หน้าแรก Amnovel
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
ค้นหา
ค้นหาขั้นสูง
เข้าสู่ระบบ สมัครสมาชิก
  • หน้าแรก
  • นิยายทั้งหมด
  • เติมเงิน
  • ติดต่อเรา
  • เข้าสู่ระบบ
เข้าสู่ระบบ
Prev
Next

ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family) - บทที่ 5 ได้พบกัน 2

  1. หน้าแรก
  2. ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family)
  3. บทที่ 5 ได้พบกัน 2
Prev
Next

บทที่ 5 ได้พบกัน 2  

 

‘เขาจะถูกไล่ออกจากประตูเมืองในตอนเช้า’

 

เชวฮัน มุ่งหน้าไปยังทิศทางตามที่ชาวบ้านผู้รอดชีวิตได้บอกเอาไว้ หลังจากที่เขาฝังศพชาวบ้านอันเป็นที่รักเสร็จสิ้นเขาก็มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองเวสเทิร์นทันที

 

เชวฮัน ถูกส่งเข้ามายังโลกใบนี้ในขณะที่เขายังเรียนชั้นมัธยม แต่เขาก็อยู่ที่นี่เป็นเวลาหลายสิบปีแล้ว แน่นอนว่าการใช้ชีวิตอยู่ในป่าแห่งความมืดอาจจะทำให้เขาโตมาแบบผิดเพี้ยนเล็กน้อยและด้วยเหตุนี้เขาจึงมีความหวังกับสิ่งที่จะทำหลังจากเหตุการณ์นี้เกิดขึ้น

 

‘ข้าต้องไปรายงานเรื่องนี้ให้ท่านผู้ครองนครทราบ’

 

หมู่บ้านแฮร์ริสอาจเป็นหมู่บ้านที่ห่างไกลแต่ก็ยังอยู่ในอาณาเขตการปกครองของเฮนิตัส นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้เชวฮันมุ่งหน้ามายังเมืองเวสเทิร์น อย่างน้อยก็ต้องมีการจัดพิธีศพให้กับชาวบ้านที่ตายไป เขายังวางแผนที่จะตามหาตัวฆาตกรที่อยู่เบื้องหลังการฆาตกรรมในครั้งนี้เพราะหมู่บ้านที่เคยสงบสุขต้องหายไปด้วยน้ำมือของพวกมัน เขาแค้นใจยิ่งนักแต่การส่งคนตายให้ไปอย่างสงบต้องมาก่อนความแค้น

 

‘ถ้าจะให้พูดจริงๆเชวฮันเป็นคนที่น่ารักคนหนึ่ง’

 

แต่การสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักอีกทั้งการใช้ชีวิตในป่าแห่งความมืดมานับสิบปีก็ทำให้เขามีวิธีคิดและอารมณ์ที่ต่างจากคนอื่นพอสมควร ในนิยายเรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อคาร์ลได้เจอกับเชวฮันก่อนจะปะทะคารมกันขึ้น เขายังจำได้ดีถึงประโยคที่คาร์ลพูดกับเชวฮัน

 

[“พ่อของข้าทำไมต้องมาสนใจชาวบ้านที่ไร้ประโยชน์พวกนี้ด้วย?เหล้าในมือของข้ายังมีค่ามากกว่าชีวิตของพวกเจ้ารวมกันเสียอีก ]

 

เชวฮันเริ่มหัวเราะไปกับคำพูดของคาร์ล ขณะที่เขาถามกลับในทันที

 

[“เป็นความคิดที่น่าสนใจอะไรเช่นนี้ ข้าอยากรู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนความคิดหรือไม่? ”]

 

[“’งั้นมาสู้กันสักตั้งเป็นไง”?]

 

การต่อสู้จบลงด้วยการที่คาร์ลถูกตียับเยินจนเกือบเอาชีวิตไม่รอดแต่สิ่งที่น่าทึ่งกว่านั้นคือคาร์ลไม่เคยคิดที่จะเปลี่ยนความคิดของตนแม้จะถูกตียับเยินเพียงใดก็ตาม

 

‘อา….รู้สึกขนลุกขึ้นมาเลย’

 

คาร์ลเริ่มถูมือตัวเองไปมาก่อนเรียกกำลังใจให้ตัวเองเพื่อหยุดอาการจิตตกที่เกิดขึ้น ก่อนจะหยิบชาที่ บิลอสนำมาเสริ์ฟขึ้นจิบช้าๆพลางมองออกไปนอกหน้าต่างอีกครั้งเพื่อเพ่งมองเป้าหมายของตนต่อไป

 

‘นั่นมันเรื่องเหลวไหลอะไรกัน’

 

