปฏิเสธไม่ได้แต่เขามักจะเป็นคนที่ทำอะไรด้วยความตั้งใจอย่างแรงกล้าและนั่นทำให้เขาเฝ้ารอคำของของเชวฮันด้วยความเคร่งเครียด
ก่อนที่เชวฮันจะเอ่ยปากพูดในเวลาต่อมา
“ได้โปรดบอกกระผม…หากท่านหาตัวตนของพวกมันพบ….”
“ เอ่อ…อ้อ!..ได้..ได้สิ”
‘…ฉันคิดว่าเขากำลังขอในเรื่องที่มันยากเกินไปเสียแล้ว’
คาร์ลอึ้งไปพักใหญ่ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำสาบานนั้นออกมา
“ข้า…คาร์ล เฮนิตัสจะแจ้งให้เชวฮันทราบหากข้าได้รู้ถึงตัวตนที่แท้จริงขององค์กรลับนั่น…ข้ายินดีจะจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตหากข้าผิดต่อคำสาบานนี้…เจ้าพอใจหรือไม่?”
“พอใจ…ขอบคุณนะขอรับท่านคาร์ล”
เชวฮันเริ่มยิ้มออกมาได้ดูเหมือนว่าเขาจะโล่งใจ คาร์ลเริ่มครุ่นคิดถึงเรื่องนี้ขณะที่ลอบมองเชวฮันไปด้วย
‘แล้วฉันจะรู้ตัวตนที่แท้จริงของพวกมันได้อย่างไร?’
เพื่อที่จะสามารถหาตัวตนที่แท้จริงของพวกมันได้พบหรือเพื่อหาคำใบ้ที่ใกล้เคียงที่สุดเกี่ยวกับตัวตนของพวกมัน เขาจำเป็นที่จะต้องเดินตามเส้นทางเดียวกับเชวฮันเช่นเดียวกับเนื้อหาในนิยายได้กล่าวเอาไว้ คาร์ลจะต้องบ้าไปแล้วที่คิดจะทำเช่นนั้น เพราะเมื่อเชวฮันได้ออกจากเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันไปเขาจะวิ่งเข้าหาและข้องเกี่ยวกับวีรบุรุษทุกประเภทไม่ว่าจะเป็นมนุษย์และไม่ใช่มนุษย์ก็ตาม
เพียงแค่คิดเกี่ยวกับมันคาร์ลก็รู้สึกแย่เป็นอย่างมาก
“พวกเราทำมันเสร็จเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่?”
“ใช่..”
ปัง!
คาร์ลยกมือขึ้นและกระแทกไปที่โต๊ะจนเกิดเสียงดัง การกระแทกของเขาทำให้โต๊ะสั่นเล็กน้อยก่อนที่นักบวชจะลืมตาขึ้นช้าๆและพยักหน้าให้แก่พวกเขา ห้องเกิดแรงสั่นสะเทือนขึ้นอีกครั้ง
ครืดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด
ในตอนนี้กลุ่มควันดำได้จางหายไปจากตัวพวกเขาแล้ว มันต่างจากที่เขาเคยทำกับนักบวชเคจเพียงเล็กน้อยเท่านั้น คาร์ลสัมผัสได้ถึงสองคำสาบานที่ฝังแน่นอยู่ในร่างกายของเขา ขณะที่เขาหยิบกระดาษออกจากกระเป๋าของตนเอง
มันเป็นเช็คมูลค่า 10 ล้านแกลลอน คาร์ลวางเช็คเงินไว้ตรงหน้านักบวชที่มองเขาอยู่และลุกขึ้นทันที จากนั้นก็กล่าวคำอำลากับนักบวชก่อนออกจากห้องไป เชวฮันก้มมองไปที่เช็คสลับกับคาร์ลที่เดินจากไปก่อนจะรีบเดินตามคาร์ลออกจากห้องและปิดประตูโดยทันที ก่อนที่เขาจะมองไปที่คาร์ลด้วยความสับสน
คาร์ลเอ่ยกับเชวฮันด้วยความไม่ใส่ใจนักเมื่อเห็นว่าเชวฮันจ้องตนด้วยท่าทางเช่นนั้น
“ไม่มีอะไรในชีวิตที่ได้มาโดยไม่เสียอะไรเป็นการตอบแทน”
“ข้าเข้าใจ..”
คาร์ลเดินกลับขึ้นไปทางบันไดอันเดิมและเจอกับนักบวชคนเดิมที่ยืนอยู่หน้าทางเข้า
นักบวชยินดีที่เห็นว่าคาร์ลยังคงมีชีวิตอยู่
“ขอให้ชีวิตของท่านจงดำเนินต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถึงเวลาในชีวิตที่ได้ถูกกำหนดไว้”
นั่นเป็นวิธีที่เหล่านักบวชบอกแก่คุณว่าอย่าผิดคำสาบานของคุณเพื่อที่คุณจะได้มีชีวิตต่อไปจนแก่ตายในที่สุด มันค่อนข้างโหดร้ายอยู่เหมือนกัน
“ขอบคุณมากท่านนักบวช”
คาร์ลกล่าวคำขอบคุณให้แก่นักบวชพร้อมกับรอยยิ้ม นักบวชได้มองเห็นรอยยิ้มของคาร์ลและน้ำเสียงที่ผ่อนคลายที่แปลกออกไปจากเดิมเล็กน้อยแต่เขาก็เดินผ่านนักบวชและออกมาจากวิหารโดยทันที
จากนั้นเขาก็ขึ้นไปบนรถม้าพร้อมกับเชวฮันและเริ่มพูดขึ้นเมื่อรถม้าเริ่มขยับ
“จากข้อมูลที่เจ้าแจ้งแก่ข้า…นักเวทย์ที่เสียสติคนนั้นจะเป็นผู้นำของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองหลวง”
“…..กระผมได้รับอนุญาตให้ฆ่าเมื่อเจอตัวพวกมันหรือไม่?”
“ทำไมเจ้าต้องถามข้าตรงไปตรงมาเช่นนี้ด้วย?…ทำในสิ่งที่เจ้าต้องการเถิด”
‘มันไม่ใช่เรื่องของเขาเสียหน่อย’
อย่างไรก็ตามเจ้านักเวทย์บ้าคนนั้นเป็นถึงนักเวทย์ระดับสูงและเป็นผู้เชี่ยวชาญการใช้พลังเวทย์เคลื่อนย้ายมวลสาร ดังนั้นเชวฮันจึงไม่สามารถทำตามความต้องการของเขาให้สำเร็จลงได้ตามเนื้อหาในนิยายที่ได้กล่าวเอาไว้
“ได้…ข้าแน่ใจว่าจะลงมือฆ่ามันโดยทันที”
คาร์ลหันหน้าหนีไปจากใบหน้าที่โกรธแค้นของเชวฮัน มันเป็นเรื่องที่โหดร้ายเกินไปสำหรับเขาหากจะลงมือห้ามหรือจัดการกับคนเช่นเชวฮันได้
เมื่อพวกเขากลับไปถึงบ้านแล้ว คาร์ลก็ได้พบว่ามีอีกบุคคลหนึ่งที่เขายากจะจัดการได้เช่นกัน
“นายน้อยขอรับ…..”
“รอน…..เช่นนั้นหรือ”
นักฆ่ารอนผู้มีรอยยิ้มอ่อนโยนประดับบนใบหน้าอยู่ตลอดเวลาได้เข้ามาพบคาร์ลที่กำลังพักผ่อนในห้องของตนอยู่