ขยะแห่งตระกูลเคานต์ (Trash of the Count s family) - บทที่ 3 เมื่อผมลืมตาตื่น 2
บทที่ 3 เมื่อผมลืมตาตื่น 2
คาร์ลมองไปยังจานที่อยู่บนโต๊ะก่อนที่จะเลือกตักสลัดผลไม้หลังจากที่เติมกระเพาะด้วยซุปและขนมปังไปก่อนหน้านี้แล้วและตอนนี้กำลังจะเลือกลองชิมอาหารใหม่ๆดู ผลไม้ที่อยู่ในสลัดจานนี้มีผลคล้ายส้มแต่สีคล้ายกับองุ่นเขาพิจารณาอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะตักเข้าปากไป
“อืมมม….”
รสหวานจากผลไม้ที่ละลายในปากทำให้เขาอุทานด้วยความพอใจเขาเกลียดผลไม้รสเปรี้ยวมากพอได้เจอผลไม้ที่มีรสหวานแบบนี้จึงทำให้รู้สึกน้ำลายไหลอยากกินเรื่อยๆจนกว่าจะสาแก่ใจก่อนที่จะหันไปสบตากับท่านเคานต์เดอรัชพ่อของตนพอดี
“ คาร์ล”
เคานต์เดอรัชเรียกชื่อเขาเบาๆก่อนที่จะเงียบไปเขาเริ่มรู้สึกอึดอัดและขุ่นเคืองขึ้นมาก่อนที่จะเริ่มขยับปากพูด
“มันอร่อยมากขอรับ…”
“ใช่…รสชาติมันเหมือนขยะ…ฮะ? เมื่อกี้ลูกบอกว่าอร่อยงั้นหรือ?”
“ใช่อร่อยทุกอย่างเลย”
คาร์ลหยิบผลไม้ชนิดอื่นทานต่อไปและเริ่มเพลิดเพลินกับความหวานที่ละลายในปากของตนจนไม่ได้ใส่ใจมารยาทบนโต๊ะอาหารอย่างที่ควรเป็น เขารู้ว่าไม่ควรทำกิริยาแบบนี้กับพ่อของตนแต่จะเป็นไรไปในเมื่อเขาก็คือคาร์ล เฮนิตัส ขยะผู้ไร้ค่าของตระกูลตั้งแต่แรกอยู่แล้ว
‘เป็นเรื่องดีจริงๆที่เป็นเพียงแค่ขยะ….’
เขาคาดว่าคงไม่มีใครกล้าวิจารณ์กับกิริยาที่ดูขาดมารยาทของเขาแต่ก็คงมีเพียงท่านเคานต์เดอรัชเท่านั้นที่สนใจตนในตอนนี้
“ใช่ มันอร่อยจริงๆ พ่อดีใจที่เห็นลูกกินได้อย่างเอร็ดอร่อยเช่นนี้”
ท่านเคานต์คงเป็นคนเดียวที่ใส่ใจและมองข้ามกับกิริยาที่ขาดมารยาทของเขาเป็นพ่อที่ห่วงใยลูกอย่างแท้จริงและตัวท่านเคานต์เองก็คงจะพยายามแก้ไขมารยาทเช่นนี้ของคาร์ลอยู่ แต่ช่างปะไรเขาไม่ใช่คาร์ล เฮนิตัส ตัวจริงสักหน่อย
“ขอรับ….ท่านพ่อก็ทานให้อร่อยเช่นกันนะขอรับ”
“ ฮึ ” บาเซ็นส่งเสียงผ่านลำคออีกครั้งและครั้งนี้คาร์ลได้ยินแต่ก็เพียงแค่หันไปมองจานอาหารบนโต๊ะเท่านั้น
บาเซ็นเป็นเด็กหนุ่มอายุเพียง 15 ปีซึ่งมีอายุน้อยกว่าคาร์ล 3 ปี และเป็นคนที่เขายากที่จะจัดการได้ บาเซ็นมีความแตกต่างกับขยะไร้ค่าอย่างคาร์ลมาก บาเซ็นเป็นคนฉลาด จริงใจ และมีความรับผิดชอบสูงเป็นคนที่ครอบครัวต่างผลักดันให้เขาเป็นประมุขคนต่อไปของตระกูลเฮนิตัส และนั่นก็ทำให้คิมร็อกโซเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่งแม้ว่าในตอนนี้เขาจะอยู่ในร่างของคาร์ลก็ตาม