ในตอนที่ประตูเมืองถูกเปิดออกจะปรากฏเห็นชายคนหนึ่งที่เนื้อตัวสกปรกมอมแมมตามเสื้อผ้าเต็มไปด้วยคราบเขม่าควันไฟ ผู้ชายคนนั้นคือเชวฮัน

 

คาร์ลไม่ได้ลุกขึ้นแสดงอาการใดๆเมื่อเขามองเห็นเชวฮัน ถือว่าชายคนนี้เก่งมากเขาสามารถเดินทางเหมือนคนบ้าด้วยระยะทางที่คนปกติต้องใช้เวลาเดินทางเป็นสัปดาห์ด้วยเวลารวดเร็วขนาดนี้ แต่จะว่าไปด้วยรูปลักษณ์ของเชวฮันตอนนี้ก็ยากที่จะผ่านเข้าเมืองมาได้

 

ทหารเฝ้าประตูเมืองทำหน้าที่ในการป้องกันการบุกรุกเข้าเมืองของเชวฮันทุกวิถีทาง คาร์ลไม่รู้ว่าพวกเขาพูดอะไรกันเห็นเพียงแต่เชวฮันสั่นศีรษะต่อหน้าทหารจนคอแทบหัก

 

‘สงสัยจะถามหาป้ายประจำตัว’

 

เจ้าหน้าที่ของเมืองเวสเทิร์นมักเป็นคนอ่อนโยนใจดี แต่พวกเขาก็เคร่งครัดกับกฎที่ต้องปฏิบัติเช่นกันเพราะพวกเขายึดมั่นกับกฎระเบียบที่ท่านเคานต์เดอรัชวางไว้

 

“ไล่เขาออกไปซะแล้ว”

 

ตามที่คาดไว้เชวฮันยอมทำตามความต้องการของทหารเฝ้าประตูเมือง ถึงแม้ความยากลำบากในการเดินทางตลอดทั้งวันและความบอบช้ำในจิตใจที่เขาได้รับอาจทำให้อารมณ์โกรธเคืองเพิ่มขึ้นแต่จิตใต้สำนึกด้านดีของเขาสั่งไม่ให้ทำร้ายผู้บริสุทธิ์

 

‘เชวฮัน คงรอให้ถึงเวลากลางคืนก่อนจะลอบปีนกำแพงเมืองเข้ามา’

 

จากนั้นเขาจึงไปเจอคาร์ลที่กำลังยุ่งอยู่กับการดื่มเหล้าจนเกิดการปะทะคารมกันในที่สุด

 

ครืดดด……เสียงลากของเก้าอี้ที่ถูกผลักออกก่อนที่คาร์ลจะลุกเดินออกไปอย่างรวดเร็ว เขาเดินลงบันไดเพื่อแจ้งความต้องการต่อบิลอสที่ยังอยู่หน้าเคาน์เตอร์

 

“เดี๋ยวข้ากลับมา ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตอนไหน”

 

“ได้ขอรับนายน้อยคาร์ล หวังว่าท่านจะกลับมาเร็วๆนี้”

 

คาร์ลไม่ได้สนใจรอยยิ้มที่ถูกประดับบนใบหน้ากลมแป้นของบิลอสขณะที่เดินออกมาจากร้าน

 

“เขาไม่ได้ทำลายข้าวของอะไรเลย!”

 

คาร์ลได้ยินเสียงใครบางคนดังลอดออกมาจากภายในร้านแต่เขาไม่ได้สนใจ เขาต้องการที่จะไปหาโล่ห์นิรันดร์กาลภายในวันนี้

 

โล่นิรันดร์กาล

 

มันอาจไม่ได้ถูกกล่าวว่าเป็นอาวุธที่ดีที่สุดอาจจะเทียบไม่ได้กับเหล่าอาวุธของเหล่านักเวทย์แต่อย่างไรก็ตามความพิเศษที่มันมีเหนือกว่าอาวุธใดๆก็คือโล่นี้ถูกสร้างด้วยนักเวทย์ระดับสูงที่มีพลังเหนือกว่านักเวทย์ธรรมดา สิ่งที่น่าตลกกว่านั้นก็คือผู้ที่สร้างโล่นี้ขึ้นมาต้องจบชีวิตลงด้วยความตาย บ้างก็เลือกไปเป็นบุตรรับใช้พระเจ้าแต่ก็มีเหตุให้ถูกขับไล่ออกมาจนได้

 

‘มีแต่เรื่องแปลกๆในนิยายเรื่องนี้’

 

เช่นเดียวกับประวัติศาสตร์ในโลกของจินตนาการ โลกนี้ยังมีประวัติศาสตร์อันเก่าแก่ ในยุคอดีตนั้นพวกเขาไม่ได้มีการพัฒนาเวทย์มนต์หรืออาวุธใดๆ แทนที่จะเป็นยุคที่มีการพัฒนาพลังเวทย์หรือพลังที่เกิดจากการสร้างสรรค์ของธรรมชาติ แต่กลับกลายเป็นยุคที่ผู้มีอำนาจสูงสุดคือพระเจ้าและพลังศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติ

