นางมารน้อยหวนคืน - ตอนที่ 29 ผัดหลงหยาง !
ตอนที่ 29 ผัดหลงหยาง !
ความมืดโรยตัวเข้าปกคลุม หอสุราในเมืองที่อยู่ไกลจากนิกายชิงอวิ๋นออกไปสิบลี้
“นายท่าน ผู้น้อยสืบเรื่องของมนุษย์ผู้นั้นมาเรียบร้อยแล้วขอรับ ! ” มารวัยกลางคนตนหนึ่งคุกเข่าข้างหนึ่งลง พลางเอ่ยรายงานด้วยความนอบน้อม
“งั้นหรือ ? ” จวินอู๋เสียแสยะยิ้มออกมา พร้อมกับวางจอกในมือลง “ว่ามาสิ เจ้าสืบได้ความเช่นไรบ้าง”
“สตรีผู้นี้เป็นบุตรบุญธรรมของตระกูลมู่” มารวัยกลางคนรายงานสิ่งที่ตนสืบทราบมาทั้งหมดไปตามความจริง
ทว่าตอนที่เขากำลังก้มหน้าอยู่ และรายงานถึงตอนที่มู่เชียนจิ่วถูกทำให้เสียโฉม ชีพจรวิญญาณถูกช่วงชิงไปนั้น สีหน้าของจวินอู๋เสียก็เข้มขึ้นมาทันที
ในห้องส่วนตัวบนหอสุรา มีเพียงเสียงของมารวัยกลางคนเท่านั้น ท่ามกลางความเงียบสงัด !
“นายท่าน ตอนนี้ผู้น้อยสืบมาได้เท่านี้ขอรับ” มารวัยกลางคนเงยหน้าขึ้น เพียงแต่เมื่อเขาสบกับดวงตาเข้มดุคู่นั้น ร่างก็สั่นเทาขึ้นมาอย่างห้ามมิได้ จนต้องรีบก้มหน้าลงทันที
จวินอู๋เสียลุกขึ้นยืนไอมารพลันแผ่ออกมา จนทำโต๊ะและเก้าอี้ภายในห้องสั่นเทามิหยุด “ตระกูลมู่ ! ”
มารวัยกลางคนก้มหน้าลงแทบชิดหัวเข่า เขามิเข้าใจว่าเหตุใดนายท่านต้องใส่ใจมนุษย์ผู้นั้นถึงเพียงนี้ หรือสตรีนางนี้คือผู้ที่ทำมิดีมิร้ายท่านราชามารเยี่ยงนั้นหรือ ?
บัดนี้เรื่องที่ท่านราชามารถูกทำมิดีมิร้าย แพร่กระจายไปทั่วทั้งเผ่ามารแล้ว ทั้งเผ่ามารต่างก็คาดเดาถึงตัวตนของราชินีมารผู้นี้ !
แต่ราชินีมารผู้นี้หากเป็นมนุษย์จริง ๆ
มารวัยกลางคนเมื่อคิดถึงตรงนี้พลันใจสั่นขึ้นมาทันที เหมือนเขาจะล่วงรู้ความลับสุดยอดบางอย่าง ทว่าความลับนี้ต่อให้ตีเขาให้ตาย เขาก็มิสามารถเอ่ยออกมาได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นนายท่านจะต้องฉีกร่างของเขาออกเป็นชิ้น ๆ อย่างแน่นอน !
