หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family) - บทที่ 14 ออกเดินทาง 1

  1. หน้าแรก
  2. ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family)
  3. บทที่ 14 ออกเดินทาง 1
Prev
Next

บทที่ 14 ออกเดินทาง 1 

 

“เจ้าไม่ได้มีท่าทีกังวลใจเลยนะคาร์ล”

 

คาร์ลยิ้มรับกับคำกล่าวของบิดา ท่าทางและผิวพรรณของคาร์ลสดใสขึ้นในช่วง 2-3วันที่ผ่านมา มันไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะหาทางผ่อนคลายให้ได้มากที่สุด

 

‘ก็ตั้งแต่ที่ฉันไม่โดนตีซะเละนั่นล่ะ’

 

มีฝนตกในเขตพื้นที่ของเฮนิตัสตลอดจนถึงเมื่อวานนี้ ถ้าเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามเนื้อหาในนิยาย คาร์ลจะต้องถูกตีจนยับเยินในวันที่มีฝนตกและแน่นอนว่าเขาไม่ได้ถูกตีแต่อย่างใด ตอนนี้เขาสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจขึ้นเพราะเขารู้สึกโล่งใจที่มีโล่นิรันดร์กาลอยู่กับตัวเขาแม้ว่าเขาอาจจะมีการกระทบกระทั่งกับรอนหรือบารอคอยู่บ้าง แต่มันก็ทำให้เขาหลับสนิทได้ตลอดคืน

 

“ท่านพ่อขอรับ”

 

คาร์ลมองไปที่อาหารที่วางกระจายไว้เต็มโต๊ะเขารู้สึกว่ามันช่างน่าหลงใหลยิ่งกว่าที่เคยก่อนจะเอ่ยถามขึ้น

 

“ดูเหมือนว่าจำนวนคนในคณะเดินทางจะมากเกินไปนะขอรับลูกอยากให้ลดจำนวนคนลงอีก”

 

เขาขอร้องให้บิดาของตนลดจำนวนข้ารับใช้ที่จะเดินทางไปยังเมืองหลวงเพื่อช่วยเหลือหรือดูแลรับใช้ความต้องการของเขา คาร์ลแจ้งว่าเขาต้องการแค่ฮันส์และรอนก็พอแล้ว แน่นอนว่าฮันส์ตกใจจนน่าซีดแต่ก็มีสีหน้าที่ดีขึ้นเมื่อทราบว่ามีลูกแมวทั้งสองร่วมเดินทางไปด้วย

 

“อ่า….เรื่องนั้น” ด้วยเหตุผลบางอย่างเคานต์เดอรัชได้หยุดประโยคของตนก่อนที่จะพูดจบก่อนที่จะมีเสียงของคนอื่นแทรกเข้ามาในการสนทนาของพวกเขา

 

“นั่นคือการตัดสินใจของข้า”

 

นั่นเป็นเสียงของภรรยาท่านเคานต์ ‘วิโอแลน’

 

ผมของเธอถูกทำไว้อย่างสมบูรณ์แบบ เธอทำทรงผมเป็นมวยขนาดใหญ่ไว้ที่กลางศีรษะโดยไม่มีลูกผมหลุดร่วงออกมาแม้แต่เส้นเดียว เธอยังก้มลงมองจานอาหารที่อยู่ตรงหน้าของตนอยู่เมื่อเอ่ยขึ้น เธอดูเหมือนบาเซ็นลูกชายของเธอแม้กระทั่งวิธีพูดโดยไม่สบตากับคาร์ลและอีกทั้งท่าทีที่ฝืนทนนั้นก็เช่นกัน

 

“ข้าไม่สามารถให้คนในครอบครัวของเราดูน่าสงสารและเป็นอันตรายได้เพียงเพราะเจ้าต้องการไปกับข้ารับใช้เพียงคณะเล็กๆนั่น”

 

มันเป็นเสียงที่ใช้ความอดทนมาก ก่อนจะจ้องไปยังทิศที่คาร์ลอยู่และพูดต่อ

 

“…….ข้าไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะเกิดอันตราย”

 

“ถึงแม้กระผมจะรู้เรื่องนี้มาบ้างแล้วก็ตาม”

 

วิโอแลนลังเลอยู่ครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำตอบของคาร์ล ก่อนที่จะรับประทานอาหารของตนต่อไปเรื่อยๆและเริ่มสนทนาขึ้นอีกครั้ง

 

“คนอื่นๆ…โดยเฉพาะเหล่าข้ารับใช้จำเป็นที่จะต้องดูแลธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับการปรากฏตัวของเจ้าอยู่”