 

ถึงแม้ในโลกนิยายแห่งนี้จะมีพลังศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นซ่อนอยู่ที่ใดสักแห่งบนโลกใบนี้ แต่มันก็ไม่ได้ตอบโจทย์เสมอไปว่าเราจะสามารถใช้พลังเหล่านั้นได้โดยไม่มีเงื่อนไข

 

พลังศักดิ์สิทธิ์โบราณ

 

เหล่าวีรบุรุษพวกนี้จะสามารถหาพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณเหล่านี้พบได้หรือไม่นั้นแต่พลังเหล่านี้มันก็ไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้นำของเหล่าวีรบุรุษคนอื่นๆได้

 

นี่คือพลังที่คาร์ลกำลังมองหา

 

‘ทุกๆอย่างยกเว้นพลังของพระเจ้า’

 

ไม่ว่าจะเป็นพระเจ้า เทวดาหรือปีศาจ คาร์ลไม่ต้องการมีส่วนร่วมอะไรกับพวกเขา นั่นคือเหตุผลที่คาร์ลมองหาพลังที่มนุษย์พัฒนาขึ้นเองหรือมาจากธรรมชาติสร้างขึ้น

 

‘นั่นคงเป็นทางเดียวที่ฉันจะแน่ใจว่าจะมีพลังโดยไม่ต้องใช้ความพยายามใดๆเลย’

 

พลังนั่นคือสิ่งที่เขาต้องการ เขาไม่ต้องการที่จะต้องมาฝึกจับดาบหรือฝึกเวทย์มนตร์ใดๆ เขารู้ว่าอารยะธรรมโบราณในนิยายเรื่องกำเนิดวีรบุรุษไม่ได้มีความเข็งแกร่งมากพอ อารยะธรรมที่อาจมุ่งเน้นการพัฒนาพลังเวทย์และการรวมกำลังพลของผู้มีพลังเวทย์โดยทิ้งพลังที่ถูกสร้างมาจากธรรมชาติไว้ข้างหลัง มหาอำนาจก็เช่นกันหากมหาอำนาจใดอ่อนแอก็ถูกกำจัดทิ้ง มันไม่ได้มีเหตุผลอะไรที่เขาจะทำเหมือนเหล่าวีรบุรุษพวกนั้นอาจเพียงแค่จะใช้พลังเหล่านั้นเท่าที่จำเป็นเพียงเล็กน้อย

 

‘เป้าหมายของฉันคือการรวบรวมพลังเหล่านั้นให้แข็งแกร่งขึ้น’

 

มันเป็นเป้าหมายที่น่าพอใจเพราะเขารู้ว่าพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณสามารถเสริมพลังในยุคนี้ให้แข็งแกร่งขึ้นได้ เพื่อที่จะทำตามแผนการแรกได้เขาจะต้องเริ่มหาพลังศักดิ์สิทธิ์โบราณที่ซ่อนอยู่ในเมืองเวสเทิร์นแห่งนี้ เขารู้ดีว่าทำอย่างไรเขาจะได้รับพลังเหล่านั้น

 

“นายน้อยคาร์ล ยินดีต้อนรับขอรับ”

 

คาร์ลเพียงพยักหน้าตอบรับแก่พ่อค้าขายขนมปังที่ก้มโค้งต่ำให้ตน ดูเหมือนว่าถ้าก้มมากกว่านี้หัวของเขาต้องล้มกระแทกพื้นเป็นแน่ คาร์ลได้ยินเสียงอุทานอะไรบางอย่างจากพ่อค้าขนมขนมปังแต่เขายังคงแสร้งทำเป็นไม่สนใจท่าทางที่หวาดกลัวตนเองจนเกิดเหตุ จนรู้สึกไม่ดีต่อสิ่งที่ไอ้ขยะคนนี้ทำกับพ่อค้าขนมปังคนนี้เสียแล้ว

 

“เอาขนมปังให้ข้าด้วย”

 

“อะไรนะขอรับ??”

 

คาร์ลชี้ไปยังขนมต่างๆภายๆในร้านก่อนเอ่ยเสียงเข้ม

 

“ทุกๆอย่างจากตรงนี่ไปถึงตรงนั้น”

 

เสียงกระทบของเหรียญที่คาร์ลวางไว้บนโต๊ะเริ่มหมุนกระทบกันเป็นระยะๆ

 

“ห่อให้เรียบร้อยด้วย……”

 

พ่อค้าขนมปังดูเหมือนจะตัวแข็งค้างไปในทันทีขณะที่คาร์ลเริ่มพูดต่อ

 

“ต้องใช้ประมาณ 2 หรือ 3เหรียญทองถึงจะพอกับค่าขนมตลอดทั้งอาทิตย์นี้ใช่มั้ย?”