“มู่เทียนเซี่ยผู้นั้นก็อยู่ที่นิกายชิงอวิ๋นด้วยอย่างนั้นหรือ ? ” น้ำเสียงที่จวินอู๋เสียเอ่ยถามออกมาช่างเย็นยะเยือกยิ่งนัก ดวงตาเรียวยาวเปล่งประกายสังหารออกมา ชีวิตของสตรีไร้ยางอายผู้นั้นเป็นของเขา
มารวัยกลางคนจึงตอบกลับอย่างระมัดระวังถ้อยคำว่า “มู่เทียนเซี่ยผู้นั้นถูกผู้อาวุโสจิ่งอี๋ของนิกายชิงอวิ๋น รับเป็นศิษย์สายสืบทอดขอรับ ! ”
“แค่ผู้อาวุโสตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง มิอยู่ในสายตาข้าหรอก” จวินอู๋เสียทอดสายมองออกไปด้วยแววตาที่ลึกล้ำยากจะคาดเดา ทั้งนิกายชิงอวิ๋นมีเพียงหลิวมู่เฉินเท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเขาได้
ทว่าในศึกใหญ่เมื่อหลายร้อยปีก่อนหลิวมู่เฉินได้บาดเจ็บหนัก ทำให้ตบะบารมีลดลง บัดนี้เกรงว่าก็คงมิใช่คู่ต่อสู้ของเขาเช่นกัน !
จวินอู๋เสียเอ่ยถามต่อว่า “มู่เทียนเซี่ยผู้นั้นรู้ตัวตนที่แท้จริงของนางหรือไม่ ? ”
“เรียนนายท่าน คนตระกูลมู่ยังมิรู้ว่านางยังมีชีวิตอยู่ขอรับ ดังนั้นมู่เทียนเซี่ยผู้นั้นจึงยังมิทราบตัวตนที่แท้จริงของนางเช่นกันขอรับ ! ” มารวัยกลางคนเอ่ยตอบเสียงเบา
มือที่กำแน่นของจวินอู๋เสียคลายลงเล็กน้อย “ส่งคนไปเฝ้าดูทุกความเคลื่อนไหวของตระกูลมู่ หากมีความเคลื่อนไหวเมื่อใดให้มาบอกข้าทันที ! ”
“ขอรับ นายท่าน ! ” มารวัยกลางคนรับคำสั่งอย่างนอบน้อม ภายในใจยิ่งรู้สึกเคารพมนุษย์นางนั้น และคิดไปไกลว่ามนุษย์นางนั้นมีโอกาสที่จะกลายมาเป็นนายหญิงของตนในอนาคตก็เป็นได้
“ออกไปได้แล้ว”
มารวัยกลางคนมิได้เอ่ยอันใดอีก เขาเดินถอยหลังไปก่อนจะค่อย ๆ หายตัวไปในความมืด
ในหัวของจวินอู๋เสียมีภาพสตรีไร้ยางอายนางนั้นเอ่ยคำเยินยอเขา ทว่าเมื่อคิดดูแล้วเวลานี้เขากลับรู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
ขณะที่นิ้วดำ ๆ นั้นถูกเขาดูดเลือด เขามิได้รู้สึกถึงแค้นเคืองใด ๆ ต่อนางอีกแล้ว มุมปากของจวินอู๋เสียโค้งขึ้นอย่างมิรู้ตัว
มองอาหารที่อยู่บนโต๊ะแล้ว จวินอู๋เสียก็รู้สึกมิอยากอาหารขึ้นมาเสียดื้อ ๆ โดยเฉพาะหลังจากที่ได้กินอาหารฝีมือของสตรีไร้ยางอายผู้นั้นแล้ว เขารู้สึกว่ากลืนอาหารเล่านี้มิลงอีกแล้ว
จวินอู๋เสียเทสุราที่อยู่ในจอกทิ้ง ก่อนจะลุกขึ้นเดินไปยังหน้าต่าง ดวงตาเรียวยาวส่องประกายระยิบระยับ เมื่อคิดว่าอีกสองวันกว่าจะถึงกำหนดครั้งต่อไป ภายในใจก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาอย่างประหลาด
แต่หากเขาไปพบนางตอนนี้ต้องเสียหน้าเป็นแน่ คิ้วได้รูปของจวินอู๋เสียถึงกับขมวดแน่น ทว่ามินานก็คลายออก สตรีชั่วช้านั่นกินผลโกลาหลของเขาเข้าไป ก็ถือว่าเป็นคนของเขาแล้ว !
ในเมื่อเป็นของเขา เขาบอกว่าอีกสามวันก็จริง แต่เขาอยากไปตอนไหนก็ย่อมได้นี่นา !