 

‘เคานต์เตสวิโอแลน’ คาร์ลลอบมองเธอเงียบๆ

 

เธอเป็นลูกสาวคนโตของครอบครัวศิลปินยากจนและใฝ่ฝันถึงการเป็นหัวหน้าสมาคมการค้า เมื่อเธอโตขึ้นเธอได้รับแรงจูงใจจากสินค้าหรูหราที่ขายให้กับขุนนางก่อนจะได้เดินทางมาถึงอาณาเขตเฮนิตัสนี้ ครั้นมาถึงที่เมืองนี้ก็ได้ตกหลุมรักกับศิลปะการแกะสลัก และในที่สุดก็ได้พบรักกับท่านเคานต์เดอรัชก่อนจะได้เข้าไปทำงานในด้านการค้างานศิลปะและวัฒนธรรมของเมืองนี้

 

สำหรับคาร์ล..ไม่สิ..คิมร็อกโซ..เขารู้สึกว่า เธอมีความภาคภูมิใจในตัวตนและชีวิตของเธอและนั่นเป็นเหตุผลให้เธอมีความภาคภูมิใจในตระกูลนี้เช่นกัน

 

“ศิลปะไม่ได้เหมาะสำหรับเส้นทางของคนที่ได้ชื่อว่าขย……..” คำว่าขยะถูกกลืนหายออกไปโดยไม่ได้ตั้งใจ

 

เธอเป็นคนพูดจาหยาบคายเพราะการทำงานในโลกแห่งการค้าในช่วงเวลาหนึ่ง

 

“อย่างไรก็ตามมีคนจำนวนมากที่รอการปรากฏตัวของคนคนหนึ่งด้วยธรรมเนียมที่ถูกต้องเหมาะสม”

 

นั่นคือวิธีที่บอกให้คาร์ลรับข้ารับใช้ตามที่เธอบอก เป้าหมายของเธอ คือการที่คาร์ลไม่ได้รับการถูกวิจารณ์ในแง่ลบเพียงเพราะเขาเลือกจะไปกับข้ารับใช้เพียงไม่กี่คน

 

โดยธรรมชาติแล้วคาร์ลก็อยากพาคนไปจำนวนมากเพื่อไปทำตามความต้องการของตนเช่นกัน

 

‘วิธีการที่ง่ายๆและผ่อนคลายขึ้น มันไม่ดีอย่างไรนะ?’

 

เขาพบว่ามันยากที่จะได้รับการเปลี่ยนแปลงใดๆโดยไม่มีข้ารับใช้คอยช่วยเหลือ ตอนนี้คิมร็อกโซได้อยู่ในโลกนี้เขาเป็นคาร์ลมาแล้วประมาณหนึ่งสัปดาห์ แต่เขาก็ไม่อาจปล่อยให้ชีวิตง่ายขึ้นได้เลย อย่างไรก็ตามในอีกไม่กี่วันที่จะถึงนี้เขาจะได้เผชิญหน้ากับมังกรดำบ้าคลั่งนั่น ถ้าเขาไม่สามารถปลดปล่อยมังกรดำบ้านี่ได้ล่วงหน้าก็อาจจะเป็นไปได้ว่ามันจะคลั่งยิ่งขึ้นและฆ่าคนเป็นจำนวนมาก แม้ว่าคาร์ลไม่ได้สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนอื่นๆแต่เขาก็ยังไม่อยากเห็นคนตายต่อหน้าต่อตาเช่นกัน

 

นอกจากนี้เขายังไม่ต้องการที่จะรับผิดชอบต่อพวกคนเหล่านี้ที่จะได้รับอาการบาดเจ็บจากมังกรดำ ความรับผิดชอบล้วนเป็นภาระที่หนักและสำหรับคนเช่นคิมร็อกโซผู้รับผิดชอบชีวิตตัวเองตั้งแต่เด็กเขารู้ดีว่าความรับผิดชอบที่เกี่ยวข้องกับคนและชีวิตของผู้คนเป็นภาระที่น่ากลัวและหนักที่สุด

 

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาเริ่มพูด

 

“ศิลปะเป็นกระจกสะท้อนของจิตวิญญาณ”

 

วิโอแลนเงยหน้าจากจานอาหารและหันไปสบตากับคาร์ล นี่เป็นครั้งแรกในระยะเวลาที่ยาวนานที่ทั้งคู่ได้สบตาซึ่งกันและกัน

 

“……เจ้ารู้เรื่องนี้ด้วย”

 

“ใช่ กระผมรู้”

 