 

พ่อค้าขนมปังเหลือบมองเหรียญทองที่อยู่ในมือของคาร์ล นี่มันมากเกินไปด้วยซ้ำสำหรับค่าขนมปังแค่อาทิตย์เดียว คาร์ลมองสบตาที่สั่นไหวของอีกฝ่ายอย่างใจเย็น

 

“ถ้าเช่นนั้นข้าจะไปร้านอื่น ถ้าเจ้าทำตามที่ข้าสั่งไม่ได้”

 

“ไม่!…ไม่! นายน้อยคาร์ลเดี๋ยวกระผมจะห่อให้เร็วที่สุดขอรับ”

 

พ่อค้าขนมปังเปลี่ยนท่าทีจากการหวาดกลัวเป็นเคารพคาร์ลอย่างสุดซึ้งขณะที่รีบไปจัดการห่อขนมปังให้คาร์ลอย่างรวดเร็ว ใช้เวลาไม่นานคาร์ลก็ได้ขนมปังเต็มห่อใหญ่ที่มีจำนวนเยอะแทบจะสูงพ้นไหล่เขาไปแล้ว แต่ถึงมันจะเป็นเพียงขนมปังแต่ก็มีน้ำหนักไม่น้อย น้ำหนักของมันเริ่มทำให้เขาเหงื่อตกและเร่งเดินออกจากร้านโดยไม่สนใจมองพ่อค้าขนมปังที่มองตามหลังเขาจนลับสายตา

 

คาร์ลเดินไปตามถนนอย่างสบายๆ หากผู้ใดสังเกตเห็นว่าเป็นเขาต่างก็รีบหันหลังและเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ผู้คนที่นี่ต่างหลีกเลี่ยงที่จะเข้าใกล้เขากันทั้งนั้น

 

‘มันต่างจากเกาหลีจริงๆสมกับที่เป็นเมืองแห่งจินตนาการ’

 

คาร์ลมองไปรอบๆถนนที่เต็มไปด้วยร้านค้าย่อมๆเรียกว่าเป็นตลาดที่อยู่ในโลกจินตนาการอย่างแท้จริง

 

“อืมมม…” “เฮ้ย..” “ห๊ะ..”

 

เมื่อใดก็ตามที่เขาหยุดทักทายพ่อค้าตามร้านค้าต่างๆก็มักจะได้ยินเสียงอุทานด้วยความตกใจ พวกเขาพยายามหลบหน้าไม่สบตาใดๆกับเขาหรือแม้แต่ส่งเสียงตอบรับการทักทายใดๆกลับมา

 

‘ชื่อเสียงเลื่องลือสมกับที่เป็นขยะจริงๆ’ เขาคุยกับตัวเองพลางเดินผ่านตลาดไปยังทางทิตตะวันตกของเมือง

 

ชุมชนสลัมตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก ต่อให้เป็นเมืองที่ร่ำรวยเช่นไรก็ต้องมีคนจนเสมอไป ในสถานการณ์แบบนี้คนส่วนใหญ่อาจมีความคาดหวังให้เกิดสิ่งดีๆเกิดขึ้นกับสถานที่แบบนี้

 

‘ อ่า…นี่เป็นประสบการณ์ที่ดีที่ได้ทำสักครั้งก่อนตายก็คือการแบ่งอาหารให้กับผู้ยากไร้’

 

แต่นั้นคงใช้ไม่ได้กับกรณีนี้เขาไม่ได้คิดจะแจกขนมปังให้กับใคร

 

คาร์ลรู้ว่ามีคนแอบมองมาที่เขาทันทีที่ย่างกรายมายังเขตสลัมแห่งนี้ ที่นี่คือสถานที่สิ่งชั่วร้าย 2 สิ่งอาศัยอยู่ด้วยกัน

 

ถึงแม้ว่าคนในสลัมไม่ได้สนใจเรื่องราวความเป็นไปของผู้อื่นมากนักแต่ชื่อเสียงของคาร์ลก็เป็นที่เลื่องลือ คนที่มักก่อเรื่องสร้างความเสียหายให้กับร้านค้ามากมายอาจจะมาก่อเรื่องสร้างความวุ่นวายที่นี่ได้เช่นกัน

 

“ตึงๆๆๆๆ”

 

แม้ว่าพวกเขาจะรู้กิตติศัพท์ของคาร์ลเป็นอย่างดีแต่ก็ไม่สามารถปฏิเสธต่อความหอมหวานของขนมปังในมือคาร์ลได้

 