‘แทนที่จะใช้ชีวิตวุ่นวายในการดูแลเมืองแห่งนี้ฉันขอใช้ชีวิตในฐานะพี่ชายของท่านเคานต์ดีกว่า..ฉันจะมีชีวิตที่สุดแสนขี้เกียจและใช้ชีวิตอย่างสงบในแผ่นดินนี้ก็พอ’
คาร์ลไม่ได้ตอบโต้อะไรต่อบาเซ็น เขาได้ยินบาเซ็นกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างและมองมาทางเขาแล้วเขาต้องทำอย่างไร? เมื่อบาเซ็นกลายเป็นประมุขคนต่อไปของตระกูลด้วยบุคลิกของบาเซ็นแล้วเขาเชื่อมั่นเป็นอย่างยิ่งว่าเขาจะไม่โดนบาเซ็นฆ่า แต่ก็อาจจะได้รับบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยก่อนถูกไล่ออกจากเมืองแห่งนี้เขาจะต้องทำตัวไม่ให้เป็นเป้าหมายของบาเซ็นก็พอแล้ว
‘ถ้าเป็นไปได้ฉันจะต้องหาเงินให้ได้มากที่สุดแล้วหาทางหนีไปที่ไหนสักแห่งก่อนสงครามจะเริ่มขึ้น’
คาร์ลแสร้งทำเป็นไม่ได้ยินเสียงของบาเซ็นพูดต่อไป เขายังคงตั้งหน้าตั้งตากินต่อไปเรื่อยๆ เมื่อมื้อเช้าจบลงเคานต์เดอรัชเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นท่าทางท่านเคานต์จะพอใจกับอาหารเช้าในมื้อนี้มากเพราะใบหน้ายังคงประดับไปด้วยรอยยิ้ม
‘อ่า…มันช่างอร่อยจริงๆ’
ถ้าอาหารเช้าเป็นเช่นนี้ทุกวันคาร์ลเลยรู้สึกว่าตนจะต้องนอนแต่หัววันเพื่อตื่นแต่เช้ามาให้ทันกินมื้อเช้าเสียแล้ว
ท่านเคานต์มองไปยังสมาชิกในครอบครัวก่อนที่จะหยุดลงที่คาร์ลลูกชายคนโตของเขา
“มีอะไรที่ลูกอยากได้หรือไม่? คาร์ล”
คาร์ลกำลังลังเลกับท่าทางของเคานต์เดอรัชแต่ก็เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา
“กระผมอยากได้เงินขอรับ”
“แน่นอน พ่อจะให้มันกับลูก” ท่านเคานต์ตอบอย่างไม่ลังเล
นี้มันเป็นครอบครัวที่ยอดเยี่ยม เมืองนี้เป็นเมืองที่ทำเหมืองหินอ่อนและปลูกองุ่นสำหรับทำไวน์ตอนนี้เงินของพวกเขาคงมีมากจนล้นมือกระมัง
“เยี่ยม….ขอให้กระผมเยอะเท่าที่จะให้ได้เลยนะขอรับท่านพ่อ”
คาร์ลรู้สึกว่าน้องทั้งสองคนต่างมองมาที่เขา แต่เรื่องอะไรที่เขาจะต้องอายเพียงแค่ขอเงินไม่ได้ไปหาเรื่องดื่มแล้วสร้างความเดือดร้อนให้ตระกูลสักหน่อย นอกจากนี้เขาต้องการเงินจำนวนมากเพื่อแผนการของเขา หากเขาต้องเผชิญหน้ากับพระเอกของเรื่อง เขาจะต้องแน่ใจว่าตัวเขาแกร่งมากพอที่จะทำให้ตัวเองปลอดภัย เขาต้องการเงินเพื่อใช้จัดการกับอุปสรรคในวันข้างหน้า
“ได้สิ พ่อจะให้ลูกให้มากที่สุดเท่าที่พ่อจะทำได้”
คาร์ลเริ่มยิ้มพอใจกับคำตอบที่ได้รับจากพ่อของตนแต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปอีก
