นางมารน้อยหวนคืน - ตอนที่ 30 หาเรื่องใส่ตัว
ตอนที่ 30 หาเรื่องใส่ตัว
“ท่านพี่ เรากินด้วยกันดีหรือไม่ ? ” มู่เชียนจิ่วเป็นฝ่ายเชื้อเชิญซะเอง นางรู้ว่าพวกมารล้วนหน้าบางมิมีทางเอ่ยปากเองแน่นอน
แต่มิเป็นไรนางหน้าหนาอยู่แล้ว อีกอย่างเขาก็เคยช่วยนางเอาไว้ แค่เลี้ยงข้าวนางรับได้อยู่แล้ว !
แน่นอนว่าหากทำให้เขาลดการดูดเลือดของนางลงไปได้ด้วยล่ะก็ คงจะดีมิน้อย
“ข้ามิหิว ! ” จวินอู๋เสียทำหน้าตึงขึ้นมา เดิมเขาตั้งใจที่จะมาขอข้าวกิน แต่ตอนนี้เหมือนถูกจับได้ความรู้สึกเช่นนี้ทำให้เขาหงุดหงิดใจมิน้อย
มู่เชียนจิ่วทำเป็นมิได้ยินที่เขาเอ่ย ก่อนเตรียมชามและตะเกียบให้เขาเรียบร้อย “ท่านพี่ จานนี้ท่านทานน้อยหน่อยจะดีกว่านะเจ้าค่ะ ! ”
ดวงตาเรียวยาวของจวินอู๋เสียแฝงไว้ด้วยความฉงน สตรีผู้นี้เตรียมชามและตะเกียบให้เขาเสร็จสรรพ แต่กลับบอกให้เขากินน้อยหน่อยงั้นหรือ ?
‘เจ้าให้ข้ากินน้อยหน่อยอย่างนั้นหรือ ข้ามิยอมหรอกนะ ! ’
“เจ้าต้องป้อนข้าด้วย ! ”
มู่เชียนจิ่วกะพริบตาปริบ ๆ ความเห็นใจเมื่อครู่พลันมลายหายไปทันที เจ้ามารตนนี้จะสบายเกินไปแล้ว ช่างไร้มารยาทสิ้นดี !
“มิอยากทำงั้นหรือ ? ” จวินอู๋เสียมีท่าทางเกียจคร้าน แต่สายตาที่ข่มขู่ราวกับแผ่ไอสังหารออกมาด้วย
“ท่านพี่ เชิญกินองค……เชิญกินได้แล้วเจ้าค่ะ ! ” มู่เชียนจิ่วรีบหยิบตะเกียบขึ้นมา คีบหลงหยางชิ้นที่ใหญ่ที่สุดชิ้นหนึ่งขึ้นมาป้อน
‘เจ้าอยากกินเองนะ ข้ามิได้บังคับเจ้า’
จวินอู๋เสียได้ยินมิชัดว่าเมื่อครู่มู่เชียนจิ่วกล่าวว่าอย่างไร แต่ก็ยอมปากอ้าขึ้นน้อย ๆ ริมฝีปากที่เล็กบางนั่นดูน่ากินยิ่งกว่าหลงหยางนี่เสียอีก
ทันทีที่เนื้อหลงหยางเข้าปาก เนื้อสัมผัสกรุบกรอบ มิมันเลี่ยน อร่อยกว่าอาหารที่หอสุราจริง ๆ !
“ท่านพี่ รสชาติเป็นเช่นไรบ้างเจ้าคะ ? ” จิตใจด้านมืดของมู่เชียนจิ่วพวยพุ่งขึ้นมา ยิ่งเห็นมารตนนี้กินองคชาตพยัคฆ์เข้าไป ก็รู้สึกสะใจจนนางอยากจะท่องเป็นกลอนออกมาเลยทีเดียว
จวินอู๋เสียเงยหน้าขึ้นมองเล็กน้อย “ก็พอใช้ได้”
มู่เชียนจิ่วแอบเบะปากเล็กน้อย หลงหยางจานนี้นางยังมิได้ชิมมาก่อน แต่นางมั่นใจในฝีมือการทำอาหารของตัวเอง !
หากบอกว่าฝีมือการทำอาหารของนางยังธรรมดาไป เช่นนั้นฝีมือของพ่อครัวทั่วทั้งดินแดนเสวียนอู๋ มิเรียกว่ากินมิลงหรอกหรือ ?