คาร์ลเดินเตร่ไปทั่วเมืองทั้งหมดในช่วงสี่วันที่ผ่านมาเพื่อเตรียมพร้อมในสิ่งที่เขาต้องการในการออกเดินทางในครั้งนี้ เขาเพิ่งได้ท่องจำในสิ่งที่เขาเห็นจากการเดินทางเหล่านั้น

 

“การแกะสลักไม่ใช่เพียงแค่สลักไปที่ก้อนหินอ่อนแต่เป็นการสร้างภาพสะท้อนของสิ่งที่อยู่ในใจของท่าน”

 

ช่วงเวลานี้เป็นคาร์ลที่ก้มลงมองจานอาหารในขณะที่วิโอแลนยังจ้องมองเขาอยู่

 

“กระผมได้อ่านมันที่แผ่นโลหะที่สลักไว้ที่หอศิลป์”

 

หอศิลป์ในเขตเฮนิตัสได้จัดแสดงผลงานของช่างประติมากรรมชิ้นใหม่ คำแถลงที่เขียนไว้ในโล่ประกาศเกียรติคุณในหอศิลป์นั้นคือสิ่งที่วิโอแลนได้เขียนไว้

 

“ทำตามที่เจ้าต้องการ ข้าจะลดจำนวนคนที่จะติดตามเจ้าไปตามที่ต้องการแต่ในทางกลับกันรถม้าและข้าวของทุกอย่างจะต้องเป็นสิ่งที่มีคุณภาพนั่นคงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับคนในตระกูลเฮนิตัส”

 

“ดีกับกระผมที่สุด โปรดจัดหาสิ่งที่มีราคาแพงที่สุดสำหรับการเดินทางในครั้งนี้”

 

“เยี่ยม ข้าจะทำให้มั่นใจได้ว่ารถม้าที่เจ้านั่งไปจะไม่ทำร้ายก้นของเจ้าในขณะที่เดินทางข้ามถนนที่เป็นหลุมเป็นบ่อนั่น”

 

“เยี่ยมที่สุดขอรับ…”

 

คาร์ลไม่สามารถมองเห็นสีหน้าของวิโอแลนได้เพราะเขาก้มลงมองจานอาหารของเขาแต่เขาทันสังเกตเห็นรอยยิ้มน้อยๆบนใบหน้าวิโอแลนก่อนที่จะหายไป ท่านเคานต์เดอรัชผู้ที่รับฟังการสนทนานี้ตั้งแต่เริ่มต้นเขาได้กระแอมไอเพื่อปกปิดรอยยิ้มที่เพิ่มขึ้นอย่างช้าๆบนใบหน้าของตนก่อนเอ่ยถามคาร์ล

 

“เจ้าได้ตรวจสอบข้อมูลจากฮันส์เกี่ยวกับนิสัยส่วนตัวและลักษณะท่าทางของขุนนางที่จะไปเมืองหลวงหรือไม่?”

 

เคานต์เดอรัชได้ใช้เครือข่ายของเขาเองรวมถึงติดต่อขอซื้อข้อมูลกับหน่วยลับขายข่าวเพื่อซื้อข้อมูลเกี่ยวกับขุนนางคนอื่นๆและได้สั่งให้ฮันส์มอบให้คาร์ลไปก่อนหน้านี้แล้ว

 

“ขอรับ…มันสนุกดี”

 

อาจเป็นเรื่องยากที่จะซื้อข้อมูลดังกล่าวได้ ในความเป็นจริงอาจจะใช้โชคช่วยแม้ว่ามันจะมีเพียงสามหรือสี่บรรทัดเกี่ยวกับข้อมูลของแต่ละคน แต่มันก็มีค่าและมีราคาแพงในการซื้อข้อมูลเกี่ยวกับขุนนาง

 

“มีทั้งคนขี้ขลาด บางคนโง่ บางคนเก่งและน่ากลัว แม้บางคนที่หมดหวังจะมีอำนาจก็มี ดูเหมือนว่าทุกสิ่งทุกอย่างจะมารวมกันในครั้งนี้”

 

แน่นอนว่ามีคนดี คนโง่ คนเลว และขยะไร้ค่าอีกด้วย

 

“อืม…ลูกได้อ่านข้อมูลที่พ่อส่งให้แล้ว เอ่อ……ทำตามที่เจ้าต้องการเถิด แต่ว่าคาร์ล…….”

 

“ขอรับท่านพ่อ?”