หลังจากกลับไปที่ห้องไม่นานเขาก็ได้รับเช็คจาก ‘ฮันส์’ ที่เป็นรองหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลเป็นเช็คที่ถูกออกโดยการเป็นหุ้นส่วนกับกระทรวงการคลังและกระทรวงพลังเวทย์ทำให้หัวใจของคาร์ลนั่นลิงโลดเป็นอย่างมาก
‘เงินเยอะมาก’
ตระกูลนี้ดูภายนอกเหมือนจะไม่มีเงินแต่ความจริงแล้วพวกเขามีเงินที่มากเหลือเกินนิยายเรื่องนี้ได้กล่าวว่าคาร์ลได้รับเงินเป็นจำนวนมากแต่ไม่ได้ระบุว่าเป็นจำนวนเท่าใดแต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเยอะเท่าไหร่เพราะตัวเลขที่ถูกระบุไว้ในเช็คนี้
‘ 10 ล้าน แกลอน’ นี่มันเทียบได้กับ 10 ล้านวอน (292,164.02 บาท)ถ้าเช่นนั้นเขาสามารถปรับเปลี่ยนแผนของเขาได้คาร์ลเริ่มคิดถึงแผนการของเขาอย่ารวดเร็ว
“กระผมขอตัวก่อนนะขอรับ…นายน้อย”
รองพ่อบ้านฮันส์เอ่ยขึ้นหลังจากมอบเช็คให้กับคาร์ลเสร็จเรียบร้อยแต่คาร์ลไม่ได้กล่าวอะไรออกมาซึ่งฮันส์ก็ได้รับการปฏิบัติแบบนี้จากคาร์ลเป็นปกติ แต่เขาก็ต้องชะงักไปเมื่อคาร์ลลุกขึ้นและกล่าวบางอย่างกับรอน
“รอน..เตรียมตัวไปเรียนกันเถอะ”
ฮันส์รู้สึกตกใจและเป็นกังวลกับคำพูดของคาร์ลเช่นเดียวกับรอนที่คงสับสนเช่นกัน
“นายน้อยว่าจะไปเรียนหรือขอรับ?”
คาร์ลรู้สึกแปลกๆกับปฏิกิริยาที่ได้รับจากพ่อบ้านทั้งสองคนนี่มันเป็นเรื่องแปลกอย่างนั้นหรือคนอย่างเขาไปเรียนไม่ได้อย่างนั้นหรือ?
“ใช่”
คาร์ลต้องการที่จะเรียนรู้ด้วยตนเองผ่านหนังสือในห้องของตนเพื่อเตรียมทำตามแผนการของเขา แต่ในห้องนอนของเขาไม่มีโต๊ะหรือกระดาษมีเพียงแค่ขวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ราคาแพงประดับห้องไว้เท่านั้น
“ต้องขอโทษด้วยขอรับ…นายน้อย”
“มีอะไรอย่างนั้นหรือ?” คาร์ลมองไปยังรองพ่อบ้านฮันส์
“เรายังไม่สามารถเตรียมพร้อมสำหรับการเรียนของนายน้อยได้”
“เป็นเช่นนั้นเหรอ ? ฉันยังเรียนไม่ได้สินะ”
“ไม่ขอรับนายน้อย เราไม่ยอมให้เรื่องนี้เกิดขึ้นได้” รองพ่อบ้านฮันส์เอ่ยขึ้นอย่างสับสนแต่ด้วยเหตุผลบางอย่างเขากลับยิ้มขึ้นอย่างสดใสพลางยกนิ้วขึ้น
“กรุณารอสัก 1 ชม.ครับนายน้อย กระผมรับประกันว่าการเรียนของนายน้อยจะเป็นไปอย่างสะดวกราบรื่นไม่ว่าจะเป็นเนื้อหาที่มีประโยชน์ในอีกสิบปีข้างหน้าหรือเมื่อวานนี้ขอรับ”
“อืม..ให้ได้อย่างนั้นสิ” เขาไม่ต้องกังวลอะไรแค่ต้องรอเวลาสักเล็กน้อย
“เยี่ยม..ถ้าอย่างนั้นกระผมขอไปรายงานนายท่านด้วยนะขอรับ”
“ไม่ต้องขนาดนั้นก็ได้ แต่ก็แล้วแต่เจ้าเถอะ….”