“ฮ่าฮ่าฮ่า ! ” จู่ ๆ จวินอู๋เสียก็หัวเราะออกมาเบา ๆ ร่างของเขากลายเป็นเพียงไอมาร ก่อนจะหายไปจากห้องในพริบตา
เวลานี้ที่ผาสำนึกผิด มู่เชียนจิ่วกำลังทำมื้อเย็นอยู่ เสียงตะหลิวกระทบกับกระทะดังมาขึ้นเป็นระยะ
“ลูกพี่ คืนนี้พวกเราจะกินอันใดกันหรือขอรับ ? ” ซู่เย๋สะบัดหางไปมา ศีรษะเล็ก ๆ แทบจะยื่นลงไปในกระทะอยู่แล้ว
ซู่เย๋เป็นชื่อที่มู่เชียนจิ่วตั้งให้กระรอกหาสมบัติ นางเป็นยอดฝีมือในการตั้งชื่อระดับตำนาน มิมีทางตั้งชื่อกะโหลกกะลาอยู่แล้ว !
มู่เชียนจิ่วกระแอมเล็กน้อย “ผัดหลงหยาง ! ”
“หลงหยาง ? ” ซู่เย๋ร้องออกมาด้วยความดีใจ “มันคืออันใดหรือขอรับ อร่อยหรือไม่ ? ”
“▔□▔”
“เอ่อ เดี๋ยวเจ้าลองชิมดูก็จะรู้เองว่าอร่อยหรือไม่ ! ” มู่เชียนจิ่วกระแอมเล็กน้อย หลงหยางที่นางเอ่ยถึงก็คือองคชาตของพยัคฆ์เกราะเหล็ก ซึ่งเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ขั้นสอง โดยมีสรรพคุณช่วยเพิ่มสมรรถภาพทางเพศชั้นดี !
เมื่อครู่นางเองก็เพิ่งจะรู้ตัวว่าซื้อวัตถุดิบมาผิด แต่จะโยนทิ้งก็น่าเสียดาย ดังนั้นนางจึงเอามันมาหั่นเป็นชิ้น ๆ แล้วนำมาผัด ยิ่งกว่านั้นที่นี่มีเพียงนางกับซู่เย๋ แอบกินสักมื้อคงมิเป็นไรกระมัง
อย่างไรซะนางมิเอ่ย ซู่เย๋เองก็มิรู้ว่ามันคืออันใด ก็มิต้องกังวลว่าจะมีคนที่สามรู้เรื่องนี้
“เสร็จแล้ว กินได้ ! ” มู่เชียนจิ่วตักอาหารใส่จาน หลงหยางมีลักษณะใสราวกับเอ็นเนื้อวัว ส่วนด้านบนราดด้วยน้ำแกงสูตรเฉพาะของนาง แค่เห็นก็ทำให้อยากอาหารแล้ว
“จ๊อกกกก” ซู่เย๋น้ำลายไหลย้อย ท้องร้องดังระงมไปหยุด หากมิใช่เพราะมู่เชียนจิ่วยังมิได้พยักหน้าอนุญาตล่ะก็ มันคงพุ่งตัวเข้าไปชิมแล้ว
มู่เชียนจิ่วหยิบกาสุราออกมาอีกครั้งก่อนจะรินให้ตัวเองและซู่เย๋ “เจ้าดื่มหรือไม่ ? ”
หลังจากนั้นหนึ่งคน หนึ่งกระรอก สุราสองจอกแผ่กลิ่นหอมเข้มข้นออกมา ผัดหลงหยางจานใหญ่เพียงพอที่จะทำให้พวกเขาทั้งคู่อิ่มหนำสำราญในมื้อนี้ได้แล้ว
“เคร้ง ! ”
เสียงจอกสุรากระทบกัน มู่เชียนจิ่วดื่มสุราลงคอ พร้อมกับหลับตาพริ้มอย่างมีความสุข พลังวิญญาณของสุรากานี้เข้มข้นอย่างมาก ทันทีที่สุราลงไปถึงท้องต่อให้มิบำเพ็ญเพียร แต่พลังวิญญาณของนางก็ยังพัฒนามิหยุด !