 

“พ่อได้ยินข่าวลือแปลกๆ”

 

ไหล่ของคาร์ลสะดุ้งขึ้นเล็กน้อยและไม่มีใครทันสังเกตเห็น

 

“พ่อได้ยินมาว่าต้นไม้กินคนมันเปลี่ยนจากสีดำเป็นสีขาว มันมีใบไม้สีน้ำเงินสวยงามแม้ว่าในบริเวณนั้นจะไม่มีอะไรที่สามารถทำให้มันเติบโตเป็นเช่นนี้ได้”

 

สถานที่ที่มีการเปลี่ยนแปลงและถูกกล่าวถึงมากที่สุดในช่วงสี่วันที่ผ่านมาคงไม่มีที่อื่นนอกจากยอดเนินเขาในสลัมนั่นมันเป็นสถานที่ที่ต้นไม้กินคนสีดำตั้งอยู่ แต่ตอนนี้มันได้เปลี่ยนเป็นต้นไม้สีขาวมีใบสีฟ้าสวยงาม หลังจากที่คาร์ลได้แก้ไขความเสียใจของมันและตอนนี้มันก็กลายมาเป็นต้นไม้สีสันสวยงามที่ดูเหมือนต้นไม้ของพระเจ้าเป็นอย่างยิ่ง

 

“มันไม่ได้เป็นข่าวลือที่น่าสนใจใช่มั้ย?”

 

“มันเป็นข่าวลือที่น่าสนใจมากขอรับ…ท่านพอ”

 

คาร์ลไม่มีความคิดที่จะเปิดเผยพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่เขาทราบในตอนนี้ เขาจึงแสร้งทำเป็นไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน ไม่มีทางที่ท่านเคานต์เดอรัชจะไม่รู้ว่าเขาได้เข้าไปที่สลัมนั่น อย่างไรก็ตามท่านเคานต์ไม่ทราบถึงพลังศักดิ์สิทธิ์นั่นเขาจึงได้แต่สงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับคาร์ลและต้นไม้กินคนนั่น

 

“มันอาจเป็นเรื่องแปลกแต่มันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร ตราบใดก็ตามที่ท่านพ่อสนใจแต่ข่าวลือเช่นนั้น…มันไม่มีอะไรน่ากลัวไปกว่าตาและปากของมนุษย์หรอกนะขอรับ ส่วนสิ่งที่เกิดขึ้นภายในอาณาเขตเฮนิตัสก็คงจะเป็นเรื่องดีสำหรับสมาชิกครอบครัวของเราแล้วนี่ขอรับ..”

 

“อ่า…พ่อจะเก็บมันไว้ในใจ”

 

คาร์ลรู้สึกว่าเขาสามารถมีชีวิตที่สงบได้ตราบเท่าที่เขายังอยู่ในอาณาบริเวณของตน วิธีที่ดีสุดคือการเดินทางกลับมาจากเมืองหลวงให้เร็วที่สุดและใช้ชีวิตที่แสนสุขสบายอยู่ที่นี่จนตายไปข้างนั่นล่ะ

 

อาหารเช้าสุดหรูที่จัดเตรียมขึ้นสำหรับคาร์ลก่อนเดินทางไปเมืองหลวงสิ้นสุดลง เขาได้รับการกล่าวอำลาจากท่านเคานต์เดอรัชและเคานต์เตสวิโอแลนเพราะทั้งสองมีภารกิจที่ต้องไปจัดการจึงไม่สามารถอยู่ได้นาน ก่อนที่คาร์ลจะหันไปสบตากับพี่น้องของตน

 

“มีอะไร?”

 

บาเซ็นน้องชายของเขาเพียงส่ายหน้าเบาๆกับคำถามของคาร์ล และลิลลี่น้องสาววัย 7 ขวบของคาร์ลก็ค่อยๆเดินมาหาอย่างช้าๆ น้องสาวของเขามีอายุห่างจากเขาถึง 11 ปี

 

“ท่านพี่ เดินทางปลอดภัยนะเจ้าค่ะ”

 

“ขอบใจเจ้ามาก เจ้าก็อยู่ที่นี่อย่างปลอดภัยเช่นกัน”

 

ลิลลี่พยักหน้าตอบรับอย่างช้าๆแต่หนักแน่น

 

“เจ้าค่ะ”

 

ก่อนจะลอบมองคาร์ลเงียบๆ และพูดขึ้น

 

“ข้าจะเลือกซื้อของขวัญมาให้เจ้าในตอนที่เดินทางไปเมืองหลวง”

 

“จริงหรือเจ้าค่ะ?”

 

‘ฉันเดาว่าเธอคงอยากได้ของขวัญ’

 

คาร์ลพยักหน้าตอบรับขณะที่ลอบสังเกตการแสดงออกบนใบหน้าของลิลลี่ที่มีทั้งอาการประหลาดใจและมีความสุขสลับไปมาบนใบหน้าของเธอ

 

“จริงสิ…เจ้าอยากได้อะไร”

 

“ดาบ..”