เมื่อเวลาผ่านไป หลงหยางในจานก็พร่องลงเรื่อย ๆ จวบจนกระทั่งหลงหยางชิ้นสุดท้ายเข้าปากของจวินอู๋เสีย มู่เชียนจิ่วก็กลืนน้ำลายลงคอโดยมิรู้ตัว เพราะมื้อเย็นนางยังมิได้กินอันใดเลย
“อึก”
เมื่อได้ยินเสียงกลืนน้ำลาย ดวงตาเรียวยาวของจวินอู๋เสียก็จ้องมองไปที่มู่เชียนจื่ว “เจ้ายังมิได้กินงั้นหรือ ? ”
มู่เชียนจิ่วมองจวินอู๋เสียด้วยสายตาน่าสงสาร แต่ภายในใจกลับอยากจะด่าออกมาว่า ‘กินหัวเจ้าน่ะสิ ! ’
นางป้อนเขาจนปวดมือไปหมด มิหนำซ้ำอาหารอันโอชะที่ตัวเองทำก็มิได้ชิมแม้แต่คำเดียว ความรู้สึกเช่นนี้ราวกับนางสูญสิ้นทุกอย่างที่มีก็มิปาน
มีเพียงแหวนเก็บสมบัติวงนั้น ที่คอยให้ความอบอุ่นหัวใจดวงน้อยที่เย็นเยียบในตอนนี้ของนางได้บ้าง !
จวินอู๋เสียเมื่อถูกจ้องมองด้วยความโกรธแค้นก็เริ่มทำตัวมิถูก ก่อนจะหยิบผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงออกมาลูกหนึ่ง “ข้ามิกินของเจ้าเปล่า ๆ หรอก เอาไปแทะเล่นก็แล้วกัน ! ”
เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังวิญญาณที่แผ่ออกมาจากผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ มู่เชียนจิ่วก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันตาเห็น สมกับเป็นท่านพี่จริง ๆ หลงหยางหนึ่งจาน สามารถแลกกับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงได้ตั้งหนึ่งลูก !
นี่มันกำไรชัด ๆ
ชั่วขณะหนึ่งมู่เชียนจิ่วถึงกับเผลอคิดว่านางควรเตรียมหลงหยางให้เขาอีกสักจานดีหรือไม่ เหมือนเขาจะชอบมันมากทีเดียว !
“ขอบคุณท่านพี่มากเจ้าค่ะ ! ”
“หึ !” มุมปากจวินอู๋เสียโค้งขึ้น ราวกับขบขันท่าทางที่เหมือนมิเคยเห็นโลกภายนอกมาก่อนของมู่เชียนจิ่วเสียเต็มประดา
ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงเช่นนี้สำหรับเขาแล้วมิได้มีค่าอันใด แต่สำหรับผู้บำเพ็ญเพียรคนอื่น ๆ แล้วกลับเป็นของวิเศษที่หายาก !
ยิ่งไปกว่านั้นจวินอู๋เสียมิใช่คนที่กินของใครเปล่า ๆ เพียงแต่อาหารมื้อหนึ่งต้องแลกกับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงไปหนึ่งลูก เหมือนเขาจะเสียเปรียบมิน้อย “ครั้งหน้าข้าจะมาใหม่ เตรียมอาหารให้มากหน่อย ทำดีจะมีรางวัลให้ ! ”
มิทันที่มู่เชียนจิ่วจะได้เอ่ยอันใด ร่างของจวินอู๋เสียก็จากไปเสียแล้ว จนมิเห็นแม้แต่เงา นั่นยิ่งทำให้มู่เชียนจิ่วมั่นใจว่ามารตนนี้มาเพื่อขอข้าวกินจริง ๆ !
ส่วนเรื่องที่เขาอาจจะยากจนข้นแค้นจนมิมีอันใดจะกินนั้น คงมิถึงขนาดนั้นกระมัง !
ผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงลูกนี้หากนำไปประมูลคงมีมูลค่าสูงมิน้อย หลงหยางหนึ่งจานแลกกับผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงหนึ่งลูก หากมารตนนี้มาขอข้าวนางกินสักสองสามร้อยปี นางมิกลายเป็นเศรษฐีนีอันดับหนึ่งแห่งดินแดนเสวียนอู๋หรอกหรือ ?
หากทำอาหารก็รวยได้ล่ะก็ แม้กระทั่งยามหลับนางยังคงยิ้มออกมาเป็นแน่
“จ๊อกกกก” ท้องของมู่เชียนจิ่วร้องประท้วงขึ้นมาอีกครั้ง นางจึงรีบเก็บผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ลงไปในแหวนเก็บสมบัติ มือทั้งสองข้างเท้าเอวเอาไว้ พลางมองไปทางกองไฟและพึมพำกับตัวเองว่า “ดูท่ามื้อค่ำคงต้องทำใหม่ซะแล้ว”
ทางด้านจวินอู๋เสียตอนนี้ได้กลับมาถึงหอสุราแล้ว เพียงแต่บนใบหน้าที่งดงามยิ่งกว่าสตรีเวลานี้กลับแดงก่ำ ร่างกายร้อนรุ่มราวกับมีไฟสุม !