คาร์ลไม่สนใจกับสายตาที่เหลือบมอง เขายังคงมุ่งหน้าเดินต่อไป ปลายรองเท้าหนังราคาแพงของเขาเริ่มสกปรกจากน้ำครำและมาพร้อมๆกับกลิ่นเหม็นที่เริ่มเตะจมูกส่งผลให้ตาเขาหรี่ลงโดยอัตโนมัติ ก่อนที่จะก้าวเท้ายาวขึ้นเรื่อยๆ สลัมตั้งอยู่อีกด้านบนเนินเขาเล็กๆ ประกอบไปด้วยบ้านหลังเก่าๆเรียงกันทอดยาวออกไป คาร์ลกำลังมุ่งหน้าไปยังยอดของเนินเขาเมื่อใกล้ถึงที่หมายจำนวนคนที่จ้องมองมาที่เขาก็ค่อยๆหายไป สายตาคมจ้ามองทอดยาวออกไปจนสุดสายตา

 

‘อย่างน้อยจุดนี้ก็ยังดีกว่า’

 

หลังจากที่เดินออกมาพ้นจากกลิ่นเหม็นของน้ำครำแล้ว ตอนนี้เขายืนอยู่บนยอดของเนินเขา ก่อนจะมองลงไปยังเมืองเวสเทิร์นด้านล่าง แต่ถึงจุดนี้จะสูงเพียงใดก็ยังต่ำกว่าคฤหาสน์ของเจ้านายทั้งหลายที่อาศัยอยู่เมืองนี้ คาร์ลดึงตัวเองกลับมาสู่ปัจจุบันเขาเดินไปยังต้นไม้ใหญ่ที่ถูกล้อมด้วยรั้วไม้ผุๆที่มีขนาดใหญ่เท่าตัวของคาร์ล เขาผลักรั้วเข้าไปเบาๆ ต้นไม้ใหญ่ต้นนี้ดูเหมือนจะมีอายุหลายร้อยปี ต้นไม้ส่วนใหญ่ในสลัมมักจะถูกตัดนำไปทำเป็นฟืนหรือโค่นทิ้งไปเฉยๆ แต่ต้นไม้ต้นนี้กลับไม่เป็นเช่นนั้น

 

เหตุผลก็คือการที่คาร์ลได้ยินคนจากสลัม 2 คนพูดกรอกหูมาตลอดทางตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในสลัมแห่งนี้

 

“นายน้อยไม่ควรเข้าใกล้ต้นไม้นั่น”

 

คาร์ลไม่สนใจในคำเตือนนั้น และเข้าก็ได้ยินเสียงของอีกคนที่เอ่ยขึ้นด้วยความกังวล

 

“นายน้อยอย่าเข้าไปเลย มันเป็นต้นไม้กินคนนะ”

 

สาเหตุที่ทำให้คนที่นี่เรียกว่าต้นไม้กินคนเป็นเพราะหากมีผู้ใดมาผูกคอตายใต้ต้นไม้แห่งนี้ ศพของเขาจะกลายเป็นมัมมี่เพียงชั่วข้ามคืน ไม่มีแม้แต่รอยเลือดใดๆบนต้นไม้หรือแม้แต่เถาวัลย์หรือต้นหญ้ารอบต้นไม้ก็ไม่มีรอยเลือดใดๆเช่นกัน

 

นี่คือต้นไม้ที่คาร์ลกำลังมองหา

 

ในอดีตนานมาแล้วมีเรื่องเล่าว่ามีนักบวชคนหนึ่งที่เป็นผู้ที่มีความโลภต่อเงินทอง ได้นำเงินที่ได้จากแรงศรัทธาของชาวบ้านที่มีต่อสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ไปใช้ประโยชน์ส่วนตัวก่อนจะถูกขับไล่ออกมาและจบชีวิตลงด้วยความหิวโหย ต่อมาไม่นานร่างกายก็มีต้นไม้ผุดขึ้นมาจากร่าง ด้วยความแค้นและจิตที่แข็งแกร่งทำให้วิญญาณและต้นไม้รวมกันเป็นหนึ่งเดียวและถูกเรียกว่าเป็นต้นไม้กินคนมาถึงบัดนี้

 

โล่นิรันดร์กาลที่เขามองหามันอยู่ในนี้

 

มันอาจเป็นเรื่องที่แปลกแต่ส่วนใหญ่พลังจากยุคโบราณก็มักเป็นเรื่องลึกลับเช่นนี้ล่ะ

 

คาร์ลหยิบขนมปังออกจากถุงกระดาษก่อนจะสังเกตบริเวณรอบๆ มันมีโพรงขนาดใหญ่เท่าหัวคนอยู่บนต้นไม้นี้ ก่อนที่เขาจะลงมือทำอะไรเขาต้องให้คนจากสลัมออกไปจากบริเวณนี้ก่อน แต่ก่อนที่เขาจะได้ส่งเสียงพูดอะไรออกไปก็ได้ยินเสียงเอะอะโวยวายมาจากด้านนอก เพราะตอนนี้คนข้างนอกมองไม่เห็นเขาอีกทั้งตนยังก้มหน้าต่ำลงอีก ยิ่งสร้างความกังวลให้คนข้างนอกเพิ่มอีกเท่าตัว เสียงสั่นเล็กๆค่อยๆเอ่ยขึ้น

 

“นายน้อยอย่าทำเช่นนั้น ! มันถึงตายเลยนะ”

 

คาร์ลสะบัดมือตนเองเล็กน้อย ‘เฮ้ออออออ……..’