 

“หืม…อะไรนะ”

 

“โปรดซื้อดาบให้น้องด้วยเจ้าค่ะ”

 

‘เด็กผู้หญิงอายุ 7 ขวบอยากได้ดาบเป็นของขวัญ?’

 

เมื่อเห็นใบหน้าที่ตกตะลึงเล็กน้อยของคาร์ล บาเซ็นเลยพูดขึ้น

 

“ความฝันของลิลลี่ในตอนนี้คือการเป็นนักดาบขอรับท่านพี่”

 

“เช่นนั้นหรือ?”

 

คาร์ลมองไปที่ลิลลี่อย่างจริงจัง คนในตระกูลนี้มีแขนยาว ขายาวและรูปร่างที่ดี ตอนนี้ลิลลี่มีอายุเพียง 7 ขวบแต่หากเธอโตขึ้นอาจสามารถกลายเป็นนักดาบที่ดีได้ถ้าเธอใส่ความพยายามและตั้งใจลงไป

 

“ข้าคิดว่ามันเหมาะกับเจ้าดีนะ”

 

ดวงตาของลิลลี่เริ่มเป็นประกาย

 

“ข้าจะซื้ออันที่แพงที่สุดมาให้เจ้า”

 

ลิลลี่เริ่มยิ้ม…เธอเกิดความลำบากใจขึ้นเล็กน้อยก่อนจะก้มศีรษะให้คาร์ลช้าๆ แน่นอนว่าคาร์ลไม่เห็นอาการที่เกิดขึ้นกับลิลลี่ ก่อนที่เขาจะหันไปยังน้องชายวัย 15 ปีของตนผู้ที่กำลังจ้องเขาอยู่ไม่วางตา

 

“เจ้าอยากได้อะไรบ้างหรือไม่?”

 

“ปากกาหมึกซึมขอรับ”

 

“อ่า…ข้าเข้าใจแล้ว”

 

อาหารเช้าสิ้นสุดลงทันทีที่เขาได้รับปากว่าจะซื้อของขวัญกลับมาให้กับพี่น้องของตน

 

***********************************************************************************************************************

 

การแสดงออกของคาร์ลในตอนนี้ แปลกประหลาดเล็กน้อยเมื่อเขายืนอยู่หน้ารถม้าที่จะใช้เดินทางไปยังเมืองหลวง

 

‘อ่า…..มันแปลก’

 

เขามีความรู้สึกแปลกใจก่อนที่จะเอ่ยถามคนที่ยืนอยู่ข้างๆเขา

 

“ทำไมที่นั่งของพวกมันถึงดีกว่าที่นั่งของข้ามากนัก?”

 

สายตาของคาร์ลยังจ้องไปที่เบาะราคาแพงและอ่อนนุ่มที่อยู่ข้างๆที่นั่งของเขาตอนนี้มันมีเจ้าแมวสองพี่น้องจับจองเป็นเจ้าของอยู่

 

“นายน้อยขอรับเราไม่ควรให้ลูกแมวที่มีค่าต้องเดินทางไปกับเราอย่างยากลำบากเช่นนั้น?พวกมันทั้งตัวเล็กและบอบบางมากนะขอรับ”

 

ฮันส์เป็นคนเอ่ยตอบเขาขณะที่กำลังใส่อาหารสุดพิเศษสำหรับแมวลงในถาดที่เตรียมไว้บนรถม้าเช่นกัน คาร์ลและรอนต่างมีสีหน้าที่ว่างเปล่าเมื่อได้ยินและเห็นภาพตรงหน้า

 

เป็นเพราะฮันส์ไม่ได้เห็นว่าพวกมันสามารถสร้างหมอกและเติมพิษเข้าไปในหมอกได้ต่างหากเล่าคาร์ลได้เรียกให้ออนและฮงไปหาเขาที่มุมอับของสวนเมื่อสามวันก่อน

 

‘พวกเจ้าทำอะไรได้บ้าง?’