หากมิใช่เพราะนางสามารถสะกดพลังวิญญาณของตนเอาไว้ได้ เกรงว่านางคงเข้าสู่ระดับฌาณดรุณขั้นกลางไปนานแล้ว หรือใกล้จะเข้าสู่ขั้นท้ายแล้วก็เป็นได้
ทว่านี่เป็นครั้งแรกที่ซู่เย๋ดื่มสุรา ทันทีที่สุราลงไปถึงท้องมันก็หลับตาลง ก่อนที่อึดใจต่อมาจะล้มตึงลงไปกองกับพื้นทั้งอย่างนั้น
มู่เชียนจิ่วถึงกับตกตะลึงไปชั่วขณะ ก่อนจะจับหางของซู่เย๋ขึ้นมาแกว่ง ก่อนจะหัวเราะออกมาเบา ๆ
“มิใช่กระมัง แค่นี้ก็เมาแล้วงั้นหรือ เจ้าจะคออ่อนเกินไปแล้ว ! ”
“กระรอกตัวนี้ช่างอวบอ้วนจริง ๆ ย่างมันซะเถอะ”
เมื่อได้ยินเสียงจากด้านหลัง มู่เชียนจิ่วก็ดวงตาเบิกโพลง ก่อนจะหันไปมอง “เจ้า เจ้า เจ้า”
“เจ้าเป็นของของข้า ข้าอยากมาหาเจ้าเมื่อใดก็ย่อมได้” จวินอู๋เสียเห็นมู่เชียนจิ่วทำท่าทางราวกับเห็นผี ก็มีท่าทางมิพอใจ “ทำไม เจ้ามิต้อนรับข้างั้นหรือ ? ”
‘ข้าจะต้อนรับเจ้าทำพระแสงอันใดกัน ! ’
มู่เชียนจิ่วเกือบจะเอ่ยออกมาอย่างที่ใจคิด ไหนบอกว่าอีกสามวันจะมาดูดเลือดนางครั้งหนึ่งอย่างไรเล่า นี่เพิ่งจะผ่านไปมิกี่ชั่วยาม แต่เจ้ามารนี่ก็กลับมาอีกแล้ว !
“ต้อนรับ ต้อนรับสิเจ้าค่ะ ! ” มู่เชียนจิ่วยิ้มประจบออกมา ก่อนจะเอานิ้วถูกับเสื้อผ้าส่ง ๆ
“ท่านพี่ จะดูดเลือดเลยหรือไม่เจ้าคะ ? ”
จวินอู๋เสียตีมือดำ ๆ หนึ่งที สายตาจ้องเขม็งไปยังผัดหลงหยางจานนั้นของนาง เขาเพิ่งจะนึกขึ้นได้ว่ามิเคยเห็นอาหารที่มีหน้าตาน่าทานเช่นนี้มาก่อน “อาหารจานนั้นคืออันใด ? ”
“ผัดผักเจ้าค่ะ ! ” มู่เชียนจิ่วมิกล้าบอกว่ามันเป็นองคชาตของพยัคฆ์ สตรีที่ยังมิได้ออกเรือนเช่นนางกินองคชาตของพยัคฆ์ คิดดูแล้วช่างน่าอายจริง ๆ !
เมื่อเห็นสายตาลุกวาวของจวินอู๋เสีย มู่เชียนจิ่วก็มองเขาด้วยความสงสัย หรือเจ้ามารตนนี้มิได้มาเพื่อดูดเลือดนาง แต่มาหาข้าวกินงั้นหรือ ?
หรือเป็นเพราะเขายกแหวนเก็บสมบัติของตัวเองให้นาง ทำให้ตอนนี้กลายเป็นคนยากจนมิมีแม้กระทั่งข้าวกิน ถึงขนาดต้องมาขอข้าวคนอื่นเชียวหรือนี่ ?