 

จำนวนคนที่เดินตามเขาตั้งแต่ย่างกรายเข้ามาในสลัมแห่งนี้ต่างทยอยถอยห่างจากเขาตั้งแต่รู้ว่าคาร์ลต้องการมายังสถานที่ตั้งของต้นไม้กินคน แต่ก็คงจะมีเพียงเจ้าของเสียงนี่ละที่ยังคงตามเขามาอยู่

 

‘ไม่ว่าโลกไหนก็ต้องมีพวกชอบสอดรู้สอดเห็นเรื่องชาวบ้านสินะ’

 

คาร์ลลูบจมูกตัวเองเบาๆก่อนหันไปยังบริเวณรอบๆอีกครั้งก่อนสายตาจะไปปะทะกับเด็กผู้หญิงอายุประมาณ 10 ขวบในมือของเธอยังจูงมือเด็กผู้ชายมาด้วย สายตาที่สบมายังเขาเต็มไปด้วยความห่วงใย เมื่อเห็นว่าคาร์ลขมวดคิ้วจ้องหน้าเธออย่างไม่ละสายตาก่อนเอ่ยปากพูด

 

“มันเป็นต้นไม้กินคน ท่านอาจตายได้นะเจ้าค่ะ”

 

“ไม่ตายหรอก”

 

คาร์ลหยิบขนมปังออกมาจากห่อก่อนโยนไปให้เด็กหญิง ไม่ต้องกังวลว่ามันจะเปื้อนดินเพราะมันได้ถูกห่อไว้อย่างแน่นหนา

 

“เอาไปกินสิ”

 

น้องชายของเธอรีบหยิบขนมปังขึ้นมาทันทีแต่เด็กหญิงยังคงลังเลอยู่ เขาจำเป็นต้องใช้ตัวตนของการเป็นไอ้ขยะคาร์ลเพื่อให้เด็กน้อย 2 คนไปให้พ้นตนเองให้เร็วที่สุด ก่อนจะลุกขึ้นยืนและชะโงกศีรษะตนให้พ้นรั้วเล็กน้อย

 

“พวกเธอ 2 คนไม่รู้จักขยะไร้ค่าคาร์ล เฮนิตัสเหรอ ?” ใบหน้าของเด็กหญิงหันไปมองหน้าน้องชายทันที น้องชายของเธอเหลือบมองไปที่คาร์ลก่อนหยิบขนมปังอีกชิ้นสำหรับพี่สาวของตนเอง ก่อนออกแรงดึงพี่สาวตัวเองเบาๆ

 

“พี่จ๋า…”

 

“อืมๆๆๆๆ” เด็กสาวหันไปมองยังต้นไม้สลับกับมองใบหน้าของคาร์ล

 

“ท่านต้องไม่ตายนะเจ้าค่ะ”

 

คาร์ลเดาะลิ้นส่งเสียงออกมาเบาๆก่อนหันไปมองรอบๆอีกครั้งเพื่อความแน่ใจว่าไม่มีใครอยู่ในบริเวณนี้อีกก่อนจะนั่งลงใต้ต้นไม้ ไม่มีใครสามารถมองเห็นสิ่งที่เขาทำได้จนกว่าจะมีใครเข้ามาภายในรั้วนี้

 

“มาเริ่มกันเลย”

 

เขาเริ่มจากการเอาขนมปังออกจากห่อก่อนยื่นลงไปในโพรงต้นไม้ก่อนจะต้องชักมือออกมาด้วยความรวดเร็วเมื่อขนมปังในมือหายเข้าไปในโพรงนั้น เขารู้สึกเย็นวาบไปทั้งลำตัวรู้สึกว่าหากชักมือออกช้าไปเพียงเสี้ยววินาทีมือของเขาอาจจะต้องถูกดูดเข้าไปภายในโพรงนั้น ความมืดในโพรงต้นไม้ยังคงเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

“หากตายด้วยความแค้น ก็ต้องแก้ไขด้วยการแก้แค้น”

 