 

เพื่อแสดงความสามารถของพวกมันให้คาร์ลได้เห็น ออนได้สร้างหมอกทึบขึ้นรอบตัวก่อนที่ฮงจะใช้เลือดของมันเพื่อกระจายเป็นพิษเข้าไปในหมอกนั่น แน่นอนว่าออนสามารถควบคุมหมอกพิษเพื่อไม่ให้สามารถทำอันตรายแก่คาร์ลได้ และเป็นอันแน่ชัดเช่นกันว่าพิษที่ฮงสร้างขึ้นสามารถทำอันตรายได้จนถึงขั้นพิการหรือตายได้ทีเดียว

 

‘เจ้าทั้งสองมีประโยชน์มาก’

 

ออนและฮงพยักหน้าตอบรับคำชมเชยของคาร์ลก่อนจะเอ่ยขึ้นทันที

 

‘เราสามารถวิ่งหนีจากอันตรายได้ด้วยหมอกพิษของเราเอง’

 

‘พวกเรามีประโยชน์มาก’

 

ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาออนและฮงก็ได้กินอาหารที่มีรสชาติอร่อยได้ตลอดทั้งวัน และนั่นเป็นสิ่งที่ทำให้ฮันส์มีความสุขมากที่ได้มอบสิ่งดีๆให้กับลูกแมวทั้งสองตัว

 

“นายน้อยขึ้นไปนั่งบนรถม้าเถิดขอรับ…กระผมจะนั่งกับคนขับรถม้าเอง”

 

“ตกลง”

 

รอนกระโดดขึ้นไปนั่งข้างคนขับรถม้าและคาร์ลกำลังจะขึ้นไปนั่งบนรถม้าด้วยเช่นกันแต่เชวฮันได้เดินเข้ามาหาเขาก่อน

 

“ท่านคาร์ลขอรับ”

 

หลังจากตกลงทำตามความต้องการของคาร์ลแล้ว เชวฮันก็แจ้งกับคาร์ลว่าเขาไม่ต้องการเรียกคาร์ลว่านายน้อยแต่จะเรียกว่าท่านคาร์ลแทน

 

“มีอะไรหรือ?”

 

“มันจะดีหรือขอรับที่กระผมไม่ได้นั่งรถม้าคันเดียวกับท่านเพื่อคอยคุ้มครอง…?”

 

คาร์ลมีอาการชะงักและเกิดความกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย

 

“….มี….”

 

‘มีเหตุผลที่จะต้องทำเช่นนั้นด้วยเหรอ?’

 

นั่นคือสิ่งที่เชวฮันคิดว่าคาร์ลได้แสดงออกมาทางท่าทางและสายตา เขาไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาเพียงแค่ก้มหน้าตอบรับให้คาร์ลเพื่อที่จะขอตัวออกไป คาร์ลจ้องมองไปที่เชวฮันที่กำลังจะเดินออกไป

 

‘นี่มันแปลกมาก…..’

 

แววตาของเชวฮันยังไม่แจ่มใสนัก จิตใจของเขาดูเหมือนจะเต็มไปด้วยความโกรธและคิดแก้แค้นอยู่ตลอดเวลา เมื่อวันก่อนคาร์ลได้แจ้งแก่เชวฮันว่าเขาได้ส่งคนไปที่หมู่บ้านแฮร์ริสและนั่นเขาได้เห็นแววตาของความโกรธแค้นของเชวฮันแต่มันมีบางอย่างที่ต่างไปเล็กน้อย เขาไม่ได้อยู่ในความสิ้นหวังเช่นเดียวกับในนิยาย คาร์ลยังจำได้ดีกับประโยคนั้น

 

‘โลกนี้ไม่ต้องการให้ข้ามีความสุขเช่นนั้นหรือ? ทำไมพวกมันถึงต้องฆ่าคนที่ข้ารักไปจนหมด?’

 

และนั่นเป็นเหตุผลที่มันแปลก เชวฮันฟื้นสภาพจิตใจได้เร็วมาก

 

ในนิยายดูเหมือนเขาจะสามารถเริ่มฟื้นสภาพจิตใจได้ตอนที่ร่วมเดินทางไปกับบารอค โรสลินและล็อก ตอนนั้นเขามีเพียงดาบที่เก็บไว้ในใจ [1]แต่ภายนอกต้องแสดงอาการที่เงียบสงบ เขายังคงปล่อยให้มันเป็นเช่นนั้นแม้มันเป็นเรื่องที่ไม่ดีก็ตาม แต่คาร์ลก็รู้สึกขมในปากและประหลาดในใจยิ่งนัก

 

ขณะนั้นเอง….