“ถ้าอย่างนั้นกระผมขอตัวก่อนนะขอรับ”
ฮันส์เดินออกจากห้องพร้อมกับการปิดประตูที่ไร้เสียง เขาดูรีบร้อนและกระตือรือร้นเกินความจำเป็น คาร์ลรู้ว่าในคฤหาสน์แห่งนี้มีพ่อบ้านหลายคนที่อยากเป็นพ่อบ้านคนพิเศษของตระกูลเฮนิตัสคงเป็นเหตุผลนี้กระมังที่ฮันส์ดูกระตือรือร้นเป็นพิเศษ
“รอน”
“ ขอรับ….นายน้อย”
“ทำไมเงียบไป….มีอะไรหรือเปล่า?”
“ขอโทษด้วยขอรับ…นายน้อย”
“ไม่ต้องขอโทษข้าหรอกนะ…”
รอนมีสีหน้าที่ดูแปลกไปแต่คาร์ลไม่ได้สนใจเขาเพียงแค่เก็บเช็คที่ได้ใส่ในกระเป๋าก่อนจะนึกได้ว่าเขายังไม่ทราบวันเดือนปีตั้งแต่ที่ได้เข้ามาอยู่ในนิยายเรื่องนี้
“วันนี้วันที่เท่าไหร่?”
คำถามนี้อาจจะดูน่าแปลกหากคนอื่นได้ยินแต่ไม่ใช่สำหรับรอนเขาเพียงตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ วันที่ 29 เดือน 3 ปีเฟลิกซ์ที่ 781 ขอรับ”
“อืม….มีปัญหาแล้วสิ”
“อะไรนะขอรับนายน้อย?”
“ไม่มีอะไร..”
คาร์ลจับเช็คที่มีมูลค่า 10 ล้านแกลลอนในกระเป๋าอย่างแน่นหนา เขารู้สึกว่ามีเพียงเงินเท่านั้นที่เขาวางใจได้ เมื่อวานคือวันที่ 28 เดือน 3 ปีเฟลิกซ์ที่ 781นั่นเป็นวันที่ชาวบ้านในหมู่บ้านแฮร์ริสซึ่งเป็นหมู่บ้านที่พระเอกชื่อ ‘เชวฮัน’ อาศัยอยู่หลังจากที่สามารถหนีออกจากป่าแห่งความมืดได้หมู่บ้านแห่งนี้เป็นหมู่บ้านที่ทำให้เชวฮันสัมผัสได้ถึงความเป็นมนุษย์และมิตรภาพหลังจากที่หลุดเข้ามาในมิติแห่งนี้ ก่อนที่คนในครอบครัวที่เชวฮันนับเป็นครอบครัวที่สองของเขาจะถูกลอบสังหารโดยกลุ่มนักฆ่าที่ไม่รู้จัก แม้กระทั่งเขาผู้ที่อ่านหนังสือนิยายเล่มนี้จนถึงเล่มที่ 5 ก็ยังไม่รู้ว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังในการฆาตกรรมชาวบ้านตาดำๆนี้ มีนักอ่านบางคนที่อาจพูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นนี้ว่า
‘เขาคือคนที่แข็งแกร่งมาก ไม่แปลกที่เขาจะเป็นเช่นนั้นหลังครอบครัวบุญธรรมที่เขารักถูกฆ่า’
มันเป็นเรื่องปกติที่จะคิดเช่นนั้นแต่ถึงอย่างไรก็ตามมันมีเหตุผลที่ทำให้นิยายเรื่องนี้ชื่อ ‘กำเนิดวีรบุรุษ’ แทนที่จะชื่อว่า ‘วีรบุรุษผู้แข็งแกร่ง’หรือ ‘สงครามแห่งวีรบุรุษ’
‘กำเนิดวีรบุรุษ’