ต้นไม้กินคนนี้ไม่ใช่ต้นไม้ที่กินคนจริงๆมันเป็นต้นไม้ที่สามารถกินอะไรก็ได้ เป็นผลข้างเคียงจากความแค้นและพลังที่ถูกทิ้งไว้โดยคนที่ตายจากความหิวโหย ถ้าจะมีเรื่องที่เกี่ยวข้องคงจะเป็นพลังลึกลับที่แข็งแกร่งภายในต้นไม้ต้นนี้… มันอาจเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แต่มันก็คือเรื่องจริง

 

‘ถ้าจำไม่ผิด เราต้องให้อาหารกับมันจนกว่าความมืดในโพรงจะหายไป’ ความมืดที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดจากร่มเงาของต้นไม้แต่มันเกิดขึ้นจากความแค้น นี่ไม่ใช่สิ่งที่ใครก็ทำได้ต้องใช้อาหารจำนวนมากถึงจะทำให้ความมืดหายไป ก่อนที่จะมีแสงสว่างที่ซ่อนอยู่ข้างใต้ปรากฏขึ้น เมื่อมันกินแสงสว่างนี้เข้าไปโล่นิรันดร์กาลจะตกอยู่ในมือของคาร์ลทันที

 

“กินทุกอย่างที่แกต้องการ”

 

คาร์ลเทขนมปังทั้งหมดที่อยู่ภายในถุงลงในโพรงทั้งๆที่โพรงเล็กๆควรเต็มไปด้วยขนมปังกลับมีแต่ความว่างเปล่าและมืดมิด

 

“ต้องหาถุงใหญ่ๆกว่านี้สัก10ถุงแล้วสิ”

 

ความมืดภายในโพรงพลันสว่างขึ้นเล็กน้อย

 

10 ถุง อาจฟังดูมากไปสำหรับคนอื่นแต่สำหรับคาร์ลที่จ่ายค่าขนมปังไปถึง 3 ล้านแกลลอนไม่ได้เป็นกังวลเลยสักนิด

 

~ อร๊างงงงงงงงงงง ~

 

เสียงแปลกๆที่ดังก้องมาจากต้นไม้ดูเหมือนจะเป็นสัญญาณที่บอกว่ามันยังคงหิวและขออาหารเพิ่มมากขึ้น คาร์ลรู้สึกว่าความมืดในหลุมอาจคว้าเขาเข้าไปแทนขนมปังก็เป็นได้

 

“….มันน่ากลัวนิดหน่อย” คาร์ลรีบลุกขึ้นยืน เขารู้สึกว่าไม่ควรอยู่ที่นี่นานเกินไป

 

“ความแค้นโง่ๆสามารถทำอะไรได้บ้าง?” และความตะกละก็เป็นสิ่งที่น่ากลัว

 

“ข้าจะกลับมาใหม่ในวันพรุ่งนี้”

 

คาร์ลกล่าวบอกลากับต้นไม้ที่เอ่ยตอบรับเสียงดังก้องราวกับว่ามันเป็นคน ก่อนจะเดินออกไปนอกรั้วทันที คาร์ลสังเกตเห็น 2 พี่น้องที่กำลังนั่งกินขนมปังอย่างเอร็ดอร่อยทันทีที่ก้าวเข้าไปในสลัม สำหรับคนที่ขอร้องไม่ให้เขาเข้าไปใกล้ต้นไม้กินคนดูเหมือนจะกำลังเพลิดเพลินกับขนมปังเสียเหลือเกิน พวกเขาทั้งคู่ต้องชอบรสชาติของขนมปังที่กำลังกินอยู่เป็นแน่เพราะดูท่าทางช่างมีความสุข

 

“หนู…ของหนู”

 

คาร์ลสบถออกมาเล็กน้อยกับเสียงร้องของเด็กทั้ง2 ก่อนจะทำเป็นไม่สนใจกับสิ่งที่เด็กๆสงสัย ในถุงที่เต็มไปด้วยขนมปังก่อนหน้านี้มีเพียงแค่ความว่างเปล่าไม่แปลกถ้าเด็กทั้ง 2 จะสงสัย แต่จะทำอะไรได้ ? พวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ?

 

เด็กๆอาจกลัวที่จะเข้าใกล้ต้นไม้กินคนแต่ก็นับว่าเป็นเรื่องที่ดีในด้านความปลอดภัย มันคงไม่ดีนักถ้าเด็กๆไปเล่นบริเวณต้นไม้แล้วเผลอเอาหัวลงไปในโพรงถ้าเป็นเช่นนั้นคงโดนมันจับกินอย่างแน่นอน

 

[เด็ก ๆ ในสลัมไม่มีความกลัว เป็นเพราะพวกเขารักข้าวเมล็ดเดียวแม้ว่าจะมีคมมีดหันมาทางตนเองก็ตาม ความตายอยู่รอบตัวพวกเขาเสมอดังนั้นพวกเขาจึงไม่กลัวความตาย พวกเขากลัวที่จะหิวมากกว่าความตาย]

 