 

“ข้าคิดว่านี่ไม่ใช่จุดที่เจ้าต้องอยู่”

 

เป็นเสียงของหัวหน้าคณะผู้ติดตามในครั้งนี้ เขาเป็นรองหัวหน้ากองพลทหารองครักษ์ของเมืองแห่งนี้ เขาค่อยๆเดินเข้าไปใกล้เชวฮันก่อนพูดประโยคนั้นขึ้น รองหัวหน้าองครักษ์เหลือบมองเชวฮันด้วยรอยยิ้มสดใสเขามองตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างเย้ยหยันเสียมากกว่า

 

‘ฉันรู้ดีว่าในคณะพวกเราจะมีคนประเภทนี้อย่างน้อยหนึ่งคนล่ะนะ’

 

คาร์ลเดาะลิ้นตัวเองเบาๆ

 

เชวฮันซ่อนความสามารถที่แท้จริงของเขาเอาไว้ มันเป็นเช่นนั้น

 

ปัญหาก็คือเชวฮันเป็นแขกคนแรกที่เขาพาเข้าไปยังคฤหาสน์เฮนิตัสและความจริงที่ว่าท่านเคานต์เดอรัชปฏิบัติต่อเขาเฉกเช่นแขกคนสำคัญ

 

และความจริงอีกประการคือเชวฮันกำลังจะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของทีมอารักขาแก่คาร์ล ทำให้บางคนเริ่มที่จะไม่ชอบและต่อต้านเชวฮัน พวกเขาไม่ได้เข้ามารบกวนเชวฮันอย่างออกนอกหน้าเพราะเชวฮันยังถือเป็นแขกของคาร์ลแต่พวกเขาก็ยังคงแอบกลั่นแกล้งเชวฮันอยู่เสมอเมื่อสบโอกาส

 

‘นายน้อยกระผมคิดว่าท่านเชวฮันไม่น่าจะเข้ากับเหล่าทหารองครักษ์ที่จะร่วมเดินทางไปยังเมืองหลวงกับเราได้’

 

‘เป็นเช่นนั้นหรือ?’

 

‘ขอรับ…กระผมคิดว่ารองหัวหน้าทหารองครักษ์เป็นผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้’

 

‘อ่า….ข้าเข้าใจแล้วฮันส์ เจ้าหยุดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้เถิด’

 

คาร์ลนึกถึงรายงานของฮันส์ที่แจ้งต่อเขาและรู้สึกแย่ขึ้นมา ไม่ใช่รู้สึกแย่ต่อเชวฮันแต่เป็นรองหัวหน้าองครักษ์คนนั้นต่างหาก

 

‘มันยังเร็วไปที่เขาจะรู้ว่าดวงตาของเขามันไม่ได้อยู่บนพื้นดินแต่มันอยู่ใต้พื้นดินต่างหาก’ [2]

 

มันจะยังใช้ได้ดีตราบใดที่เขายังไม่ถูกทำร้าย

 

คาร์ลไม่ได้คิดที่จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นสำหรับพวกเขา รองหัวหน้าองครักษ์จะไม่สามารถนอนหลับได้สนิทนักหากเห็นฝีมือที่แท้จริงของเชวฮัน เขาจะหลับลงได้อย่างไรเพราะเขาจะต้องกลัวมันมากเป็นแน่?

 

“เราจะออกเดินทางกันตอนนี้เลยหรือไม่ขอรับ?”

 

รองหัวหน้าองครักษ์เอ่ยถามคาร์ลทันทีเมื่อเห็นคาร์ลจะปิดประตูรถม้า

 

“ใช่….ออกเดินทางได้”

 

ทหารยาม 15 นาย ทหารองครักษ์ 5 นายและอีก 1ผู้อารักขาคนพิเศษสำหรับคาร์ล กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้ที่จะดูแลคุ้มครองความปลอดภัยตลอดการเดินทางและรวมถึงข้ารับใช้อีกส่วนหนึ่งก็ได้เริ่มเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

 

เช่นเดียวกับการเดินทางท่องเที่ยวในโลกนิยายส่วนใหญ่จะมักไม่ใช่การเดินทางที่ราบรื่นนัก ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ขบวนรถม้าของคาร์ลในอาณาเขตเฮนิตัส ขบวนรถม้านี้ไม่ได้มีธงที่เป็นตัวแทนของตระกูล แต่ตัวรถม้ามีเต่าสีทองซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของตระกูลเฮนิตัสประดับอยู่ มันเป็นตัวแทนของความรักในตระกูลเฮนิตัสที่แสดงถึงความมั่งคั่งและอายุยืน

 

อย่างไรก็ตามเมื่อพ้นเขตเฮนิตัส พวกเขาก็ต้องพาตัวเองเข้าไปเผชิญสถานการณ์ที่เป็นอันตรายอยู่ดี

 

‘ตามที่คาดไว้จริงๆ’

 

ขณะที่ขบวนรถม้ากำลังวิ่งผ่านภูเขาสูงชัน ก็มีกลุ่มคนหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นที่หุบเขาแห่งนี้

 

“จงจ่ายค่าผ่านทางมา หากพวกเจ้าต้องการผ่านภูเขาลูกนี้ไป!”