นิยายเรื่องนี้เป็นเรื่องราวของพระเอกที่เอาชนะอุปสรรคต่างๆและจากความเจ็บปวดในอดีตทำให้เขาสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆเพื่อพิสูจน์ความเป็นวีรบุรุษ เรื่องราวของความรักและมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างที่เขาได้เจอกับศัตรูและเพื่อนๆในทีม
มีบางสิ่งที่ไม่สามารถหายไปจากนิยายนี้ได้คือ แรงกระตุ้น พระเอกอาจจะมีพรสวรรค์และมีชีวิตอยู่ได้นานนับสิบปีในป่าแห่งความมืด แต่เพราะเหตุนี้จึงทำให้เชวฮันยังคงเป็นคนที่ไร้เดียงสาและอ่อนโยน เขาอาจสามารฆ่าเหล่าปีศาจได้แต่เขาไม่เคยแม้แต่จะทำร้ายใครได้
เพื่อที่จะเปลี่ยนให้เขาเป็นคนที่แข็งแกร่งและเหมาะสมกับการเป็นวีรบุรุษ นิยายจึงสร้างสถานการณ์กระตุ้นให้เชวฮันพบกับผู้หญิงที่เขารักและเคารพเปรียบดังแม่คนที่สอง
เชวฮันได้เดินทางเข้าป่าแห่งความมืดเพื่อหาสมุนไพรที่มีคุณค่าราคาแพง เขาต้องเดินทางลึกเข้าไปในป่าแห่งความมืดและใช้เวลาหลายวันในการหาสมุนไพร ครั้นเมื่อเขากลับมายังหมู่บ้านอีกครั้งเขาก็ได้พบกับซากศพของชาวบ้าน พร้อมกับบ้านที่ถูกเพลิงเผาไหม้เป็นจุณ และได้เจอกับเหล่านักฆ่าที่กำลังจะเดินทางจากไป เชวฮันถูกความโกรธเข้าครอบงำและได้เรียนรู้การฆ่าคนเป็นครั้งแรก แน่นอนคนที่เขาฆ่าคือสมาชิกของเหล่านักฆ่านั่นเองและนักฆ่าในองค์กรลับแห่งนี้ต่างต้องปะทะกับเชวฮันตลอดทั้งเรื่อง
เมื่อเชวฮันกลับมาเป็นปกติหลังจากลงมือฆ่าเหล่านักฆ่าตายทั้งหมด เขาพยายามรวบรวมข้อมูลทั้งหมดแต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อไม่ได้ข้อมูลที่มากพอเพื่อจะสืบหาว่าใครคือผู้ที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์สังหารหมู่ในครั้งนี้ เขาค่อยๆฝังร่างของชาวบ้านก่อนที่จะปฏิญาณกับตนเอง
‘ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด ฉันจะฆ่าพวกมันไม่ว่าพวกมันจะเป็นใครก็ตาม พวกมันต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่มันทำ’
เชวฮัน ได้เข้าใจถึงความเศร้าและความตาย แต่การฆ่าคนในครั้งแรกทำให้ใจเขาแกร่งขึ้นพร้อมกับความโหดที่เพิ่มขึ้นแต่เขาก็สามารถกับมาเป็นคนที่อ่อนโยนได้อีกครั้งหลังจากที่ได้พบกับสมาชิกคนอื่นๆในนิยายและเติบโตขึ้นเพื่อเป็นวีรบุรุษอย่างแท้จริง