นั่นคือสิ่งที่นิยายได้เขียนบอกไว้ และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้คาร์ลตัดสินใจพูดกับสองพี่น้อง

 

“ถ้าอยากกินขนมอีก ห้ามพูดอะไรสักอย่างรู้มั้ย ?” สองพี่น้องไม่ได้กล่าวอะไรเพียงพยักหน้าทำตามคำสั่งของคาร์ลด้วยความเต็มใจ เด็กหญิงเอามือปิดปากของน้องชายแล้วแสร้งทำเป็นไม่เห็นคาร์ล เขายิ้มและคิดว่าเด็กหญิงฉลาดมากก่อนรีบออกมาจากสลัมอย่างรวดเร็ว

 

คนในสลัมต่างรู้ว่าคาร์ลไปที่ยอดเนินเขา พวกเขากำลังมองมาทางเขาด้วยความสงสัยว่าเขากำลังทำบ้าอะไรอยู่ แต่คาร์ลก็ชินกับการจ้องมองแบบนี้เสียแล้ว ส่วนคนนอกสลัมก็มองมายังเขาด้วยความแปลกใจเช่นกันแต่เขาไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก

 

“อา…..นายน้อยคาร์ลกลับมาแล้ว”

 

เมื่อคาร์ลกลับมายังร้านชาอีกครั้งบิลอสก็ปรี่มาทักเขาด้วยรอยยิ้มสดใส

 

“ใช่แล้ว….ขอชาแก้วใหม่ให้ข้าด้วยนะ”

 

คาร์ลเดินกลับไปที่นั่งบนชั้น 3 เช่นเดิม ทั้งๆที่ตอนนี้ควรมีลูกค้าคนอื่นแต่กลับไม่มีใครนั่งอยู่บนชั้น 3 เลย พวกเขาต่างพยายามหลีกเลี่ยงขยะของตระกูลเฮนิตัส นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คาร์ลรู้สึกผ่อนคลาย

 

“นี่ชาขอรับ…ส่วนนี่เป็นของหวานสำหรับทานแกล้มกับน้ำชา”

 

“โอ้…เยี่ยมมาก ขอบคุณนะ”

 

คาร์ลยังคงมองไปยังประตูเมืองอย่างต่อเนื่องสลับกับการจิบชาช้าๆ บิลอสมองหน้าคาร์ลด้วยความแปลกใจก่อนที่จะเดินออกจากชั้นสามไปอย่างเงียบๆ มันแปลกที่จะได้ยินนายน้อยคาร์ลพูดขอบคุณใครสักคน

 

คาร์ลยังคงสั่งชาและขนมมาทานเรื่อยๆก่อนมองไปนอกหน้าต่างซึ่งตอนนี้ท้องฟ้าได้เปลี่ยนสีเป็นสีส้มและพระอาทิตย์กำลังตกดิน เขาลุกขึ้นเพื่อสลัดความเมื่อยล้า ถึงเวลาต้อนรับเพื่อนที่สุดแสนอันตราย ผู้ที่มาจากนอกกำแพงเมืองซะแล้วซิ

Prev
Next

ความคิดเห็นสำหรับ "บทที่ 5 ได้พบกัน 2"

0 0 โหวต
คุณชอบเรื่องนี้ไหม?
ติดตาม
เข้าสู่ระบบ
แจ้งเตือนของ
กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่คุณอาจชอบ

Last Wish System
Last Wish System
มีนาคม 12, 2022
Demon Hunter
Demon Hunter
มีนาคม 12, 2022
ฟาร์มขั้นเทพ
ฟาร์มขั้นเทพ
พฤศจิกายน 3, 2024
เว่ยชีชี ทะลุมิติมาป่วน
เว่ยชีชี ทะลุมิติมาป่วน
มีนาคม 12, 2022
ระบบย่อยสลายขั้นเทพ
ระบบย่อยสลายขั้นเทพ
มีนาคม 12, 2022
都市:我!反派富二代他爹-193×278
เกิดใหม่เป็นพ่อของตัวร้ายรุ่นที่สอง
พฤษภาคม 3, 2023
Tags:
แฟนตาซี
ประวัติการเข้าชม
You don't have anything in histories
หมวดหมู่นิยาย
  • sci-fi (24)
  • Video Games (11)
  • กำลังภายใน (36)
  • จีนกำลังภายใน (1)
  • ดราม่า (3)
  • ตลก (3)
  • นิยายลิขสิทธิ์ (18)
  • นิยายแต่ง (3)
  • ย้อนยุค อนาคต (7)
  • สยองขวัญ (2)
  • เกมส์ออนไลน์ (5)
  • แฟนตาซี (161)

© 2025 Madara Inc. All rights reserved

Premium Chapter

คุณจำเป็นต้องเข้าสู่ระบบก่อน

wpDiscuz