หรือสตรีไร้ยางอายผู้นั้นจะใส่ยาพิษลงไปในอาหาร ?
จวินอู๋เสียโคจรพลังมารภายในร่างทันที หลังจากตรวจสอบหลายครั้งก็มิพบพิษใด ๆ แต่หากมิได้ถูกพิษ เช่นนั้นเหตุใดเขาจึงทรมานเช่นนี้เล่า ?
เมื่อรู้สึกว่าร่างกายผิดปกติไป สีหน้าของจวินอู๋เสียก็เข้มขึ้น ต่อให้สตรีนางนั้นมิได้วางยาพิษลงไปในอาหาร แต่เรื่องนี้ต้องเกี่ยวกับอาหารของนางอย่างแน่นอน !
บัดซบ บัดซบสิ้นดี !
จวินอู๋เสียใช้พลังมารฝืนสะกดความร้อนรุ่มนั้นเอาไว้ ใบหน้าที่จากเดิมก็แดงอยู่แล้ว พลันแดงก่ำขึ้นมาอีกหลายเท่า
ทันใดนั้นเขาก็คิดขึ้นมาได้ว่า สตรีนางนั้นเคยบอกว่าให้เขากินน้อยหน่อย หรือนางรู้อยู่แล้วว่าหากกินมากเกินไป จะเกิดปัญหากับร่างกายได้ ?
จวินอู๋เสียขมวดคิ้วแน่น สีหน้าแดงก่ำขึ้นจนน่ากลัว แต่กลับมิสามารถทำอันใดได้ !
แน่นอนว่าย่อมต้องหงุดหงิดอยู่แล้ว แต่เขาก็เข้าใจดีว่าเรื่องนี้สตรีนางนั้นคงมิได้ตั้งใจ เขาเองก็แค่นึกสนุกเลยไปขอข้าวนางกิน แต่สุดท้ายกลับประสบกับเรื่องเช่นนี้เข้า
เช่นนี้เขาหาเรื่องใส่ตัวเองงั้นหรือ ?
ดวงตาเรียวยาวของจวินอู๋เสียหลับลง ต่อให้เป็นเช่นนั้นก็เป็นความผิดของสตรีนางนั้นอยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดถึงผลไม้ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงที่เขาเสียไปเพื่อแลกกับความทรมานเช่นนี้ กองไฟในใจก็ลุกโชนมากขึ้น !
หลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง จวินอู๋เสียก็สลัดความคิดที่จะไปคิดบัญชีทิ้งไป เขาเป็นคนกินเข้าไปเอง หากไปเอาเรื่องนางตอนนี้จะกลายเป็นว่าเขาคิดเล็กคิดน้อยแทน !
แค้นครั้งนี้เขาจะจำเอาไว้ วันหน้าเขาจะต้องชำระให้ได้
เพียงพริบตาเวลาสองวันก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว มู่เชียนจิ่วเท้าคางตัวเอง พลางใช้ตะเกียบเขี่ยอาหารรสเลิศในจาน เห็นได้ชัดว่าอารมณ์มิค่อยดีนัก
สองวันมานี้เวลาทำอาหารนางมักจะทำเพิ่มอีกจากเดิม เพื่อรอบ่อเงินบ่อทองของนางมากิน หากเขาอารมณ์ดีนางก็จะได้รางวัลเพิ่มด้วย
สุดท้ายอย่าว่าแต่คนตัวเป็น ๆ เลยแม้แต่เงาก็ยังมิมี และจนถึงตอนนี้นางก็ยังมิได้ข่าวคราวของอาจารย์เลย ที่สำคัญที่สุดก็คือด้วยพลังของนางในตอนนี้ อยากจะลงเขาเองยังทำมิได้ด้วยซ้ำ !
พายุนั่นราวกับทำลายทุกสิ่งที่เข้าใกล้ก็มิปาน มิน่าเล่าเมื่อศิษย์เหล่านั้นได้ยินคำว่าผาสำนึกผิดต่างก็มีสีหน้าซีดเผือด ถ้าให้อยู่บนนี้เป็นปี ๆ สิบปี หรือร้อยปีล่ะก็ คนดี ๆ ก็คงเสียสติได้เหมือนกัน
ขณะที่มู่เชียนจิ่วกำลังเฝ้ารอบ่อเงินบ่อทองนำของรางวัลมาให้อยู่นั้น จู่ ๆ ซู่เย๋ก็กระโดดมาตรงหน้าของนาง “ลูกพี่ ท่านดูสิว่าข้าไปเจออันใดมา ! ”