“รอน”
“ขอรับนายน้อย”
“ขอน้ำเย็นให้ข้าแก้วหนึ่งสิ”
“ได้ขอรับ นายน้อย”
หลังจากที่รอนทิ้งเขาให้อยู่คนเดียวตามลำพังเขาถึงกับต้องเอามือกุมขมับ
ปัญหาคือเมืองที่เชวฮันผู้ที่มาพร้อมกับความโกรธเกรี้ยวจะเดินทางมาถึงคือเมือง ‘เวสเทิร์น’ซึ่งเป็นเมืองที่ตั้งอยู่ใจกลางดินแดนเฮนิตัสแห่งนี้ คาร์ลผู้โง่เขลาได้เข้าไปหาเรื่องเชวฮันจนโดนทำร้ายร่างกายพร้อมกับการปะทะที่ร้ายแรงในที่สุดและเขาก็ได้พบสมาชิกในทีมเป็นคนแรกนั่นคือ ‘บารอค’ พ่อครัวผู้น่าเกรงขามบุตรชายของรอนนั่นเอง
‘ฉันต้องไปที่นั่นล่วงหน้าและต้องช่วยพวกเขาให้เจอกัน’
สถานการณ์ในการหลบเลี่ยงการทำร้ายจากเชวฮันไม่ใช่ประเด็นสำคัญแต่เขาสนใจเรื่องการช่วยเหลือคนในเมืองให้รอดพ้นจากการปะทะนี้ต่างหาก แต่เขาไม่สามารถทำอะไรได้เลย ตอนนี้สิ่งที่ทำได้คือเขาต้องแน่ใจว่าเขาจะต้องไม่ทำอะไรที่ไปกระตุกต่อมความโกรธของเชวฮัน จนโดยอีกฝ่ายทำร้ายร่างกายได้
‘การหลีกเลี่ยงจากพระเอกไม่ใช่สิ่งที่ถูกต้อง’
เขาจำเป็นต้องเข้าหาเชวฮันเพื่อให้รอนและบารอคก้าวเข้าไปช่วยเหลือเขาเพื่อให้เป็นจุดเริ่มต้นให้คนทั้ง 3 ได้พบกันและกลายเป็นจุดเริ่มต้นการผจญภัยของพระเอกต่อไป
‘ให้พวกเขาได้เริ่มต้นเดินทางและออกจากวงจรชีวิตของฉันสักที’
ต้องสร้างสถานการณ์ที่น่าประทับใจและหลีกเลี่ยงการเจ็บตัวให้ได้มากที่สุดสินะ
“นายน้อย”
“อา…ขอบใจนะ”
คาร์ลหยิบแก้วน้ำขึ้นจิบก่อนอารมณ์โกรธจะเริ่มปะทุขึ้น
“ไม่ใช่น้ำเย็น?”
“มันคือน้ำมะนาวขอรับ”
ช่างเป็นคนที่ร้ายกาจจริงๆพ่อบ้านคนนี้ก็น่าจะรู้เหมือนดังที่คิมร็อกโซ รู้ว่าคาร์ลตัวจริงนอกจากจะเกลียดในสิ่งที่น่ากลัวแล้ว เขายังเกลียดรสชาติเปรี้ยวอีกด้วย แต่เขาก็ยังเลือกทำน้ำมะนาวให้แก่คาร์ล เขาอยากระบายความโกรธนี้ออกมาแต่ทำได้แค่กลั้นใจดื่มน้ำมะนาวต่อไปช้าๆ เขายังไม่อยากต่อกรกับนักฆ่าอย่างรอนในตอนนี้
“ขอบคุณมากนะ…มันวิเศษมาก”
“ไม่มีปัญหาขอรับนายน้อย…เราควรเตรียมตัวเพื่อไปเรียนได้แล้วนะขอรับ”
“ดีเลย”
รอยยิ้มที่แสนอ่อนโยนของรอนทำให้เขาขนลุกอีกครั้ง เขาจับเช็คมูลค่า 10 ล้านแกลลอนว่ายังคงอยู่กับตัวเองอีกครั้งหนึ่งคงมีเพียงเงินเท่านั้นล่ะที่จะทำให้เขาเชื่อมั่นมันได้