 

“จงมอบทุกอย่างที่พวกเจ้ามีมาให้พวกข้า หากพวกเจ้าตุกติกแอบซ่อนข้าวข้องมีค่าไว้อีกพวกข้าจะจัดการตบปากพวกเจ้าเท่ากับจำนวนเหรียญทองที่พวกเจ้าซุกซ่อนเอาไว้”

 

ใช่…พวกนั้นคือโจร

 

มันได้ถูกกล่าวไว้นิยายเล่มนี้ว่ามีกลุ่มโจรออกปล้น แต่ความจริงที่ว่ามีโจรนับสิบคนทำให้เขารู้สึกประหลาดใจได้เช่นกัน พวกเขาอาจต้องอาศัยจำนวนคนเท่านี้เพื่อโจมตีรถม้าที่มีทหารองครักษ์เพียง 5 นาย คาร์ลหันหน้าไปมองลูกแมวที่กำลังหาวก่อนเอ่ยถาม

 

“พวกเจ้าคิดว่า…โจรกลุ่มนั้นมองไม่เห็นสัญลักษณ์บนรถม้าของข้าหรือ?”

 

“ข้าคิดว่ามันเป็นเช่นนั้น..”

 

คาร์ลพยักหน้าให้กับการประเมินสถานการณ์ของฮง เขาในตอนนี้ไม่ได้รู้สึกกลัวโจรเลยสักนิด ทำไมเขาถึงเป็นเช่นนี้?

 

ก๊อก ก๊อก ก๊อก

 

เสียงเคาะเรียกเบาๆดังมาหน้าต่างบานเล็กๆที่นั่งของคนขับรถม้าก่อนที่หน้าต่างจะเปิดขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่รอนจะมองเข้ามาภายในรถม้า

 

“นายน้อยดูเหมือนเราต้องผ่อนหยุดพักครู่…ดูเหมือนว่าตอนนี้จะมีกระต่ายเป็นจำนวนมาก”

 

กระต่าย….คาร์ลชะงักไปครู่หนึ่งเมื่อได้ยินคำกล่าวของรอน ‘อ่า…………..’

 

ก่อนที่รอนจะขอตัวออกไปพร้อมรอยยิ้มที่เข้ามาแทนที่ทันทีที่พูดจบพร้อมกับกล่าวเบาๆให้คาร์ลได้ยิน

 

“อา……กระต่ายพวกนี้ดูแตกต่างจากกระต่ายที่กระผมจะจับให้นายน้อย พวกมันจะไม่ถูกกระผมจับแต่พวกมันจะโดนคนอื่นจับแทนเสียนี่…”

 

คาร์ลได้รับการคุ้มครองโดยกลุ่มคนที่น่ากลัวกว่าพวกโจร เสียงกรีดร้องของพวกโจรลอดผ่านเข้ามาจากด้านนอกรถม้าเมื่อเขาเริ่มคำนวณเวลา

 

“ประมาณหนึ่งวันครึ่ง”

 

ประมาณหนึ่งวันครึ่งที่พวกเขาจะไปถึงบริเวณที่มังกรดำถูกทรมาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เชวฮันได้เดินทางมาถึงตามเนื้อหาในนิยาย นั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขาเดินทางโดยไม่ได้หยุดพัก

 

[1] หมายถึง ดูสงบจริงๆแม้ว่าเขาจะยังมีความปรารถนาที่จะแก้แค้นอยู่ภายในใจก็ตาม

 

[2] หมายถึง ตาบอดจริงๆ

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "บทที่ 14 ออกเดินทาง 1"

0 0 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

Iam in Hollywood
Iam in Hollywood
มีนาคม 12, 2022
The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา
The Alchemist God ทะลุมิติเทพศาสตรา
มกราคม 12, 2023
111
ฮอกวอตส์ ฉันคือพ่อมดต้นแบบ
มิถุนายน 27, 2024
การจัดอันดับเต๋าสวรรค์: ฉันถูกเปิดเผยในฐานะเทพเจ้าดาบ
การจัดอันดับเต๋าสวรรค์: ฉันถูกเปิดเผยในฐานะเทพเจ้าดาบ
พฤษภาคม 20, 2022
Player Who Returned 10,000 Years Later
Player Who Returned 10,000 Years Later
มีนาคม 12, 2022
Bringing Culture to a Different World
Bringing Culture to a Different World
พฤษภาคม 17, 2022
Tags:
แฟนตาซี
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (5)
  • แฟนตาซี (161)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz